กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 2 การจากลาตลอดกาล
“จากลากันวันนี้ ท่านรักษาตัวด้วย” ตวนหยางโหวกล่าวด้วยความจริงใจ
“รักษาตัวด้วย” ซ่งหวยจินยิ้มน้อยๆ
บัดนี้นางมีสีหน้าอ่อนโรย ท่าทางราวกับคนป่วยหนักไร้ทางรักษา ปราศจากซึ่งความงาม แต่ตวนหยางโหวกลับรู้สึกว่าแสงสว่างที่ส่องประกายบนตัวนางนั้น แม้หญิงสาวที่ถูกกล่าวขานว่าเลอโฉมจนทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่ายก็มิอาจเทียบนางได้เลย
หิมะด้านนอกเริ่มรุนแรงขึ้น ซ่งหวยจินนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ตามลำพัง มองดูแผ่นหลังของตวนหยางโหวที่ลับตาท่ามกลางลมหิมะ เม้มริมฝีปากเล็กน้อย
อันที่จริงหมิ่นฉืออวดดีเกินไปแล้ว หากคิดจะปกป้องหยางเฉิงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากแต่การกำจัดทหารเว่ยนั้นยากเกินไป หากหมิ่นฉือล้มเหลวในการรบครั้งแรก รัฐเว่ยจะต้องมีความผิดเป็นแน่ นางจะต้องบีบจนเขาไม่สามารถอยู่ในรัฐเว่ยต่อไปได้หรือแม้กระทั่งถูกปลิดชีพ
กำลังทหารของรัฐฉินนั้นแข็งแกร่งมาก หยางเฉิงตั้งอยู่ระหว่างรัฐฉินและรัฐเว่ย ทหารฉินในเมืองใกล้เคียงสามารถมาถึงได้ภายในคืนเดียว ทหารเว่ยอยู่ท่ามกลางหิมะมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว สิ่งของดำรงชีพในฤดูหนาวก็มีไม่มาก รัฐฉินไม่มีทางปล่อยโอกาสครั้งใหญ่เช่นนี้หลุดมือเป็นแน่
ด้วยความเร็วของกองทหาร ถ้าหากกองทหารเว่ยบุกเข้าเมือง การจะโจมตีอีกครั้งก็จะเป็นไปด้วยความยากลำบาก รัฐฉินเองก็อาจเกิดการสูญเสียใหญ่หลวง ฉะนั้นนางเชื่อว่ารัฐฉินจะถอนทัพโดยเร็ว
ซ่งหวยจินลุกขึ้น เดินฝ่าหิมะออกไปราวกับมองไม่เห็นศพที่ตายด้วยความเหน็บหนาวและหิวโหยอยู่ข้างทาง มุ่งตรงไปยังหอคอยเมือง
ลมหิมะส่งเสียงหวืออยู่เหนือเมือง ถ้าซ่งหวยจินไม่ประคองกำแพงก็แทบจะยืนไม่อยู่
“ทหาร!” ซ่งหวยจินแผดเสียง
หนังหมาป่าสีขาวบนตัวของนางบ่งบอกให้เห็นถึงสถานะที่แตกต่าง รองแม่ทัพนายหนึ่งเข้ามารับคำสั่งทันที
“ยังมีเสบียงเหลืออยู่ในจวนเจ้าเมือง ท่านเจ้าเมืองมีความกรุณา ท่านไปเอาออกมาแจกจ่ายเถอะ” ซ่งหวยจินตะเบ็งเสียงแข่งกับลมหนาวอยากยากลำบาก
รองแม่ทัพนายนั้นตื่นตกใจ กลับเอ่ยขึ้นด้วยความลังเล “แต่ว่าท่านเจ้าเมือง…”
