กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 218 วาดดาบครั้งเดียวได้นกสองตัว
“กลับไปที่กองทัพ!” ท่านแม่ทัพสู่คำรามเสียงดัง
“ขอรับ!” นายทหารกล่าว
“หยุดเขา!” จี้ฮ่วนไม่จำเป็นต้องเข้าใจภาษาสู่ก็รู้ว่าท่านแม่ทัพคนนั้นมีความประสงค์อย่างไร
สิ้นวาจา กองทัพฉินก็ตั้งขบวนบีบกองทัพสู่ให้แตกออกไปสู่ถนนแคบๆ เหมือนไม่ไผ่ที่แยกออกจากกัน ทหารฉินที่คิดว่าตนสามารถมองเห็นได้ดีในเวลากลางคืนก็รีบตามไปสังหารผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
ครั้นกองทัพฉินสามารถฝ่าแถวลึกเข้าไปได้ กองทัพทั้งสองฝ่ายก็ต่างฟาดฟันอยู่ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ รูปขบวนของทหารฉินก็เหมือนกับดาบคมที่ฆ่าทั้งสองฝ่ายจากตรงกลาง ขอเพียงไม่แตกขบวน ต่อให้ภายนอกจะมืดมิดก็ไม่กลัวว่าจะเกิดความโกลาหล ทว่าผู้ที่ถูกบีบให้เข้าใกล้กำแพงหินก็คือทหารสู่
ในทางตรงข้ามกองทัพสู่ถูกบีบให้แตกขบวน อีกทั้งเบื้องหน้ายังเป็นสีดำสนิท สถานการณ์ย่ำแย่เป็นอย่างยิ่ง
การต่อสู้นองเลือดได้ขยายตัวไปยังหุบเขาทั้งสองฟาก
ค่ำคืนที่มืดมิดกระตุ้นด้านมืดที่น่ากลัวในจิตใจของผู้คน กองทัพฉินที่นำโดยจี้ฮ่วนมักจะมีชัยชนะที่เหนือกว่าเสมอ เมื่อไม่เห็นศัตรู กองทัพสู่ก็รีบถอยกลับเข้าไปในหุบเขา ด้วยแสงสว่างเพียงน้อยนิด จี้ฮ่วนเห็นกลุ่มทหารสู่ที่ปากด่านคุ้มกันชายหนุ่มร่างอ้วนอยู่ในกำแพงมนุษย์ทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ
จี้ฮ่วนตระหนักได้ในทันทีว่าคนคนนั้จะต้องเป็นองค์รัชทายาทสู่อย่างแน่นอน จึงกล่าวด้วยเสียงอันดัง “คุ้มกันข้า!”
ด้วยเสียงอันดังนี้ ทหารฉินที่อยู่โดยรอบรีบฝ่าเข้ามาคุ้มกันให้เขาอยู่ตรงกลาง
จี้ฮ่วนทิ้งดาบและดึงคันธนูออกมาจากด้านหลัง เพียงเสียงชึ้งลูกศรก็อยู่บนคันธนูแล้ว คันธนูที่ถูกดึงจนเหมือนกับพระจันทร์เต็มดวงส่งเสียง “เอี๊ยดอ๊าด” เล็กน้อย ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่เด็กหนุ่มคนนั้นที่เดินหน้าและถอยไปมาอยู่ในความมืด กำแพงมนุษย์ที่หนาแน่นทำให้ยากที่จะเล็งได้อย่างแม่นจำ อีกทั้งยังมีผู้คุ้มกันที่คอยดูแลชายหนุ่มอยู่ข้างหลังอย่างเข้มงวด เผยให้เห็นจุดสำคัญระหว่างการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ทั้งสองอยู่ห่างกันเพียงสิบกว่าจั้ง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่เห็นการเคลื่อนไหวของจี้ฮ่วน ในขณะที่กำลังเร่งการถอยทัพ มือธนูจำนวนหนึ่งก็เล็งธนูมาที่เขาทันที
ดวงตาของเขากะพริบเล็กน้อย ทว่ายังคงไม่เคลื่อนไหว
ทันใดนั้นแสงจันทร์ก็โผล่พ้นก้อนเมฆ ใต้โลกสว่างจ้าเล็กน้อย ส่วนร่างกายของจี้ฮ่วนที่เผยออกมาทำให้กองหลังขององค์รัชทายาทสู่มีปฏิกิริยาตอบสนองทันที
ฟิ้ว!
ฟิ้วฟิ้วฟิ้ว!
ทั้งสองฝ่ายปล่อยธนูในเวลาเดียวกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ทหารฉินที่คุ้มกันจี้ฮ่วนชักดาบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ดีดาบกลับไม่รวดเร็วเท่าลูกธนู มีลูกธนูสองดอกพุ่งตรงไปที่หน้าอกและต้นขาของจี้ฮ่วนพร้อมกับเสียงที่แหวกว่ายผ่านอากาศ!
