กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 19 การปรากฏตัวของอันธพาลการเมือง
ล้อของเกวียนม้าแตกหัก หลังจากเกวียนตั้งตรงแล้วก็ไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป อย่างไรก็ดีวันฝนตกเช่นนี้ มีที่ให้หลบฝนก็นับว่าเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมาก
ซ่งชูอีมองไปข้างนอกเล็กน้อย ในป่าท่ามกลางคืนสายฝนอันมืดมิด แม้คบเพลิงยังมีไฟติดอยู่ก็สามารถส่องสว่างได้เพียงรัศมีหกถึงเจ็ดจั้งเท่านั้น มองไม่ชัดว่ามีคนมากเท่าไร เหล่าทหารที่รายล้อมรอบเกวียนม้าต่างสวมชุดเกราะแตกหัก ใบหน้าที่เปื้อนดินเปียกปอนไปด้วยน้ำฝน สกปรกจนมองเห็นใบหน้าได้เพียงเลือนลาง ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเห็นดวงตาแต่ละคู่ได้อย่างชัดเจน และความหวังในดวงตาของพวกเขาก็ช่วงโชติเป็นอย่างยิ่งภายใต้แสงไฟที่เริงระบำ
ซ่งชูอีรู้ว่าตอนนี้ความหวังของพวกเขาแรงกล้าเพียงใด ความสิ้นหวังก่อนหน้านี้ก็ล้ำลึกมากเพียงนั้น
จางอี๋มองชุดเกราะของชายผู้นั้นที่ชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก แทบไม่สามารถลืมตาในสายฝนได้ เอ่ยขึ้น “ถ้าเช่นนี้พี่ชายท่านนี้เข้ามาคุยกันเถิด!”
ชายผู้นั้นมองทหารที่อยู่โดยรอบ ยกมือขึ้นปาดน้ำฝนบนใบหน้า “บัดนี้ข้าเปียกปอนทั้งตัว คงไม่เข้าไปแล้ว” เขาหยุดชะงักครู่หนึ่ง นึกขึ้นได้ว่ายังมิได้แนะนำตนเอง จึงกล่าวต่อ “ข้ามีนามว่าจี๋อวี่ ชื่อรองเผิงเฟย เป็นนายพลแห่งรัฐเว่ย์”
แม้ว่าทุกวันนี้ชื่อตำแหน่งจะแตกต่างกันไปตามไปแต่ละรัฐ แต่กองทัพส่วนใหญ่จะมีท่านแม่ทัพสำหรับทหารทุกหนึ่งหมื่นนาย และมีท่านนายพลสำหรับทหารทุกสองพันห้าร้อยนาย แม่ทัพแต่ละคนสามารถสั่งการนายพลสี่นาย รัฐเว่ย์มีกำลังอ่อนแอ หากเป็นถึงนายพลที่สามารถสั่งการทหารสองพันห้าร้อยนายได้ ก็นับว่าเป็นขุนนางชั้นสูงในรัฐแล้ว
ซ่งชูอีรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย นายพลของรัฐเว่ย์เหตุใดจึงถูกกักตัวอยู่ในรัฐซ่ง? หลายปีมานี้รัฐเว่ย์ถูกรัฐเว่ยเข้ายึดครองดินแดน เหลือที่ดินเพียงเล็กน้อย และมิได้มีเขตแดนร่วมกับรัฐซ่งอีกต่อไป เว่ย์เฉิงโหวขี้ขลาดตาขาว แทบจะหดหัวอยู่ในรัฐเว่ย์ ร้องขอความสันติต่างๆ นานาจากรัฐใหญ่ แม้กระทั่งเห็นว่ารัฐเว่ย์ของตนมีขนาดเล็กและอ่อนแอ เต็มใจที่จะถูกลดขั้นเป็นโหว
ด้วยอ๋องและสถานการณ์ภายในรัฐที่เป็นเช่นนี้ หรือว่าคิดจะมาใช้กองกำลังจากรัฐซ่ง? ซ่งชูอีถาม “พวกเจ้าคิดจะจู่โจมฉู่หรือล้มซ่ง?”
