กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 21 รบหรือว่าไม่รบ
ซ่งชูอีกับจางอี๋พูดคุยกันอย่างผ่อนคลายเป็นครั้งคราว ราวกับไร้ซึ่งสิ่งกังวลใดๆ แต่สภาพการณ์ในตอนนี้ ยากที่จะมองในแง่ดีได้จริงๆ
เดินอยู่ในป่ามืดมิดท่ามกลางสายฝนมาครึ่งชั่วยามแล้ว หลังจากค้นหาอย่างละเอียดถี่ถ้วนในรัศมีสองสามลี้ ในที่สุดก็เจอเกวียนม้าของหัวหน้าคณะ
พิจารณาจากร่องรอยโดยรอบแล้ว คาดการณ์ว่าม้าถูกกัดตายที่นี่ ในขณะนั้นเกวียนม้าไม่สามารถหยุดได้จึงชนเข้ากับกำแพงหินขนาดใหญ่ ตัวเกวียนกระจัดกระจาย สามารถมองเห็นรอยเลือดสีแดงที่ถูกฝนชะล้างเป็นวงกว้างอยู่บนซากปลักหักพัง
ซ่งชูอียืนอยู่ข้างกองซากไม้หักพังเนิ่นนาน มีทหารรัฐเว่ย์ล้อมรอบ บ้างมองดูซากเกวียนม้าบ้างมองดูซ่งชูอี ไม่มีใครส่งเสียงใด ชุดเกราะแตกหักทอแสงเย็นยะเยือกในคืนที่ฝนตก ราวกับป้ายหลุมศพที่ยืนตรงด้วยความเคารพ
“พวกเจ้าหาที่หลบฝนเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
ซ่งชูอีดูออกว่าจี๋อวี่รักและหวงแหนเหล่าทหารมาก พวกเขาตากฝนมาทั้งคืน ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาอาจขาดใจตายก่อนที่จะเผชิญหน้ากับกองทหารรัฐซ่งเป็นแน่
จี๋อวี่ลังเลครู่หนึ่ง สั่งการให้กองทหารมุ่งหน้าไปยังหน้าผาที่ผ่านมาเมื่อครู่ทันที
“หวยจิน เจ้า…” ในขณะนั้นเอง จางอี๋ไม่รู้ว่าต้องปลอบโยนซ่งชูอีเยี่ยงไร
ซ่งชูอียิ้มจางๆ เอ่ยขึ้น “เกิดและตายเป็นเรื่องธรรมดา ข้าพบกับเขาโดยบังเอิญ ไม่อาจทำให้ข้าเสียใจได้”
จางอี๋มองนาง แม้จะพูดเช่นนี้ นางก็มิได้แสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง อย่างไรก็ดีเขารู้สึกจุกในอกเล็กน้อย ถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “ช่างเถอะ ไปจากที่นี่เร็วหน่อยจึงจะสมเหตุสมผล ข้าไม่ได้เห็นเมืองมาสี่เดือนแล้ว อยู่ในป่ารกร้างเช่นนี้ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองไร้ความสามารถ”
นักยุทธศาสตร์วางแผนเกี่ยวกับคนและความเป็นไปเป็นบ้านเมือง อยู่ที่นี่พวกเขาแสดงบทบาทได้เพียงน้อยนิด สามารถรอดพ้นจากการถูกฝังอยู่ในท้องของหมาป่านับว่าเป็นโชคดีมากแล้ว
ทั้งสองคนนิ่งเงียบ ติดตามทหารเว่ย์ผ่านป่าหนามจนมาถึงตีนหน้าผา
หน้าผามีรูปทรงกลับด้าน ทางด้านล่างแคบและยังมีส่วนที่เป็นโพรงลึกเข้าไป แออัดหน่อยก็สามารถรับได้ถึงพันคน คนที่เหลือล้วนคอยเฝ้ายามอยู่ด้านนอก ผลัดกันพักผ่อน เพื่อป้องกันการโจมตีจากฝูงหมาป่า
ในวันฝนตกไม่มีหญ้าหรือกิ่งไม้แห้ง ทหารเว่ย์ทำได้เพียงนำด้ามจับของคบเพลิงและร่มกองสุมไฟเท่านั้น เผาพลางอบฟืนพลางจึงจะสามารถป้องกันไม่ให้ไฟดับได้
ซ่งชูอีกับจางอี๋เพิ่งจะนั่งลงข้างกองไฟ จี่อวี่ก็เดินเข้ามา “ท่านทั้งสอง ไม่ทราบว่าคิดหาทางได้แล้วหรือยัง?”