“แม้ว่าเสบียงเหล่านั้นไม่เพียงพอสำหรับทุกคน แต่ว่าคนที่ท่านเจ้าเมืองส่งไปรัฐฉิน บัดนี้ได้ส่งสารมาแล้วว่ากองทัพรัฐฉินจะเดินทางถึงเมืองหยางเฉิงในเช้าวันรุ่งขึ้น ท่านเจ้าเมืองยอมทนหิว เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนจะอยู่ต่อไปได้อีกหนึ่งคืน! หากรุ่งสางกองทัพฉินมาไม่ถึง ท่านเจ้าเมืองก็จะยอมจำนนให้แก่รัฐเว่ย และจะไม่มีวันเพิกเฉยต่อชีวิตของทุกท่าน” เสียงของซ่งหวยจินไม่ดังมาก แต่ว่าพลทหารที่เฝ้าเมืองอยู่โดยรอบได้ยินอย่างทั่วถึง นางกล่าวพร้อมปิดบังใบหน้าราวกับกำลังร่ำไห้ “ท่านเจ้าเมืองเป็นผู้มีคุณธรรมมาโดยตลอด ไม่ต้องการเห็นทุกคนตาย แต่หยางเฉิงเป็นมรดกที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จึงต้องขอแรงทุกคนช่วยเจ้าเมือง ข้าหวยจินขอเป็นตัวแทนท่านเจ้าเมืองขอบคุณทุกท่าน!”
ซ่งหวยจินโค้งคารวะต่ำ
นายทหารที่อยู่ใกล้เคียงรีบก้าวมาประคองนาง “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว เจ้าเมืองมีคุณธรรมลึกซึ้ง ข้าสาบานว่าจะปกป้องเมืองจนตัวตาย!”
“ปกป้องจนตัวตาย!”
“ปกป้องจนตัวตาย!”
เสียงตะโกนดังขึ้นเหนือเมืองอย่างต่อเนื่องกันไปเป็นระลอก มันรวมเข้ากับลมหิมะที่บ้าคลั่ง แม้กำลังเสียงเบาบางแต่หนักแน่นไม่หวั่นไหว
ซ่งหวยจินยกมือขึ้นเล็กน้อย “ห้ามแพร่งพรายเรื่องของกองกำลังทหารรัฐฉินออกไปโดยเด็ดขาด ถ้าหากทหาร
เว่ยโจมตีเมืองเร็วขึ้น…”
“ข้าน้อยรับทราบ!” รองแม่ทัพยกมือขึ้นคารวะ สั่งการคนลงไป วันนี้ห้ามใครยอมจำนนให้กับรัฐเว่ยโดยเด็ดขาด ผู้ที่หลบหนีจะถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น
ข่าวนี้จะต้องถึงหูทหารเว่ยเป็นแน่ ซ่งหวยจินรู้ดี แต่นางต้องการเพียงแค่คืนเดียว คืนเดียวเท่านั้น…
พายุหิมะแผดเสียงดัง มันฝังศพที่เรียงรายอย่างอเนจอนาถอยู่ในสนามรบ หลังจากทหารแห่งหยางเฉิงกินข้าวต้มแล้ว กำลังวังชาก็ดีขึ้นมาก
อาหารที่เหลืออยู่ในจวนของตวนหยางโหวมีเพียงข้าวขาว และคนเหล่านี้เป็นไปได้ว่าทั้งชีวิตนี้ก็ไม่อาจพบเห็นข้าวขาว ฉะนั้นในเวลานี้พวกเขาจึงรู้สึกว่าแม้จะต้องตายก็คุ้มค่า
