กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 217 ทุกอย่างอยู่ในแผนการ
ทุกคนต่างมองฉากนั้นด้วยความตกตะลึง หมาป่าสีขาวตัวใหญ่แบกซ่งชูอีด้วยท่วงท่าที่เบาสบายเป็นที่สุด อีกทั้งยังดูเหมือนว่าจงใจชะลอฝีเท้าระหว่างการวิ่งอีกด้วย เหมือนแสงสีขาวในคืนมืดมิดที่แวบผ่านตาอย่างเงียบๆ
เพียงพริบตา ไป๋เริ่นก็พาซ่งชูอีไปถึงข้างกายของจี้ฮ่วน
“สัตว์ป่าตัวน้อยเช่นเจ้ามีมนุษยธรรมเสียจริง” จี้ฮ่วนกล่าวคำชมเบาๆ หากไม่ใช่เพราะไป๋เริ่นเกลียดคนลูบหัวของมันที่สุด เขาก็ต้องการเอื้อมมือออกไปสัมผัสเสียเหลือเกิน
ซ่งชูอีกำลังจะพูดต่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงการต่อสู้แผ่วเบาดังขึ้นในหู “ใกล้จะถึงหุบเขาแล้วหรือ?”
“ขอรับ” จี้ฮ่วนมิได้หยุดเดิน รอบกายมีเพียงเสียงกรอบแกรบของผู้คนที่เดินผ่านเข้าไปในป่า
ฝีเท้าของหมาป่านั้นแผ่วเบา ซ่งชูอีที่นั่งอยู่บนหลังไป๋เริ่นราวกับกำลังล่องลอยอยู่ในสายลม ทั้งตัวเบาหวิว ไม่มีการกระแทกใดๆ สบายกว่าการขี่ม้าไม่รู้ตั้งกี่เท่า
แม้ว่าหมาป่าหิมะธรรมดาจะมีขนาดใหญ่มาก ทว่าร่างกายละเอียดอ่อนเป็นอย่างยิ่งไม่สามารถแบกของหนักได้ แต่มันไม่เป็นปัญหาสำหรับ “ไหล่กว้างๆ และเอวกลมๆ” ของไป๋เริ่นผู้ชื่นชอบการกินกับนอนที่จะแบกคนผอมแห้งเหมือนท่อนฟืนอย่างซ่งชูอีเลย
เสียงการต่อสู้ในหูดังขึ้นเรื่อยๆ ซ่งชูอีรู้ว่าตอนนี้นางเข้าใกล้สนามรบแล้ว
“ท่านขอรับ ถึงหุบเขาแล้ว ตอนนี้พวกเราอยู่เหนือหุบเขาแล้ว” จี้ฮ่วนมองลงมาเบื้องล่าง บัดนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว เบื้องล่างกลายเป็นทะเลเพลิง ทั้งสองฝ่ายได้ใช้ลูกศรไฟยิงใส่กัน ควันพวยพุ่งขึ้นมาจากหุบเขา กลิ่นของขนที่เผาไหม้และกลิ่นคาวเลือดฉุนเป็นพิเศษ
ครั้นได้ยินเสียงกรีดร้องอันไม่รู้จบ ซ่งชูอีไม่ต้องเดาก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น จึงอดที่จะถอนใจมิได้ นางกล่าวยืนยันกับจี้ฮ่วน “บัดนี้ทั้งสองฝ่ายต่างถอยร่นมาที่หุบเขาแล้วกระมัง?”
จี้ฮ่วนมองนางด้วยความประหลาดใจ “ขอรับ ทว่าบัดนี้เป็นยามราตรี กลุ่มควันก็หนาแน่นเกินไป แยกแยะสถานการณ์จำเพาะไม่ออก อีกประเดี๋ยวสายสืบก็จะกลับมาแล้ว”
เขาเพิ่งพูดจบก็มีเสียงฝีเท้าเร่งเข้ามาทางนี้ “รายงานท่านที่ปรึกษา ปากด่านทางทิศใต้เป็นตำแหน่งประจำการของค่ายทหารเรา วันนี้กองทัพของเราสูญเสียไปกว่าพันคนในสงครามนองเลือดที่หุบเขา สังหารทหารสู่ไปสามพัน ทั้งสองฝ่ายเพิ่งล่าถอยกลับไปที่ปากด่านเมื่อครู่ขอรับ”
“เด็กดี” ซ่งชูอียิ้มสดใส เจ้าอี่โหลวสามารถนำทหารม้าล่าถอยกลับไปยังหุบเขาได้ อีกทั้งยังตัดหัวกองกำลังข้าศึกได้ถึงสามพันนาย เขาสมกับเป็นท่านแม่ทัพจริงๆ!