ฟืนไม่แห้งพอ กองไฟที่กำลังเผาไหม้จึงก่อให้เกินควันม้วนตัวหนาทึบ ซ่งชูอีหรี่ตา นำฟืนมากองกัน เอ่ยขึ้น “หากต้องการสู้รบให้มาถามข้า ถ้าไม่ประสงค์สู้รบให้ถามเขา”
ในความเป็นจริงด้วยคารมคมคายและสติปัญญาของซ่งชูอีนั้น เป็นทูตสัมพันธไมตรีก็ย่อมได้ แต่ว่าข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดของนางคือการเป็นสตรีเพศ อีกทั้งไม่ใช่สาวงามและบัดนี้ก็ไร้ซึ่งชื่อเสียง บางทีคนอื่นอาจไม่ให้นางเข้าเมืองเลยด้วยซ้ำ
“หากไม่สู้รบจะเป็นการดีที่สุด” จี๋อวี่ตอบโดยไม่คิดเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่ว่าเขาอ่อนแอ หากแต่ทหารเหล่านั้นก็ดี รัฐเว่ย์ก็ดี ล้วนไม่อาจทนต่อการต่อสู้ที่มีชีวิตเป็นเดิมพันได้
“บัดนี้ภายในรัฐฉินยุ่งเหยิง รัฐเว่ยกับรัฐฉินสู้รบอย่างเอาเป็นเอาตายหลายปีดีดัก แน่นอนว่าจะไม่ปล่อยโอกาสที่ดีเช่นนี้ให้หลุดลอยไปแน่ พวกเขาไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยทางนี้ โอกาสจึงจะตกอยู่กับรัฐฉู่และรัฐซ่ง” ซ่งชูอีรู้สึกว่าอย่างไรเสียนางก็ทำให้คนสองพันกว่าคนต้องตามหาคนกลางดึกท่ามกลางสายฝน จำต้องขายแรงงานคืนบ้าง การได้รับประโยชน์นั้นก็ต้องมีขีดจำกัด นางมีนิสัยไม่ชอบติดค้างผู้อื่น
จางอี๋รวบแขนเสื้อคุกเข่านั่งอยู่ข้างกองไฟ เหน็บหนาวจนตัวสั่นเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พวกเจ้ายังมีแผนอื่นอีกรึ? คงมิได้รวบรวมกำลังสองพันกว่านายเพื่อเตรียมยึดครองดินแดนกระมัง?”