ซ่งหวยจินนั่งอยู่ในเพิงเหนือหอคอย หรี่ตามองไปยังทิศทางที่ทหารเว่ยตั้งค่าย ราตรีล่วงล้ำ พายุหิมะส่งเสียงคำราม มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น หมอกที่พ่นออกมาทางจมูกทำให้วิสัยทัศน์ยิ่งคลุมเครือ
กลางดึกผ่านไปอย่างเงียบสงัด ซ่งหวยจินอ่อนล้าถึงขีดสุด แต่ไม่อาจข่มตาหลับได้ จ้องมองไปที่ท้องฟ้าที่สว่างขึ้นเรื่อยๆ ทางทิศตะวันออก มือที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่น
แรงสั่นสะเทือนที่ปะปนอยู่ในสายลมเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วสูง ซ่งหวยจินลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองต่ำลงไป หิมะก้อนใหญ่กำลังม้วนตัวอยู่ในระยะไกลสุดเส้นขอบฟ้า ทหารเว่ยในชุดแดงกำลังพุ่งมายังหยางเฉิงราวกับระลอกคลื่น
“ท่านหวยจิน ทหารเว่ยบุกเมือง!” รองแม่ทัพรุดเข้ามารายงาน
เวลาไม่คอยท่า…นางหลับตาลงช้าๆ เงียบอยู่เนิ่นนานจึงพูดขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง “เปิดประตูเมืองเสีย พวกท่านยอมจำนนเถอะ”
ไม่ใช่ว่าซ่งหวยจินไม่ต้องการเสียสละผู้บริสุทธิ์ ในเวลานี้ในใจของนางมีเพียงแผนการ ไร้ซึ่งความรัก เพียงแต่คนอย่างหมิ่นฉือที่โจมตีกะทันหันเช่นนี้จะต้องมีไส้ศึกไม่น้อยเป็นแน่ เขาสามารถควบคุมทุกอย่างได้อย่างเต็มที่ ยิ่งเห็นกำลังทหารเว่ยและกำลังทหารผู้รักษาเมืองที่ต่างกันลิบลับแล้ว ถ้าหากไม่ยอมจำนนในเวลานี้ ก็ต้านไว้ได้ไม่นานแน่นอน
“เปิดประตูหลัก” ซ่งหวยจินพูดเสริม “ส่งสารให้เปิดประตูฝั่งเหนือด้วย”
การเปิดประตูหลักเป็นแผนร้างเมือง แม้ข้าศึกอาจจะมองออกในที่สุด แต่ก็ยังสามารถถ่วงเวลาไปได้ระยะหนึ่ง ส่วนประตูทิศเหนือนั้น เปิดไว้สำหรับทหารฉิน…ได้แต่หวังว่าทหารฉินจะสามารถฉวยโอกาสนี้ไว้ได้
รองแม่ทัพนายนั้นเม้มปากแน่น ไม่ขยับเขยื้อน
ซ่งหวยจินเงยหน้ามองเขา ใบหน้าที่แข็งแกร่งและหล่อเหลา ปรากฏอยู่ภายใต้แสงไฟของคบเพลิงที่เต้นอย่างร้อนแรง “ข้ายอมตายแต่จะไม่ยอมจำนน!”
“บุรุษที่เกิดมาในโลกใบนี้ หนึ่งต้องมีความภักดีและต้องมีความทะเยอทะยาน ตวนหยางโหวไม่คู่ควรต่อความภักดีของท่าน หยางเฉิงที่มีขนาดเพียงฝ่ามือก็ไม่คู่ควรแก่ความทะเยอทะยานของท่าน หากท่านตายก็จะตายเปล่า!”
ซ่งหวยจินกล่าวอย่างอ่อนแรง “อย่าโง่ไปหน่อยเลย”
เงียบไปพักใหญ่ เขาจึงยกมือขึ้นคารวะ “ข้าน้อยรับคำสั่ง!”