จี้ฮ่วนพลิกมือดึงดาบที่ปักอยู่ในดินขึ้นมาฉับพลัน ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้ทันก็ยกมือขึ้นปัดลูกธนูที่กำลังพุ่งมายังหน้าอกออกไป ลูกธนูที่มีพลังตกค้างไม่รู้ว่ายิงไปทิศทางใด
ทว่าลูกธนูอีกดอกกลับพุ่งเข้าไปที่หน้าขาของเขาอย่างจัง
“ซื้ด!” จี้ฮ่วนกัดฟัน อดไม่ได้ที่จะบีบเสียงอู้อี้ออกมาจากระหว่างฟัน สาปแช่งเสียงต่ำแล้วคำรามออกมา “สายสืบยังมีชีวิตอยู่หรือไม่! ไปบอกไอ้เฮงซวยพวกนั้นว่าองค์รัชทายาทถูกคนยิงแล้ว!”
สายสืบมิได้ตอบ ทว่าคนในกลุ่มที่เข้าใจภาษาสู่ได้ถ่ายทอดคำพูดของจี้ฮ่วนออกไปด้วยเสียงอันดังแล้ว
ทักษะดาบของจี้ฮ่วนมีความแม่นยำสูง ในระยะดังกล่าวเขามั่นใจว่าตนได้ยิงโดนองค์รัชทายาทสู่แล้ว!
แน่นอนว่าครั้นสายสายสืบได้ถ่ายทอดสิ่งนี้ออกไปกองทัพสู่ก็ก็เริ่มร้อนรนในทันที ความโกลาหลนั้นเริ่มต้นจากทหารองครักษ์ขององค์รัชทายาท ชั่วอึดใจเดียวความตื่นตระหนกก็กระจายไปทั่วกองทัพสู่
ภารกิจของเขาคือปกป้ององค์รัชทายาท บัดนี้องค์รัชทายาทเกิดเรื่องแล้ว พวกเขาไม่สนอีกแล้วว่าจะแพ้หรือชนะเพราะมันล้วนนำไปสู่ความตายทั้งสิ้น หากฉวยประโยชน์จากตอนนี้หลบหนีเข้าไปในหุบเขาแล้วปกปิดชื่อแซ่ก็ยังมีความหวังที่จะรอดชีวิตอยู่บ้าง
นี่เป็นเหตุผลที่เรียบง่ายมาก
ในพริบตา กองทัพสู่ก็เข้ามาในหุบเขา
“ห้ามหนี! ผู้หลบหนีจะถูกฆ่าโดยไม่ปรานี!” แม่ทัพกองทัพสู่เอ่ยด้วยความร้อนรน
อย่างไรก็ตายอยู่ดี ใครยังจะไปสนใจเรื่องนี้อีก!
ท่านแม่ทัพเหวี่ยงดาบฆ่าทหารที่กำลังหลบหนีสองนายท่ามกลางความสิ้นหวัง มันไม่เพียงแต่ไม่ได้มีผลในการยับยั้ง ในทางตรงกันข้ามกลับทำให้กองทัพสู่ที่อยู่ข้างกายเขาก่อกบฏอีกด้วย
ทหารฉินใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้แปรเปลี่ยนให้เป็นความกล้าหาญมากขึ้น ร่ายรำหอกดาบและฟาดฟันอย่างรุนแรง
จี้ฮ่วนอยู่ในสนามรบมานาน การบาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดามาก เขารู้โดยธรรมชาติว่าลูกศรที่ต้นขานี้ไม่ได้ทำลายเส้นเลือดที่สำคัญ เขาจึงกัดฟันและดึงลูกธนูออกมา
เลือดที่พุ่งออกมาส่งเสียง “ซู่” เล็กน้อย เขาดึงชุดเกราะบนหน้าขาของตัวเองออก ฉีกกางเกงที่น่องแล้วพันบาดแผลแน่น เดินไปยังหุบเขาอย่างทุลักทุเล กองทัพสู่ที่โหลาหลถูกบีบเข้ามาในหุบเขาราวกับเนื้อที่อยู่บนเขียงและถูกทหารฉินสังหารอย่างรวดเร็ว
เมื่อทุกอย่างสงบลง ทหารฉินก็ถอยออกจากหุบเขาเพื่อพักหายใจอยู่ที่ปากหุบเขาครู่หนึ่ง
ภายใต้แสงจันทร์อันหนาวเหน็บ จี้ฮ่วนค้นหาศพบนพื้นอย่างระมัดระวัง และพบทหารรอารักขาขององค์รัชทายาทจริงๆ หลังจากที่ลูกธนูทะลุผ่านลำคอเขาแล้ว มันก็ตรงเข้าไปที่ดวงตาซ้ายขององค์รัชทายาทสู่ ลูกตาสีขาวที่เสียหายชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงเข้มน่าขยะแขยง