“ปากอาบยาพิษ!” จางอี๋มองนางอย่างดูแคลน
รัฐเว่ย์ถูกล้อมรอบด้วยรัฐใหญ่ทรงพลัง ด้วยความแข็งแกร่งของรัฐแล้ว หากกระทำการอย่างเร่งรีบก็เท่ากับทำลายตนเอง คำพูดของซ่งชูอีเช่นนี้เห็นได้ว่ากำลังเคลือบแคลงว่ารัฐเว่ย์ด้อยความสามารถ
ซ่งชูอีกระแอมไอเสียงดัง รีบเอ่ยด้วยท่าทีขุ่นเคืองใจกับความอยุติธรรม “ที่ข้ากล่าวถึงไม่ใช่พวกเขา หากเป็นอ๋องรัฐเว่ย ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”
จางอี๋คิดในใจ ‘ก็ไม่ต่างอะไรจากเจ้ากระมัง!’
แต่จี๋อวี่ไม่โกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ได้แต่มองซ่งชูอีด้วยความประหลาดใจพร้อมกล่าว “อาจกล่าวได้ว่าท่านคาดการณ์ถูกต้องแล้ว สามเดือนก่อนหน้า รัฐเว่ยส่งราชทูตมายังรัฐเว่ย์ ข่มขู่ว่าจะสั่งให้กองทหารล้มล้างเว่ย์ ท่านอ๋องได้ยินดังนั้นก็ร้อนใจ จึงจัดงานเลี้ยงให้กับราชทูต เพื่อถามไถ่ว่าผู้ใดได้ขัดพระทัยท่านอ๋องเว่ย และผู้นั้นจะต้องได้รับทุกขทรมานอย่างแน่นอน ราชทูตท่านนั้นกล่าวว่า รัฐฉู่แข็งแกร่ง เป็นไปได้อย่างมากว่าในใต้หล้าเดียวกัน รัฐเว่ยที่อยู่มีชายแดนติดกันจะรู้สึกถึงภยันตราย รัฐเว่ยกับรัฐฉินสู้รบร่วมสิบกว่าปี ทหารอ่อนแรงและเหลือกำลังน้อย เพื่อที่จะเติมกำลังทหารและเสริมความแข็งแกร่งของรัฐ จึงได้แต่โจมตีรัฐเว่ย์ผู้อ่อนแอ”
หลังจากนั้นคงไม่ต้องเดาก็รู้ จะต้องเป็นราชทูตที่บีบบังคับให้เว่ย์โหวโจมตีรัฐซ่งเป็นแน่
จี๋อวี่พูดต่อ “ในงานเลี้ยงราชทูตเว่ยกล่าวว่ารัฐซ่งตั้งอยู่ในจงหยวน ที่ดินอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐเว่ยหรือรัฐฉู่ ก็ต้องการที่ดืนผืนนี้ของรัฐซ่งมากที่สุด ถ้าหากท่านอ๋องยอมช่วยเหลือพวกเขาโจมตีรัฐซ่ง รัฐเว่ยไม่เพียงแต่ไม่ส่งกำลังไปที่รัฐของข้า แต่ยังแบ่งปันดินแดนให้พวกเราร่วมกันครอบครอง”
รัฐเว่ย์จะโตมตีรัฐซ่ง ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหนก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งคาดไม่ถึง
ความตั้งใจของอ๋องเว่ยน่าจะเป็นการยืมกำลังทั้งรัฐเว่ย์เพื่อเข้าโจมตีเมือง ทหารเว่ยจะมีหน้าที่ป้องกันมิให้รัฐซ่งชิงกลับไปก่อน รัฐเว่ย์และรัฐซ่งไม่มีพรมแดนติดต่อกัน หลังจากการสู้รบครั้งหนึ่งแล้วรัฐเว่ย์ก็จะอ่อนแอลงเป็นแน่แท้ การแบ่งปันเมืองที่อยู่ห่างไกลไม่มีข้อดีอันใดต่อพวกเขาเลย พวกเขาอาจไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการควบคุม
นี่ไม่ต่างอะไรกับหัวหน้ากองโจรที่บีบบังคับให้พลเมืองดีออกปล้น แม้ว่าพลเมืองไม่เต็มใจ แต่เนื่องด้วยถูกกดขี่ข่มเหงจากเหล่าโจร จึงจำใจต้องปล้นเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด การที่รัฐเว่ยใช้วิธีนี้ หากรัฐเว่ย์ชนะ แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก และรัฐเว่ยก็จะใช้โอกาสนี้ยึดครองเมืองที่ถูกโจมตีได้ ถ้าหากพ่ายแพ้ก็ยังสามารถกลืนกินรัฐเว่ย์ในช่วงเวลาที่รัฐเว่ย์บาดเจ็บสาหัส