ซ่งชูอีกล่าวต่อ “สามารถลงเขาทางทิศเหนือได้หรือไม่?”
สายสืบกล่าว “ได้ขอรับ”
“เยี่ยมมาก!” ซ่งชูอีกล่าวเสียงเบา “ฮ่วน เจ้าพาคนสองพันห้าร้อยคนลงเขาทางทิศเหนือเงียบๆ ที่นี่มีถนนเพียงสายเดียวที่นำไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เจ้าพาผู้คนไปซุ่มโจมตีข้างทางเตรียมสกัดกั้นและสังหารทหารสู่ที่กำลังหลบหนี พยายามฆ่าให้เรียบ! องค์รัชทายาทสู่อาจจะปะปนอยู่ในนั้น เจ้าจำไว้ หลังจากฆ่าเสร็จแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะเจอตัวตนองค์รัชทายาทสู่ที่แท้จริงหรือไม่ จงสุ่มตัดศีรษะเด็กหนุ่มอายุประมาณสิบห้าถึงยี่สิบปีคนหนึ่งแล้วตะโกนรายงานให้ดัง โดยจะต้องให้กองทัพสู่ได้ยิน!”
จี้ฮ่วนกำลังจะโต้แย้งทว่าซ่งชูอีกลับไม่ปล่อยโอกาสให้เขา สั่งสายสืบผู้นั้นทันที “เจ้าไปบอกตูเว่ยม่อว่ากองทัพฉินเข้ามาสมทบแล้ว รอจนยอดไฟบนภูเขาส่องสว่างแล้วให้เขาโจมตีเต็มกำลัง ยิ่งรุนแรงยิ่งดี!”
“ขอรับ!” สายสืบรับคำสั่งแล้วรีบลงจากเขาไป
ซ่งชูอีไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของจี้ฮ่วน จึงเอ่ยเย็นชา “เจ้าคิดขัดคำสั่งหรือ!”
เงียบงันไปครู่หนึ่ง จี้ฮ่วนเอ่ยเสียงต่ำ “ขอรับ!”
“ช้าก่อน!” ซ่งชูอีเอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ให้เจ้าพาคนไปสองพันห้าร้อยคน ห้ามเจ้าพาไปสองพันสี่ร้อยเก้าสิบเก้าคนเด็ดขาด!”
จี้ฮ่วนเงยหน้าพรวด มองนางด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าของนางคลุมเครืออย่างยิ่งในตอนกลางคืน ดวงตาที่ล่องลอยคู่นั้นมองมาทางเขา เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มองเขาแต่เขากลับรู้สึกว่านางมองลึกไปถึงหัวใจของตน เมื่อครู่…เขาคิดจะพาคนไปเพียงสองพันคนจริงๆ
“ไปเถิด บางทีคนสองพันห้าร้อยคนก็เป็นการต่อสู้ที่ยากลำบาก ไม่มีกำลังเสริม ดังนั้นการซุ่มโจมตีจึงต้องมีความสำคัญมาก ข้าเชื่อเจ้า” ซ่งชูอีเอ่ย
“ขอรับ!” จี้ฮ่วนดึงสติกลับมา ตอบรับเสียงหนึ่ง สั่งให้คนสองพันห้าร้อยคนลอบลงจากภูเขาทางทิศเหนือท่ามกลางความมืดมิด
“นายพลอยู่หรือไม่?” ซ่งชูเอ่ย
“อยู่ขอรับ!” ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบกว่าก้าวออกมา
“ท่านนายพลหลี่ว์” ซ่งชูอีเอ่ยถาม “ยังมีคบเพลิงอีกกี่อัน”
“อาจจะสองสามพันกระมัง เมื่อครู่ท่านจี้มิได้นำคบเพลิงไปด้วย” นายพลหลี่ว์กล่าว
แม่งเอ๊ย! ตกลงว่าสองพันหรือว่าสามพัน!