ซ่งชูอีมองค้อน จางอี๋ยังมีหน้ามาบอกว่าปากนางอาบยาพิษ เขาก็ไม่ได้ดีกว่าเท่าไร
“มี รัฐเว่ย์ของข้ามีกำลังทั้งหมดสามหมื่นนาย ที่ข้าพามามีหนึ่งกองทัพและกองทัพอื่นอีกสองกองทัพ เตรียมตัวที่จะลอบโจมตีซุยหยางนครหลวงแห่งรัฐซ่ง เดิมทีรัฐเว่ยก็เข้าร่วมด้วย เราเพียงต้องจู่โจมจากสามด้าน รวมตัวกันเป็นกองทหารโอบล้อมซุยหยางเพื่อสร้างภาพลวง ครั้นซุยหยางวุ่นวาย รัฐเว่ยก็จะส่งกองพลโจมตีซึ่งหน้า แต่ว่าพวกเราสู้รบกันรัฐ
ซ่งอยู่สองวัน และไม่ได้รับข่าวใดๆ จากทหารเว่ยเลย” จี๋อวี่รู้สึกโง่เง่าเป็นที่สุด สงครามครั้งนี้ไร้ซึ่งทหารเว่ย การที่กองกำลังกระจัดกระจายของเขาโจมตีรัฐซ่งก็ไม่ต่างอะไรจากตีหินด้วยไข่ รนหาที่ตาย
รัฐเว่ยนี้ช่างไร้ยางอายเสียจริง! ไม่มีจริยธรรมเลยสักนิด ซ่งชูอีเอ่ยในใจอีกครั้ง แต่คุ้มค่าที่จะเรียนรู้ยิ่งนัก
“รัฐเว่ยใช่ว่าไม่ได้ออกรบ ไม่แน่ว่าหลังจากเจ้ากลับไป เว่ย์อาจจะกลายเป็นเว่ยแล้วก็เป็นได้” ซ่งชูอีแค่กล่าวให้ดูน่ากลัวเกินจริงก็เท่านั้น นางรู้ดีว่าแม้รัฐเว่ย์มีขนาดเล็กจ้อย แต่นักการทูตที่มีเชื้อสายสืบจากราชวงศ์โจวนั้นต่างทำงานได้ไม่เลวและมีชีวิตที่ยืนยาว
“รัฐเว่ย์มิอาจรักษาคนเก่งไว้ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็คงเป็นโชคชะตาแล้ว” จี๋อวี่ถอนหายใจเอ่ย
จางอี๋หัวเราะแห้งพร้อมกล่าว “เขาพูดจาเหลวไหลเจ้าก็เชื่องั้นรึ แม้ว่าความโกลาหลของจูโหว (องค์ชาย) เริ่มต้นจนทำให้เกิดการสู้รบที่ไม่ชอบธรรม บ้านเมืองระส่ำระส่าย แม้ราชวงศ์โจวเหลือเพียงชื่อ ถึงอย่างไรก็ยังคงอยู่ รัฐเว่ย์มีสายเลือดเดียวกันกับราชวงศ์โจว ตราบเท่าที่ราชวงศ์โจวยังคงอยู่อีกหนึ่งวัน ไม่ว่าเหตุผลใดก็ไม่เพียงพอที่จะล้มเว่ย์”
จี คือแซ่สกุลของรัฐเว่ย์ ไท่ซื่อ พระสนมเจิ้งเฟยในจักรพรรดิโจวเหวินหวังมีพระโอรสสิบพระองค์ จักรพรรดิพระองค์แรกแห่งรัฐเว่ย์คังสู่เฟิงเป็นพี่น้องกับ จีฟา หรืออ๋องอู่จักรพรรดิองค์แรกแห่งราชวงศ์โจว
จี๋อวี่อึ้งไปครู่หนึ่ง ขมวดคิ้วมองซ่งชูอี เห็นนางนั่งกอดเข่าพักคาง หรี่ตาลงคล้ายง่วงนอนเต็มที ในใจยิ่งรู้สึกโมโห แต่เมื่อนึกถึงเมื่อครู่ที่ตนยอมแพ้กลางทาง เดิมทีรับปากกับนางไว้ว่าจะตามหาสหายของนางอย่างสุดความสามารถ แต่ทำไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็ล่าถอยแล้ว แม้ว่าเขาจะลงแรงไปไม่น้อย แต่หากพูดกันตามตรง กลับไม่ได้รักษาสัญญาอย่างแท้จริง บัดนี้นางไม่จริงจัง เกรงว่าก็เพราะขุ่นเคืองมากเช่นกัน