“อืออือ…” ปากขององค์รัชทายาทสั่นเล็กน้อย เสียงครางต่ำดังเล็ดลอดออกมาเบาๆ แต่ยังไม่ตาย
แสงจันทร์ขาวซีดทำให้ใบหน้าขาวแดงขององค์รัชทายาทสู่ดูแปลกตา และน่าสงสารมากเช่นกัน
จี้ฮ่วนพ่นลมหายใจอย่างแรง ดึงดาบอ่อนออกจากเอว หลับตาและเหวี่ยงดาบไปที่คอขององค์รัชทายาทสู่ ซ่งชูอีเป็นคนมอบดาบเล่มนี้ให้เขา ดาบคมกริบจนแทบตัดเหล็กได้ เขาเสียดายที่จะใช้มัน ครั้งแรกที่เขาใช้มันเพื่อฆ่าใครสักคนก็เพื่อต้องการให้เด็กหนุ่มจากไปได้อย่างสบาย
“หัวหน้า ไม่รู้ว่าฆ่าเกลี้ยงแล้วหรือไม่ ต้องการจะตามไปไหมขอรับ?” นายทหารก็เห็นธนูที่ “ยิงครั้งเดียวได้เหยื่อสองคน” ของเขา แววตาที่มองจี้ฮ่วนอีกครั้งเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว
จี้ฮ่วนมองดูหุบเขาที่มืดสนิท แล้วมองกองซากศพบนพื้นอีกครั้ง ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ต่อให้มีคนรอดชีวิต ก็เกรงว่าจะเหลือแค่ไม่กี่คน ไม่ต้องตาม”
แม้ว่าซ่งชูอีจะสั่งให้สังหารทั้งหมด แต่ภูมิประเทศตรงหน้าไม่เหมาะกับแก่การไล่สังหารเลยจริงๆ หากคนเหล่านั้นมิได้หลบหนีทว่าแอบซ่อนอยู่ในความมืดเล่า เกรงว่าก็จะต้องสูญเสียทหารม้าไปอีกจำนวนหนึ่ง คนเหล่านั้นก็เพียงแค่อยากมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตราบใดที่ไม่บีบให้พวกเขาจนตรอกก็จะไม่มีอันตรายใดๆ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อมองเห็นซากศพที่กองสูงดุจภูเขาเช่นนี้แล้วก็คาดว่าคงมีเพียงไม่กี่สิบคนที่เหลืออยู่ในกองทัพสู่เท่านั้น
ช่างเถิด กลับไปรับโทษกับท่านหวยจินก็แล้วกัน! จี้ฮ่วนถอนหายใจ
“หึ! ท่านแม่ทัพคนนี้ถูกเหยียบจนตายทั้งเป็นแล้ว” นายพลคนหนึ่งส่งเสียงเยาะเย้ย ลากศพแม่ทัพสู่ออกมาจากกองศพ เหวี่ยงดาบสับศีรษะของเขาและถอดชุดเกราะของเขาออก
เมื่อจี้ฮ่วนเห็นว่าทุกอย่างดีขึ้นแล้วจึงเอ่ยขึ้น “รวบรวมกำลัง”
ทหารฉินแต่ละคนลุกขึ้นมายืนเรียงแถว เริ่มตั้งแต่ตำแหน่งอู๋จั่ง รายงานต่อให้นายสิบ แล้วรายงานต่อนายร้อย นายพัน ในไม่ช้าก็จะสามารถนับจำนวนที่เหลือได้และมันก็เหลือเพียงสองพันกว่านาย
การต่อสู้ครั้งนี้นับว่าเป็นไปด้วยความว่องไว จี้ฮ่วนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเล็กน้อย ถอดเสื้อผ้าของทหารสู่ที่เสียชีวิตแล้วห่อศีรษะขององค์รัชทายาทสู่ จากนั้นก็กล่าวขึ้น “พักผ่อนสักหนึ่งเค่อ! หลังจากหนึ่งเค่อผ่านไปไม่มีผู้บาดเจ็บมารับทหารม้าของรัฐสู่ค่อยกลับไป”
“ขอรับ!” หลังจากชนะการต่อสู้ ทุกคนก็หายเหนื่อยและตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
จี้ฮ่วนสั่งให้คนนำม้าเร็วส่งศีรษะขององค์รัชทายาทกลับไปก่อน
……
หุบเขาทางนี้กลับสู่ความเงียบสงบ ส่วนกองทัพสู่ทางนั้นกลับต่อสู้แทบตาย