ซ่งชูอีหงุดหงิดอยู่ในใจ เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ครั้งนี้พวกเราต้องจับเสือมือเปล่าแล้ว สังหารทหารสู่เจ็ดพันนายเบื้องล่างโดยอย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว สามพันคนนี้ล้วนอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลหลี่ว์ กองทัพสู่เก้าพันนายบวกกับศีรษะขององค์รัชทายาทสู่ ข้าจะรายงานความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ของนายพลหลี่ว์ต่อฝ่าบาทตามความจริง ทว่าหากล้มเหลว…ท่านเป็นคนฉลาด คงจะเข้าใจอยู่แล้ว”
นายพลหลี่ว์ตื่นเต้น เขาดีใจมากและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอรับ! ข้าจะสั่งคนไปตรวจสอบเดี๋ยวนี้!”
ก่อนหน้านี้นายพลหลี่ว์เกลียดชังซ่งชูอีมาก เขาอายุสี่สิบกว่าแล้ว ต่อสู้แทบตายและสามารถขึ้นมาเป็นตำแหน่งนายพลได้อย่างยากลำบาก เขาเป็นคนทำงานหนักแต่ไม่ได้เฉลียวฉลาดมากนัก ตำแหน่งทดแทนชั่วคราวเช่นนี้จะต้องไม่มั่นคงอย่างแน่นอน หากการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ประสบความสำเร็จ กลับไปก็จะถูกถอดถอน เสียโอกาสดีๆ ไปโดยเปล่าประโยชน์! เขามีความทะเยอะทะยานที่จะสำเร็จ ทว่าซ่งชูอีกลับย้ายทหารในมือของเขาไปให้จี้ฮ่วนผู้ที่ไม่มีตำแหน่งใดๆ เลย จนทำให้นายพลคนนี้เป็นเพียงหุ่นเชิดเท่านั้น! การสังหารรัชทายาทช่างเป็นโอกาสที่ดีนัก! เหตุใดเขาจะต้องปล่อยให้จี้ฮ่วนไปทำด้วย?
ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าซ่งชูอีเป็นพวกเล่นพรรคเล่นพวก จงใจต้องการเลื่อนตำแหน่งคนของตัวเอง ทว่าครั้นได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ในใจก็คิดว่าซ่งชูอีอาจมีแผนการอันชาญฉลาด ความยินดีในใจทำให้ความไม่พอใจเจือจางลงทันทีและไปทำงานด้วยความจริงจังแล้ว
ซ่งชูอีเผชิญหน้ากับความมืดมนอันกว้างใหญ่ไพศาล กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่ดังไม่เบา “กองทัพสู่เจ็ดพันนาย พวกเราห้าร้อย…อ่อ บวกกับข้าและหัวหน้าหมอ ห้าร้อยสองคน หากกระจายให้ทุกคนแล้วสามารถเลื่อนตำแหน่งได้ไม่น้อยเลย”
ทหารธรรมดาไม่สามารถคำนวณจำนวนมากขนาดนั้นได้ ทว่าพวกเขาเข้าใจความแตกต่างระหว่างเจ็ดพันกับห้าร้อยได้เป็นอย่างดี อดไม่ได้ที่จะดีใจ คาดเดาอยู่ในใจว่าอาจจะสามารถเลื่อนขั้นได้สองหรือสามขั้น
ครั้นซ่งชูอีเห็นว่าวาจากระตุ้นนั้นได้ผลดีเกินไป จึงพ่นคำพูดเย็นชาออกมาจากปากสองสามประโยค “ความมั่งคั่งจะไม่ได้มาง่ายๆ และความมั่งคั่งจะต้องแลกมาด้วยความเสี่ยง แม้ว่าสวรรค์ให้โอกาสแต่พวกเจ้าไม่ทุ่มเท เกรงว่าไม่เพียงแต่จะขอความมั่งคั่งไม่ได้แต่อาจจะต้องตายอยู่ที่นี่”
คบเพลิงทั้งหมดมีสามพันห้าร้อยอัน นายพลหลี่ว์ได้ตระเตรียมไว้อย่างเหมาะสมแล้ว ซ่งชูอีสั่งให้ทุกคนลงมือพร้อมกันโดยผูกปลายด้านหนึ่งของด้ามคบเพลิงด้วยผ้าป่านผืนหยาบ หลังจากราดด้วยน้ำมันตะเกียงแล้วก็ผูกกับต้นไม้ที่ปลายหน้าผาด้วยความรวดเร็ว