“สังคมระส่ำระส่าย ช่างไร้ความละอายเสียจริง!” แม้ว่าจางอี๋จะรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโลกใบนี้ แต่อันธพาลทางการเมืองเช่นอ๋องเว่ยนี้ก็ทำให้อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
ภายนอกทำทีชิงชัง ที่จริงภายในใจของซ่งชูอีกลับไม่รู้สึกต่อต้านพฤติกรรมเช่นนี้ อันธพาลทางการเมืองงั้นหรือ นางยังเคยสาบานว่าจะเป็นอันธพาลที่แย่ที่สุดเสียด้วยสิ
อีกอย่าง หากเว่ย์โหวเป็นผู้ที่กล้าหาญสักหน่อย ก้าวออกไปด้วยจิตใจที่เปิดกว้าง ไม่แน่ว่าอาจจะเจอกับโอกาสอันน้อยนิดในจุดที่อันตรายก็เป็นได้ ในขณะที่รัฐฉินและรัฐเว่ยกำลังดิ้นรนอย่างสุดกำลังอยู่นั้น อาจแอบส่งทูตสัมพันธไมตรีสองสามคนเพื่อขายแผนการโจมตีให้กับรัฐฉู่ สร้างพันธมิตรระหว่างรัฐหานและรัฐเว่ย แยกอ๋องและขุนนางออกจากกัน เลวร้ายอย่างไรก็ยังสามารถยื้อเยื้อปัญหาภายนอกและภายในของอ๋องเว่ยได้
เพียงแต่เรื่องนี้กล่าวได้ง่ายดายนัก คนที่มีความสามารถเช่นนี้ยิ่งน้อยลงทุกที การกระทำของเว่ย์โหว แม้ผู้เก่งกาจก็มิอาจจำนนต่อเว่ย์ ยกตัวอย่างเช่นจางอี๋
ซ่งชูอีเงียบอยู่พักใหญ่ ก่อนเอ่ยปากขึ้น “โดยส่วนตัวข้านั้น การที่ท่านนายพลจี๋อวี่สามารถสั่งการให้เหล่าทหารป้องกันการโจมตีจากฝูงหมาป่าได้ต่างหากคือสิ่งสำคัญ”
จี๋อวี่ใช้ชีวิตอยู่ในป่าเป็นประจำ แน่นอนว่าเข้าใจนิสัยของหมาป่าเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจ
หมาป่าจะไม่ออกล่าในวันฝนตก อาจเป็นเพราะเข้าใจนิสัยตรงนี้ ฉะนั้นขบวนเกวียนนักแสดงจึงไม่ทันระวังตัวและถูกโจมตีอย่างง่ายดาย
หรืออาจเป็นเพราะหมาป่าฝูงนี้มิได้ออกล่าอาหารเป็นเวลานานแล้ว หรืออาจเป็นเพราะสะกดรอยตามเป็นเวลานาน รอคอยโอกาสอันเหมาะสมนี้มาอย่างยากลำบาก แต่ไม่ว่าสถานการณ์ใด ก็แสดงให้เห็นว่าอาหารมื้อนี้มีความสำคัญต่อพวกมันมาก หมาป่าเป็นสัตว์ที่มีความคิดแค้นสูง พวกมันถูกรบกวนในขณะที่กำลังแบ่งอาหาร จะไม่ถอยล่าออกไปไกล ครั้นเห็นจังหวะเหมาะสม มันจะไม่ปล่อยโอกาสโจมตีไปอย่างเด็ดขาด
จี๋อวี่กำลังจะไปแปรแถวแต่กลับถูกซ่งชูอีขวางไว้ “พวกข้าสองคนอยู่ในขบวนเกวียนนักแสดง แต่เพราะฝูงหมาป่าจึงกระจัดกระจาย ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยเอ่ยว่าสถานที่ใกล้เคียงมีที่หลบฝน อาจรับไม่ได้หมดทุกคน แต่อย่างน้อยคบเพลิงจะได้ไม่ดับ เหล่าทหารก็สามารถผลัดกันพักผ่อน ท่านนายพลจี๋เห็นว่าเยี่ยงไร?”