คิดเช่นนี้ จี๋อวี่รู้สึกว่าซ่งชูอีช่างสมกับเป็นผู้มีปัญญาที่ฝึกตนมาอย่างดีมาก เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ไม่เพียงแต่ชี้แนะเขา แต่ยังช่วยเหลือพวกเขาคิดหาวิธีถอนตัวอีกด้วย
ที่จริงจี๋อวี่เข้าใจซ่งชูอีผิดแล้ว นางเพียงพลั้งปากโดยไม่ยั้งคิดเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ
“เรื่องนี้หากลงมือจากรัฐซ่งน่าจะไวกว่า และแก้ปัญหาได้ไม่ยาก อย่างไรเสียสถานการณ์ก็ชัดเจนเช่นนี้” จางอี๋คิดว่าเรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องออกหน้าเลยด้วยซ้ำ “ก่อนอื่นท่านต้องติดต่อกับกองทหารอีกสองกองทัพ สั่งหยุดไม่ให้พวกเขาปะทะกับทหารรัฐซ่งอีก จากนั้นก็ส่งหนึ่งคนเข้าไปซุยหยางเพื่อเจรจาต่อรอง เนื้อหาก็ง่ายมาก”
จางอี๋หยุดครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “เพียงคร่ำครวญแล้วบอกไปว่าอ๋องเว่ยใช้ความแข็งแกร่งรังแกผู้อ่อนแอ บีบบังคับให้รัฐเว่ย์รวบรวมกำลังของทั้งรัฐเพื่อต่อสู้กับรัฐซ่ง รัฐเว่ย์ไร้พรมแดนติดกับรัฐซ่ง อีกทั้งไม่ใช้คู่ต่อสู้ของรัฐซ่ง การส่งกองกำลังมาโจมตีถือเป็นเรื่องจนปัญญา”
“แต่แม้ว่ารัฐซ่งจะเชื่อ ก็อาจไม่ปล่อยพวกเราไป” จี๋อวี่กล่าวอย่างเป็นกังวล
ซ่งชูอีอดไม่ได้ที่จะหันมา เอ่ยขึ้น “ลูกผู้ชายเช่นเจ้าเหตุใดจึงไม่เข้าใจโลกเช่นนี้ มันคือการใช้ความรู้สึกทำให้ผู้อื่นซาบซึ้ง กล่าวกันด้วยเหตุผลเพื่อให้เข้าใจ ใช้ผลประโยชน์เพื่อให้ชาวบ้านเชื่อฟัง ขุนนางชั้นสูงของรัฐซ่งบ้าอำนาจ ว่ากันว่าซ่งทีเฉิงจวินหลงใหลในอิสตรี รัฐเว่ย์ของพวกเจ้าน่าจะส่งสาวงามเป็นสิบเป็นร้อยไปได้กระมัง! หากเจ้าคิดว่าการส่งสาวงามเพียงไม่กี่นางไม่สามารถช่วยได้ นางต๋าจี่แห่งราชวงศ์ซังหรือนางเปาซื่อแห่งราชวงศ์โจว เพียงแย้มยิ้มก็สามารถทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่ายแล้ว ตราบใดที่เจ้าบรรยายสาวงามเหล่านั้นว่าหาได้ยากทั้งบนสรวงสวรรค์และใต้หล้า เขาจะต้องประทับใจเป็นแน่”
จี๋อวี่พยักหน้า แม้ว่ารัฐเว่ย์ไม่มีสาวงามเทียบเท่าต๋าจี่หรือเป่าซื่อ แต่ก็พอมีให้คุยโวโอ้อวดได้ การถอนทัพเป็นเรื่องสำคัญ แม้ว่าถึงตอนนั้นสาวงามที่ส่งไปอาจไม่สวยพอ นั่นแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีมุมมองที่ต่างออกไป จางอี๋ไอแห้งทีหนึ่ง พูดขึ้น “ท่านนายพลจี๋ช่างมีปัญญาดีแท้”
ปัญญาดีจริงๆ ที่สามารถเข้าใจความคิดไร้ยางอายของซ่งชูอีได้ไวถึงเพียงนี้
…………………………………….