ซ่งชูอีอยู่ในความมืดมนตลอดเวลาทว่าในใจกลับสงบเป็นอย่างยิ่ง นางคำนวณเวลาไว้พอดี ไม่สามารถยืดเยื้อได้อีกแล้วจึงสั่งให้จุดคบเพลิง
ทันใดนั้นไฟทางฝั่งตะวันตกของหุบเขาทั้งหมดก็สว่างพรึ่บราวกับมังกรตัวยาว จู่ๆ ทหารห้าร้อยคนก็ตะโกนว่าฆ่า เสียงอันสง่างามดังก้องไปทั่วหุบเขาราวกับว่ามีผู้คนนับหมื่น ครั้นกองทัพฉินตรงปากด่านได้ยินเสียงนี้ก็มีความหวังทันใด ทิ้งความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดที่ท้วมท้นร่างกาย จากนั้นก็คำรามดังลั่น
น่าประทับใจยิ่งนัก!
กองทัพฉินที่นำโดยเจ้าอี่โหลวเสมือนได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า การโจมตีด้วยไฟก็รุนแรงขึ้นทันที ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเปลวเพลิงราวกับหยาดฝนที่ปกคลุมกองทัพสู่
ธนูหน้าไม้ที่แข็งแกร่งของกองทัพฉินนั้นทรงพลังที่สุดในจงหยวน เกินกว่าธนูหน้าไม้ของรัฐสู่จะต้านทานได้ นี่เป็นเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดว่าทำไมกองทัพฉินถึงสามารถยื้อพวกเขาได้ด้วยจำนวนคนสี่พันต่อเจ็ดพันคน
ไม่ช้ากองทัพสู่ก็เสื่อมถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ทหารม้าเหล็กของกองทัพฉินทะยานผ่านหุบเขาเพื่อพุ่งเข้าหากองทัพสู่ปานสายฟ้า ทันใดนั้นปากด่านทางตอนเหนือก็เกิดความระส่ำระส่าย พลันละทิ้งคันธนูและลูกศร รีบชักดาบออกมาประจันหน้ากับศัตรูทันที
ซ่งชูอีสามารถคาดเดาเหตุการณ์ที่อยู่เบื้องล่างได้จากการฟังเสียง
“วู้…” ดวงตาของไป๋เริ่นแดงก่ำจากสงครามนองเลือดน่าระทึกนี้ เสียงหมาป่าโหยหวน มันเคลื่อนไหวอย่างกระสับกระส่ายราวกับว่าสามารถพุ่งลงไปกัดได้ตลอดเวลา
คันธนูและลูกศรของทั้งสองฝ่ายกำลังเผชิญหน้ากัน ด้วยจำนวนคนมากมายเพียงนี้ ไป๋เริ่นก็จะเป็นเพียงเป้าหมายเคลื่อนที่ในสนามรบเท่านั้น บัดนี้หากอาศัยความโกลาหลแล้วลงไปข้างล่างแน่นอนว่าอาจช่วยได้ แม้ว่ามันจะแยกแยะศัตรูและพวกเดียวกันไม่ออก ทว่าก็จำเจ้าอี่โหลวได้…
ครุ่นคิดไปมา ซ่งชูอีก็ลงจากไป๋เริ่น ยื่นมือตบๆ หัวของมัน เอ่ยเสียงเบา “ไปเถิด”
มันเขย่าร่างอย่างแรงและพุ่งลงไปตามไหล่เขาทางเหนือราวกับสายฟ้า เสียงหอนอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของหมาป่าดังขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้นก็มีเสียงหมาป่าโหยหวนดังขึ้นเป็นระลอกในป่ารอบทิศ ซ่งชูอีเงี่ยหูฟัง ได้ยินเพียงเสียงที่มากขึ้นเรื่อยๆ และใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และไม่รู้ว่ามีหมาป่ากี่ตัวกันแน่
“ไป๋เริ่นลงไปที่เนินเขาทางไหน?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
นายพลหลี่ว์เพิ่งจะดึงสติออกมาจากความตะลึงงัน ยังคงพูดติดๆ ขัดๆ “ทะ ทาง ทางเหนือขอรับ”
“ดี ไป๋เริ่นยิ่งเหมือนข้าแซ่ซ่งมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” สีหน้าของซ่งชูอีเปี่ยมด้วยความปิติยินดี
ทุกคนได้ยินเสียงหมาป่าโหยหวนมากมายปานนี้ก็รู้สึกตกตะลึง นายพลหลี่ว์หันมาดุด่าด้วยความโกรธ “ตะโกนสิ! จะหยุดทำไม!”