ซ่งหวยจินมองดูคนรูปร่างกำยำที่ไม่ได้อยู่ในพายุหิมะ นิ่งอยู่นาน หยิบผ้าคลุมหน้าผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ หลังจากคลี่มันออกก็เผยให้เห็นเม็ดยาขนาดเท่าเล็บมือเม็ดหนึ่ง กลิ่นหอมลอยโชยมาแตะจมูก
นางใช้มือวางมันเข้าไปในปาก ขมวดคิ้วเล็กน้อย หรี่ตามองดูพายุหิมะภายนอก รสชาติเผ็ดร้อนไหลเข้าไปในลำคอ ความเจ็บปวดค่อยๆ รวมตัวกันภายในช่องท้อง จากนั้นกระแสความร้อนพวยพุ่งขึ้นมาในลำคอ และภายปากก็เต็มไปด้วยรสหวาน
บัดนี้ไฟของซ่งหวยจินใกล้จะมอดดับแล้ว ความตายเป็นเพียงเรื่องของช้าเร็วเท่านั้น นางเพียงไม่ต้องการเห็นหน้าหมิ่นฉือทุกวันก่อนที่นางจะสิ้นใจ เพียงนึกถึงก็รู้สึกหวาดกลัว
ไร้ซึ่งกลอุบาย หากพ่ายแพ้ก็เป็นเพราะนางซ่งหวยจินไร้ความสามารถเอง แต่นางจะไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด
“ชูอี!” เงยที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นตรงหน้า
ซ่งหวยจินมองสำรวจเล็กน้อย หมิ่นฉือสวมเสื้อจีนแขนกว้างสีเทา ทับด้วยเสื้อคลุมขนแรคคูนสีดำขนาดใหญ่ เนื้อตัวเต็มไปด้วยหิมะ แต่ยังคงความสง่างามไว้
เขาเห็นสภาพของซ่งหวยจินแล้วมีท่าทีตกใจ พูดพึมพำ “ชูอี ข้ามารับเจ้า”
หมิ่นฉือไม่ต้องการให้นางตาย นับประสาอะไรกับหลอกใช้หรือหักหลัง เขาก็ไม่เคยคิดที่จะพานางไปสู่ความตายเลย
เขาเห็นปากของซ่งหวยจินขยับ ราวกับว่าต้องการพูดอะไรบางอย่าง จึงดึงสติกลับมา แล้วก้าวเข้าไปในเพิงเพื่อประคองนาง น้ำตาเอ่ออยู่ในดวงตาดุจพญาหงส์คู่นั้น “ชูอี เจ้าอยากพูดอะไร?”
ซ่งหวยจินพ่นเลือดออกมา โน้มหาเขา หายใจด้วยความลำบาก “หมิ่นฉือ…ข้าขอสาปแช่ง…บรรพบุรุษของเจ้า!”
ได้ยินคำสบถเช่นนี้ หมิ่นฉือจ้องมองดวงตาที่ชัดเจนของนางที่สูญเสียความสดใสไป อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ซ่งชูอี คำว่าหวยจิน แต่เดิมมาจากคำว่า ‘อิ๋นเยวี่ย’ ซึ่งเป็นเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ
‘ว่ออวี๋หวยจิน’ คือคำอุปมาสำหรับสุภาพบุรุษผู้สูงส่ง ด้วยคำพูดที่หยาบคายและอารมณ์ที่แปรปรวนของนาง ฉะนั้นเวลาที่ฝากตัวกับอาจารย์ อาจารย์ก็ได้ตั้งความหวังว่านางจะมีกิริยาที่งดงามขึ้น แต่จนกระทั่งสิ้นใจ นางก็ยังล้มเหลวที่จะเป็นดั่งสองคำนี้
หมิ่นฉือหัวเราะ ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา ทิ่มแทงแก้มจนเจ็บปวดท่ามกลางวันหิมะหนาวเหน็บ
“ท่านกุนซือ! ทหารฉินบุกมาทางประตูเหนือขอรับ!” ที่ด้านนอกเพิง มีทหารนายหนึ่งเข้ามารายงานด้วยความรีบร้อน
หมิ่นฉือตัวแข็ง มองดูใบหน้าสงบนิ่งในอ้อมแขนของเขา มุมปากที่เปื้อนเลือดของนางยกยิ้มอ่อนๆ ราวกับกำลังเยาะเย้ยเขา เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย วางซ่งหวยจินลงแผ่วเบา เงยหน้าขึ้นมองเส้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกที่ทอแสงเลือนลาง คายสองคำออกมาช้าๆ “เตรียมรบ”
…………………………………