กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 20 ตื่นตระหนกจนใต้หล้าสั่นสะเทือน
ซ่งชูอีแทรกเหล่าทหารแล้วเดินไปเบื้องหน้า
ภายใต้แสงไฟของคบเพลิง ซ่งชูอีเห็นเพียงกองใบไม้แห้งหนาบนพื้น มันผสมปนเปไปด้วยน้ำฝนและเลือด ทั่วทั้งพื้นสีแดงฉาน กลิ่นฉุนแสบจมูกเล็ดลอดออกมาจากใต้ใบไม้ เห็นได้ชัดว่ามีการต่อสู้ที่ดุเดือดเกิดขึ้นที่นี่ก่อนหน้านี้ไม่นาน
“เลือดซึมไปถึงใต้ใบไม้แล้ว” จี๋อวี่กึ่งคุกเข่าลงบนพื้น ใช้ดาบสัมฤทธิ์เขี่ยใบไม้ออก ด้านล่างมีเลือดตามคาด ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถเห็นเนื้อที่เหลืออยู่
มือของซ่งชูอีที่ถือร่มกำแน่น เงยหน้ามองไปรอบๆ เปลือกของลำต้นส่วนใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงมีร่องรอยของการเสียดสีใหม่ นึกถึงตอนที่ถูกฝูงหมาป่าไล่ล่าเมื่อครู่ ซ่งชูอีมั่นใจได้ว่าขบวนเกวียนของนักแสดงรวมทั้งเกวียนคนอื่นต่างประสบเหตุเดียวกันกับพวกเขา เนื่องจากไม่มีซากเกวียนม้าอยู่ที่นี่ เช่นนั้นคนส่วนมากที่ถูกฝูงหมาป่ากัดกินคือผู้อารักขา
สายตาของนางหยุดอยู่ที่พื้นดินส่วนที่ไม่มีใบไม้ปกคลุม ด้านบนมีรอยล้อเกวียนที่ยุ่งเหยิง นางก้มลงไปใช้นิ้วคาดคะเนความลึก
ไม่ลึกเท่าไร
ในขบวนเกวียนนอกจากเกวียนม้าของนางกับจางอี๋แล้ว มีเพียงเกวียนม้าของหัวหน้าขณะกับเจ้านายอีกท่านหนึ่งที่ภายในเกวียนมีคนไม่มาก เกวียนม้าของนักแสดงที่เหลือล้วนมีอย่างน้อยห้าหกคน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคุณภาพของเกวียนม้า การที่ทิ้งร่องรอยเช่นนี้ได้…
ซ่งชูอีสูดหายใจลึก กลิ่นคาวเลือดเต็มจมูก
จี๋อวี่หันไปมองซ่งชูอี เมื่อครู่นางนั่งอยู่ในเกวียน เขาเห็นเพียงใบหน้าขาวซีดที่ถูกผมบดบังไปเสียครึ่งหนึ่งและยังซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ขณะที่นางก้าวออกมา จี๋อวี่ประหลาดใจเล็กน้อย ความสูงของนางยังไม่ถึงระดับอกของเขา! อีกทั้งดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว เห็นได้ชัดว่าอายุยังน้อย
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อารมณ์เพียงหนึ่งเดียวที่จี๋อวี่รู้สึกได้จากตัวนางคือความสงบนิ่ง มันทำให้เขาเกิดความปรารถนาที่จะสำรวจอย่างอดเสียมิได้
“ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากขอให้ช่วยเหลือ” จู่ๆ ซ่งชูอีก็ทิ้งร่มในมือ โค้งคำนับจี๋อวี่
“ท่านมีเรื่องอันใดกล่าวมาได้เลย” จี๋อวี่ยื่นมือประคองนาง ตอบรับโดยไม่ลังเล บัดนี้เขาอยู่ในสถานการณ์ใกล้ความตาย ทำได้เพียงออกไปสู้รบอย่างมีความสุขไม่ก็เป็นเชลยศึก ไร้ซึ่งทางออกที่ดีกว่า ในเวลานี้สวรรค์ได้มอบโอกาสให้แก่เขา เขาจะไม่คว้ามันให้มั่นได้เยี่ยงไร
“ข้ามีสหายผู้หนึ่งที่อยู่ในขบวนเกวียนนักแสดง หลังจากถูกหมาป่าโจมตีแล้วก็ขาดการติดต่อกับข้า รบกวนท่านนายพลจี๋ออกตามหาภายในรัศมีห้าหกจั้ง จะขอบพระคุณยิ่ง” ซ่งชูอีโค้งคำนับต่ำ น้ำเสียงจริงใจอย่างมากเช่นกัน