ทุกคนคิดถึงการเลื่อนขั้นทางหารทหาร จึงรีบตะโกนไปทางปากด่านอย่างพร้อมเพรียงกัน เสียงสั่นสะท้านแผ่นดินของกองทัพฉินดังก้องมณฑลส่านซี เสียงหอนของหมาป่าในป่ารอบด้านเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สงครามที่มีคนไม่ถึงสองหมื่นคนครั้งนี้เพิ่มความกล้าหาญและแปลกประหลาดขึ้นเล็กน้อย
เนื่องจากทหารสู่ที่อยู่ในสนามรบไร้ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจจึงสับสนวุ่นวายท่ามกลางการโจมตีขนาบข้างเช่นนี้ การจัดขบวนทหารดั้งเดิมได้เสียรูปร่างไปนานแล้ว เหล่าทหารวิ่งกันอลหม่านและเหยียบเท้ากันเอง พวกเขาบีบกันไปทางตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความตื่นตระหนก ทหารม้าเหล็กของกองทัพฉินยังไปไม่ถึงด้านหน้า กองทัพสู่ก็ล้มลุกคลุกคลานไปทั่วพื้นแล้ว
ครั้นหมาป่าที่รวมตัวกันจากทางเหนือเห็นดังนี้ก็รีบพุ่งเข้ามากัดทันที กองทัพสู่ในเวลานี้ประหยัดเวลาในการล่าสัตว์ใหญ่ชนิดอื่นๆ กว่าช่วงปกติไปได้มาก
เมื่อม้าที่กองทัพฉินขี่เห็นฝูงหมาป่าก็หยุดชะงักในระยะห่างออกไปสี่จั้ง หันหลังกลับและไม่ยอมก้าวไปข้างหน้าอีก
ในเวลานี้กองทัพสู่สามพันนายกั้นกลางระหว่างกองทัพฉินและฝูงหมาป่า เจ้าอี่โหลวอาศัยอยู่ในป่าเป็นเวลานาน จึงสามารถเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นโดยธรรมชาติ เขารีบออกคำสั่งให้ปิดกั้นหุบเขา ไม่อนุญาตให้กองทัพสู่หนีออกไปแม้แต่คนเดียว
ทันใดนั้นสนามรบก็กลายเป็นงานเลี้ยงของหมาป่า หมาป่าผู้หิวโหยจำนวนมากมีเหตุผลใดที่จะต้องเกรงใจเมื่อเผชิญหน้ากับอาหารอันโอชะเช่นนี้เล่า เลือดอันหอมหวานกระตุ้นสัญชาตญาณสัตว์ป่าของพวกมัน การกัดทวีความดุร้ายมากขึ้นและหมาป่าก็มารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ
ในทางตรงกันข้ามกองทัพฉิพกำลังรอซ้ำยามเปลี้ย ได้แต่สกัดกั้นปากด่านอยู่ตรงนี้
ชาวสู่มีประสบการณ์การล่าสัตว์ หลังจากตื่นตระหนกอยู่ครู่หนึ่งก็ดึงสติกลับมาและเหวี่ยงดาบเพื่อฆ่าหมาป่าทันที เดิมทีหมาป่าเป็นสัตว์ฉลาด รู้ว่าควรจะหยุดเมื่อใด ทันทีที่คู่ต่อสู้โต้กลับอย่างดุเดือดและเป็นระเบียบ มันก็เขาลากคนที่ยังไม่ตายไปที่ป่าทั้งสองข้างทันที
และในเวลานี้กองทัพสู่ก็ถูกกัดตายไปแล้วหนึ่งพันกว่าคน
เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา! ต่อให้กองทัพฉินต่อสู้กันเป็นเวลาสองเค่อก็อาจไม่ตายมากถึงเพียงนี้