ในวันฝนตก คบเพลิงของพวกเขาดับลงได้อย่างง่ายดาย บวกกับฝูงหมาป่าที่กำลังซุ่มดู นับว่าเป็นเรื่องที่อันตรายมาก จี๋อวี่เห็นด้วยกับคำพูดของซ่งชูอีอย่างสุดซึ้ง รีบกล่าวขอบคุณ ลุกขึ้นไปแปรแถว
ซ่งชูอีรวบนั่งอยู่หน้าประตูมองดูเหล่าทหารตั้งแถว หากไม่ใช่เพราะนางต้องการตามหาเจ้าอี่โหลว ซ่งชูอีอยู่ตรงนี้ยังดีเสียกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินทางกลางฝน
จางอี๋มองความกังวลของซ่งชูอีออก เอ่ยขึ้น “สหายเจ้าอยู่กับหัวหน้าคณะ ผู้อารักขาขบวนเกวียนจักต้องปกป้องอย่างสุดกำลัง หวยจินอย่าได้กังวลไปเลย”
“ข้าเดาว่า นี่เป็นฝูงหมาป่าขนาดใหญ่ อย่างน้อยก็มีหมาป่าโตเต็มวัยสามสี่สิบตัว” ซ่งชูอีกล่าวถึงความเสี่ยง
เมื่อครู่หมาป่าที่ตามไล่พวกเขามีเพียงหกเจ็ดตัวเท่านั้น และกัดม้าตายไปสองตัวในทันที ฝูงหมาป่ามีกลยุทธ์ จะไม่รวมตัวกันดุจฝูงผึ้งและพุ่งเข้าไปกัดทันทีที่เห็นเหยื่อ ใครจะรู้ว่าเกวียนม้าของเจ้าอี่โหลวจะประสบกับอันตรายเดียวกันกับพวกเขาหรือเปล่า? พวกเขาพบกับกองทหารที่ถูกกักตัวไว้โดยอาศัยความโปรดปรานของพระเจ้า ไม่เช่นนั้นคงไม่เหลือแม้แต่กระดูกเป็นแน่แท้
จางอี๋นิ่งเงียบ เหตุการณ์เมื่อครู่ยังคงชัดเจนอยู่ในหัว เมื่อเผชิญหน้ากับกำลังอันโหดร้ายนี้ ไม่มีใครที่สามารถรับประกันผลลัพธ์ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล่าวคำปลอบประโลมที่ไร้ความจำเป็น ซ่งชูอีก็ไม่ใช่คนที่ถูกหลอกได้ง่ายๆ
หลังจากที่จี๋อวี่แปรแถวเสร็จสิ้น ก็เดินมาที่หน้าประตูเกวียน เอ่ยขึ้น “ข้าเดาว่าหมาป่ามีจำนวนไม่น้อย มิอาจให้เหล่าทหารกระจายตัวกัน ต้องลำบากท่านทั้งสองค้นหาเส้นทางกับข้าแล้ว”
นี่อยู่ในความคาดเดาของซ่งชูอีกับจางอี๋ ฉะนั้นก็ต่างรับปากอย่างง่ายดาย ขอยืมร่มที่ดีที่สุดสองคัน คลุมผ้านวมแล้วออกเดินทาง
ร่มเก่ามาก เดินได้ไม่นาน ผ้านวมบนตัวก็เปียมชุ่มไปด้วยน้ำจนหนักเหลือคณา พวกเขาทำได้เพียงทิ้งมันไป
ซ่งชูอีเดินตัวสั่นเทิ้มอยู่ในคืนฝนอันเหน็บหนาว ถือร่มพร้อมเดินไปข้างหน้าอย่างทุลักทุเล แต่สิ่งที่ทำให้นางพอใจก็คือในบัดนี้มันคือปลายฤดูใบไม้ร่วงที่กำลังย่างเข้าสู่ฤดูหนาว บนพื้นป่าเต็มไปด้วยใบไม้แห้งที่ร่วงกองเป็นชั้นหนา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องเหยียบย่ำพื้นโคลนเฉอะแฉะ
“มีรอยเลือด!” ด้านหน้ามีทหารร้องตะโกน
ซ่งชูอีมองไปยังสายฝนตามสัญชาตญาณ รอยเลือดที่ถูกฝนห่าใหญ่ชะล้างแต่ยังไม่จางหายเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเสียเลือดมากก็เป็นเพราะเป็นรอยใหม่
เดินไปข้างหน้าไม่ถึงสิบจั้ง เมื่อกลิ่นใบไม้แห้งที่ตายบวกกับความชื้นในอากศ บัดนี้สามารถแยกแยะกลิ่นของเลือดออกได้อย่างชัดเจน
……………………………