จี๋อวี่ขมวดคิ้วกันเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น เอ่ยทันที “ในเมื่อเป็นสหายของท่าน ข้าจะต้องดูแลอย่างสุดความสามารถ”
ที่จริงแล้วความเป็นความตายในขบวนเกวียนเป็นเรื่องธรรมดามาก ใยซ่งชูอีจะไม่รู้ว่าการสั่งให้ผู้คนมากกว่าสองพันคนที่ถูกกักขังตามหาคนเพียงคนเดียวเป็นเรื่องที่ฝืนใจยิ่ง แต่ว่าในสายตานางก็มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ฝูงหมาป่าอาจอยู่โดยรอบ นางไม่อาจตามหาคนเพียงลำพังได้
“ขอบคุณท่านนายพล” ซ่งชูอีคำนับอีกครั้ง
จี๋อวี่ประคองนางอย่างละอาย “ท่านไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้ ข้ายังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากท่าน”
เพราะเหตุนี้ ซ่งชูอีจึงเอ่ยปากขอร้อง นางเอ่ยประโยคที่ว่า “จะทำเต็มกำลังความสามารถ” แล้วถอยกลับไปที่เก่า ทำให้ทั้งกองกำลังยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม
จางอี๋มองซ่งชูอีด้วยความประหลาดใจ หลังจากคลุกคลีกันมาหลายวัน ซ่งชูอีทำให้เขาประทับใจอย่างมาก เมื่อครู่แผ่นหลังของนางขณะที่เดินไปข้างหน้านั้นสงบนิ่ง ทำให้เขารู้สึกแปลกแยกเป็นอย่างมาก
“หวยจิน เจ้าบอกข้ามาตามตรง เจ้าอายุเท่าไรกันแน่?” จางอี๋รู้สึกว่าตัวเองคุยกับซ่งชูอีถูกคอ รู้สึกสนิทสนมตั้งแต่แรกเห็น แต่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว พวกเขาก็น่าจะห่างกันอย่างน้อยเจ็ดแปดปี
ซ่งชูอีโน้มตัวเข้าใกล้เขาอย่างลึกลับ จางอี๋มีความสนใจเป็นอย่างมาก พร้อมแสดงอาการตั้งใจฟัง
ซ่งชูอีกระซิบเสียงต่ำ “เจ็บสิบ”
“เหลวไหล” จางอี๋มีความรู้สึกเหมือนถูกหลอกให้ติดกับ
“พวกเราลัทธิเต๋าไม่เคยใส่ใจเรื่องแย่งแช่งชิงดี หมั่นฝึกตนเอง อีกทั้งมีความรู้ด้านการแพทย์ มีวิธีรักษาตัวให้อ่อนเยาว์ จะกล่าวว่าเหลวไหลได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีอธิบายเรียบๆ ดูไม่ออกว่าคำพูดของนางนั้นจริงหรือเท็จ
จางอี๋คร้านที่จะเห็นต่าง “หวยจินท่องยุทธภพ ไม่ควรบอกกล่าวแหล่งที่มา มันเป็นการลบหลู่สำนัก”
“ท่านผู้ยิ่งใหญ่” ซ่งชูอียิ้มให้เขา เอ่ยขึ้น “วันหน้าข้าจะรายงานว่าตัวเองเป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู๋จื่อแล้วกัน”
“ที่จริงข้าสงสัยมาโดยตลอด” จางอี๋ไม่ใส่ใจคำพูดของนาง มองนางด้วยรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าพร้อมเอ่ย “ข้าแทบจะไม่เคยพูดว่าข้าเป็นศิษย์สำนักกุ่ยกู๋จื่อเลย หวยจินรู้ได้เยี่ยงไร?”
“อืม” ซ่งชูอีหยุดเดิน ยกมือขึ้นแตะที่คิ้วของตน “ที่แท้ข้าพลั้งปากไปแล้ว”
อย่างไรก็ดีปกติแล้วซ่งชูอีเป็นคนหน้าด้านมาก การที่นางกล่าวถึงขั้นนี้ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไร ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะเรื่องไร้สาระก็หาผู้ใดเปรียบ “เจ้าอยากรู้ความจริง จริงหรือ?”