เจ้าอี่โหลวรู้สึกว่ากองหน้าของทัพสู่ผ่อนคลายลง จึงสั่งให้ยิงธนูทันที
……
สายลมยามค่ำคืนส่งเสียงซู่ซ่า กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่วพร้อมกับสายลม
ทางฝ่ายจี้ฮ่วนนำทหารสองพันห้าร้อยนายลงมาจากเนินทางเหนือเงียบๆ จากนั้นก็เร่งเดินทางไปตามถนนสายเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ขณะที่เขาลงมาจากเขาก็เห็นกองทัพสู่ส่วนหนึ่งกำลังต่อสู้กับกองทัพฉินเลือนราง มีแม่ทัพสู่อีกคนคอยสั่งกองกำลัง เหมือนจะเตรียมให้กองกำลังส่วนหนึ่งของรัฐสู่ยับยั้งกองทัพฉิน ส่วนคนอื่นก็คุ้มกันองค์รัชทายาทสู่ให้ล่าถอยออกไปก่อน
จี้ฮ่วนทำตามคำสั่งของซ่งชูอีอย่างเคร่งครัด ไม่กล้ารีรอเวลา รีบส่งสายสืบไปตรวจสอบจำนวนคนของรัฐสู่ที่จะล่าถอยไปก่อน ทำให้เขาสามารถวางแผนในใจได้
หลังจากวิ่งไปตามถนนสายเล็กประมาณหกถึงเจ็ดลี้ก็พบกับหุบเขาแคบๆ หากเลือกที่จะทิ้งก้อนหินลงมาจากด้านบนสำหรับการซุ่มโจมตีก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ทว่าเวลามันกระชั้นชิดมาก บางทีกองทัพสู่อาจจะผ่านที่นี่ในขณะที่พวกเขายังเตรียมการไม่เสร็จสิ้น บวกกับคำสั่งของซ่งชูอีที่บอกว่าต้องฆ่าให้เรียบ…
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง จี้ฮ่วนก็ตัดสินใจที่จะซุ่มโจมตีตรงปากทางออก
แสงจันทร์และแสงดาวมืดสลัวในราตรีอันกว้างใหญ่ บวกกับหุบเขาคับแคบ ด้านในจึงมืดสนิท จี้ฮ่วนสั่งให้คนส่วนใหญ่ซ่อนตัวอย่างมิดชิด แล้วพาบางส่วนไปที่ข้างถนนเพื่อดึงเถาวัลย์บิดเป็นเชือก จากนั้นก็ผูกไว้ที่ระยะห่างจากทางออกหนึ่งจั้ง
จี้ฮ่วนกำลังคิดว่ากองทัพสู่จะใช้ถนนเส้นนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นถนนเส้นเดียวที่มุ่งหน้าไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทว่าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล่า?
เขาเพิ่งจะคิดจบ สายสืบก็เข้ามารายงานด้วยความร้อนรน “หัวหน้าขอรับ กองทัพสู่มาถึงแล้ว น่าจะมีสี่พันกว่านายโดยประมาณ!”
เนื่องจากจี้ฮ่วนไม่มีตำแหน่งทางทหารอย่างเป็นทางการ ดังนั้นพวกทหารจึงไม่รู้ว่าต้องเรียกเขาเยี่ยงไร จึงเรียกเพียง “หัวหน้า” เท่านั้น
จี้ฮ่วนถอนหายใจในใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ท่านหวยจินจะให้สองพันห้าร้อยคนไปกับเขา ต่อให้พามาสามพันก็ยังน้อยเกินไป! เขาโบกมือทันใด “ซ่อนตัว!”
ฝูงชนถือง้าวฉินซ่อนตัวอยู่สองข้างทางของหุบเขา กลั้นหายใจรอการมาถึงของกองทัพสู่
ไม่รู้ว่าไปนานเท่าใดก็เกิดแรงสั่นสะเทือนเล็กน้อยบนพื้นดิน จากนั้นเสียงเกือกม้าก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทหารฉินแต่ละคนถือง้าวยาวในมือแน่น
อย่างไรก็ดี เสียงเกือกม้านั้นกลับหยุดกะทันหันขณะที่เข้ามาถึงครึ่งทางของหุบเขา จี้ฮ่วนตกใจ หรือว่าจะถูกจับได้เข้าให้แล้ว!?
จากนั้นบทสนทนาภาษาสู่ก็ดังขึ้นในหุบเขา น้ำเสียงฟังดูร้อนรนเป็นอย่างมาก จี้ฮ่วนไม่เข้าใจ จึงได้แต่หันไปทางสายสืบ
สายสืบพูดกับเขาด้วยรูปปาก ‘กองหลังของกองทัพสู่ต้องการกำลังเสริม กองทัพสู่ส่งสองพันคนกลับไปแล้ว’
ทหารม้าสู่ไม่เหมือนของทหารฉิน หากเจ้าอี่โหลวสามารถทะลุแนวป้องกันพวกเขาได้ เป็นไปได้ว่าพวกเขาก็จะถูกไล่ตามทันในไม่ช้า ดังนั้นท่านแม่ทัพจึงส่งทหารสองพันนายกลับไปเพื่อหยุดทหารม้าฉินโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนใดๆ และเพื่อให้เวลาองค์รัชทายาทได้หลบหนี ทว่าต่อให้เขานอนหลับฝันก็คงคิดไม่ถึงว่าการตัดสินใจของเขาทั้งหมดเป็นหนึ่งในแผนการของคนบางคน มีการเตรียมการซุ่มโจมตีจำนวนมากสำหรับเขาอยู่เบื้องหน้าแล้ว
เสียงเกือกม้าดังขึ้นอีกครั้ง จี้ฮ่วนยกมือขึ้นช้าๆ เพื่อส่งสัญญาณให้เตรียมตัว
ฮี้…
ม้าส่งเสียงร้องฮี้ มีเสียงปังดังขึ้น จากนั้นเสียงเปรี้ยงปร้างก็ดังตามมาไม่หยุด โกลาหลอยู่พักหนึ่งจึงค่อยๆ สงบลง
จี้ฮ่วนแทบอดไม่ไหวที่จะสั่งให้ฉวยโอกาสจากความวุ่นวายเพื่อสกัดกั้นและสังหาร แต่เมื่อคิดว่าสองพันคนเมื่อครู่คงไม่ได้ไม่ไกลเท่าไรจึงอดทนไว้
ทางปากด่านเอ่ยถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
แสงในหุบเขามืดสลัวจนมองแทบไม่เห็น เชือกเถาวัลย์ที่พวกจี้ฮวนดึงด้วยความรีบร้อนนั้นหยาบมาก บนหน้าผาก็มีเถาวัลย์ห้อยต่องแต่งมากมาย ดังนั้นเมื่อทหารสู่สัมผัสกับเถาวัลย์แล้วก็ไม่พบกับความผิดปกติใดๆ จึงตอบรับเสียงหนึ่ง “ไม่มีอะไร!”
อย่างไรก็ตามจี้ฮ่วนก็ติดตามซ่งชูอีท่องเที่ยวทั่วรัฐสู่เป็นเวลาครึ่งปี เขาจึงเข้าใจคำถามง่ายๆ เช่นนี้ รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง
ครั้นได้ยินเกือกม้าเข้ามาใกล้ จี้ฮ่วนก็โบกมือ ทหารฉินแต่ละคนถือง้าวแนวนอนแล้วพุ่งตรงไปยังเกือกม้าที่เพิ่งจะวิ่งออกมา
เพียงพริบตาเดียวทั้งคนและม้าก็ล้มระเนระนาด
จี้ฮ่วนไม่ได้ตะโกนว่าฆ่า ทหารฉินรีบพุ่งออกไปสังหารอย่างเงียบๆ
กองทัพสู่ที่ยังไปไม่ถึงไหนเหมือนจะได้ยินบางอย่างผิดปกติ จึงส่งสายลับไปถามทันที ทว่าก็ยังรีบกลับไปเสริมกำลังโดยไม่กล้าหยุดรอ