“แน่อยู่แล้ว” จางอี๋อดกลั้นมานาน แต่เพราะว่าเขามีปัญหาในการจำจดผู้คน เกรงว่าจะลืมสหายเก่าแก่ ทำให้ไม่พอใจ แต่หลังจากครุ่นคิดอย่างละเอียดอยู่หลายวัน เขามั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นซ่งชูอีมาก่อน เพราะถ้าหากรู้จัก ด้วยนางที่เป็นคนมีนิสัยปนเปกันอย่างสุดขั้วเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจดจำไม่ได้
บรรยากาศโดยรอบกดดันเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยอยู่ภายในรัฐซ่ง อีกทั้งถูกคนล้อมรอบ และมิอาจส่งเสียงตะโกน ฉะนั้นหลังจากจี๋อวี่สั่งการลงไป ผู้คนที่อยู่รอบนอกจึงเริ่มสอดส่องสายตาค้นหา
ถึงกระนั้นคนที่อยู่ด้านในไม่สามารถมองเห็นด้านนอก พวกเขาจึงเบี่ยนเบนความสนใจทั้งหมดไว้ที่บทสนทนาของซ่งชูอีและจางอี๋แล้ว แม้นพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่วงท่าและคำพูดล้วนผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ชวนให้น่าเลื่อมใส ยิ่งไปกว่านั้น การได้ฟังผู้มีความรู้ถกเถียงกันก็นับว่าเป็นเรื่องที่โชคดีมาก ทหารข้างๆ กวาดหมอกควันในใจไปจนหมดสิ้น เตรียมพร้อมที่จะฟังอย่างเงียบๆ
ซ่งชูอีกระแอมไอทีหนึ่ง เอ่ยขึ้น “จะว่าไปก็น่าละอาย ตอนที่ข้าเข้าสำนักใหม่ๆ ก็ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านกุ่ยกู๋จื่อแล้ว ชื่นชมอย่างสุดซึ้ง ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสนใจลิ่งซือเหมินเป็นพิเศษ โดยเฉพาะซุนปิ้นและผังเจวียน เฮ้อ ชีวิตของศิษย์พี่ทั้งสองของเจ้านั้นยุ่งเหยิงมาก ผลัดกันอยู่ผลัดกันตาย ตอนนั้นข้าเพิ่งเริ่มเขียนศาสตร์ดูดวงชะตา ข้าจึงได้ดูดวงชะตาให้พวกเขาทั้งสองคน ชะตาแห่งไอยราได้กล่าวไว้ ‘ความเศร้าโศกมักผูกกันที่คิ้ว ความคิดร้อยพันตั้งอยู่ในใจ จากนี้เป็นต้นไปมันจะปิดลง จักทำสิ่งที่ตรงข้ามกับใจ’ ตอนนั้นข้าคิดว่า ความหมายของมันคือตราบใดที่พวกเขาปล่อยวางความรู้สึกลับในใจที่มีต่อกัน ไม่หมกมุ่นกับมันอีกต่อไป ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข”
จางอี๋อ้าปากกว้าง สีหน้ามากด้วยสีสัน ประหลาดใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนที่จะเอ่ยตอบ “ดวงชะตาคงไม่ได้ตีความว่าเช่นนี้กระมัง?”
“มันเป็นเพียงหัวข้อที่น่าสนใจในขณะนั้น เจ้าฟังเสียก่อนเถิด” แม้จะกล่าวเช่นนี้ แต่เดิมทีซ่งชูอีมีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์และสรรพสิ่งในใต้หล้าเพียงน้อยนิด อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดผังเจวียนจึงต่อต้านซุนปิ้น เกลียดเขาแต่กลับไม่ฆ่าหรือปล่อยเขาไป ดังนั้นในขณะนั้นนางรู้สึกว่ามีความรู้สึกลึกลับบางอย่างระหว่างซุนปิ้นและผังเจวียนที่คนภายนอกมิอาจเข้าใจได้
ซ่งชูอีกล่าวต่อ “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงสนใจลิ่งซือเหมินเป็นพิเศษ ต่อมาได้ยินอาจารย์เล่าว่า ท่านกุ่ยกู๋จื่อรับเจ้ากับซูฉินมาเป็นศิษย์…ดังนั้นข้าจึงทำนายดวงชะตา…”
จางอี๋เห็นว่ามีทหารมองเขาด้วยความสนใจเป็นครั้งคราว รีบตัดบทซ่งชูอีด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว แต่ว่าข้ากับซูฉินมิได้มีความรู้สึกลับต่อกันอย่างแน่นอน ศิษย์พี่ทั้งสองคนของข้าก็ไม่มี เจ้าทำนายเช่นนี้มันช่าง…น่าตกใจจนสะเทือนถึงสวรรค์และยมโลกแล้ว”
“ชมเกินไปแล้ว ชมเกินไปแล้ว ตอนนั้นข้าเพิ่งอายุเพียงห้าขวบ อาจารย์ก็ชอบชมข้าเช่นนี้” ซ่งชูอียิ้มกริ่มเอ่ย
จางอี๋หมดคำโต้ตอบ เหลือบตาขึ้นมองน้ำฝนที่สั่นไหวและกำลังจะร่วงหล่นอยู่ตรงขอบร่ม รู้สึกได้ว่าซ่งชูอีส่งสัญญาณจะพูดอีกครั้ง รีบเอ่ยขึ้น “ข้าเข้าใจถึงความตั้งใจของหวยจินดี เจ้าไม่ต้องพูดอะไรมาก”
บัดนี้เขารู้สึกอย่างแรงกล้าว่า การพูดคุยกับซ่งชูอีนั้นช่างอันตรายเหลือเกิน เมื่อพูดคุยอย่างถึงอกถึงใจก็เกรงว่าทุกคนในสำนักของเขาต่างมี ‘ความรู้สึกลับ’ ซ่อนอยู่ ภายภาคหน้าก็ละอายเกินกว่าที่จะอยู่รัฐใดๆ แล้ว!
…………………………………