เจ้าอี่โหลวนำกองกำลังออกไล่ล่ากองกำลังที่เหลืออยู่ของกองทัพสู่ และเผชิญหน้ากับกองกำลังเสริมของทหารสู่ที่ทางแคบพอดี ทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันจะได้พักหายใจก็สู้กันอีกครั้ง
ซ่งชูอีก็ได้ส่งคนข้างกายสี่ร้อยคนเข้าช่วยเหลือ โดยเหลือเพียงหนึ่งร้อยคนคอยคุ้มกัน
การจบการต่อสู้อย่างรวดเร็วคือสิ่งที่ดีที่สุด
สำหรับกองทัพสู่แล้ว ตราบใดที่องค์รัชทายาทสู่ยังอยู่และรัฐสู่ยังไม่แตก พวกเขาก็จะสามารถรักษาความศรัทธาไว้ได้ อย่างไรก็ดีความศรัทธานี้ถูกทำลายลงฉับพลันหลังจากประมือกับทหารฉินเพียงเวลาสองเค่อ
“ภัยพิบัติอยู่เบื้องหน้า ทหารของเราสังหารองค์รัชทายาทสู่และแม่ทัพรัฐสู่ได้แล้ว!” สายสืบจงใจตะโกนด้วยภาษาสู่
พูดพลางก็โยนชุดเกราะที่ถอดออกจากแม่ทัพสู่ไปยังขบวนของกองทัพสู่ ชุดเกราะสีเขียวเข้มสะท้อนแสงจันทร์สีขาวเยือกเย็น
เกือบจะชั่วพริบตา กองทัพสู่ผ่อนคลายความระมัดระวังลง เจ้าอี่โหลวถือโอกาสนี้ตะโกนเสียงดัง “ฆ่า!”
จิตวิญญาณอันอ่อนล้าของทหารฉินถูกสั่นคลอน พวกเขาฝ่าขบวนกองทัพสู่จากการนำทัพของเจ้าอี่โหลว
กองทัพสู่แตกเพียงชั่วพริบตา
จากนั้นกองทัพฉินก็ถือไพ่เหนือกว่าอย่างต่อเนื่องและสังหารส่วนที่เหลือของกองทัพศัตรู
สายลมเย็น ท้องฟ้าทางตะวันออกกลายเป็นสีขาวขมุกขมัว แสงยามอรุณรำไรส่องอยู่บนต้นไม้ใบหญ้าที่ชุ่มไปด้วยเลือดสีแดงสด สายเลือดที่ท่วมท้นสะท้อนแสงแดดอยู่บนพื้นที่ขนาดใหญ่ แสงอาทิตย์บนท้องฟ้าทอแสงสีส้มทองอยู่เบื้องหลังก้อนเมฆ แสงนั้นส่องสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นทุกแสงสีก็ทะลุผ่านชั้นเมฆและส่องสว่างพื้นโลก
ศพเหล่านั้นจมอยู่ในกองเลือด แสงและหมอกยามเช้าปรากฏเป็นสีแดงสด
เด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางสวมเสื้อคลุมแขนกว้างสีดำนั่งไขว่ห้างอยู่บนจุดสูงสุดของหุบเขา เขากำลังหลับตา ใบหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยสงบนิ่งไร้ความรู้สึกราวกับสระน้ำที่ไร้คลื่นลม
ปรอยผมบนหน้าผากถูกสายลมจากภูเขาพัดไหวเล็กน้อย มันเกาะอยู่บนหน้าผากของนางที่อวบอิ่มกว่าคนธรรมดาทั่วไป รอยแผลขนาดประมาณหนึ่งนิ้วที่หว่างคิ้วยังคงเป็นเนื้อสีชมพูจางๆ
“กา…กา…” เสียงร้องแหบแห้งและดุดันของอีกาเหนือหุบเขาดังขึ้นทำลายความเงียบของเช้าวันใหม่
เด็กหนุ่มในชุดดำราวกับตกใจ ขยับตัวเล็กน้อย
“ท่านขอรับ ฟ้าสว่างแล้ว” หัวหน้าหมอข้างกายเอ่ยขึ้น
“อืม” นางตอบรับเสียงหนึ่ง
เสียงสวบๆ ดังขึ้นจากในป่า นายทหารทั้งร้อยคนตัวแข็งทื่อทันใด ถือง้าวระวังตัว
ไม่ช้าร่างของไป๋เริ่นก็พุ่งออกมา ทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“หวยจิน” เสียงของเจ้าอี่โหลวดังขึ้นด้วยความยินดี
ซ่งชูอีมิได้หมุนตัวกลับไป เพียงแค่เอียงหน้าเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มคลุมเครือ “ผู้ใจเสาะบางคนช่างกล้าหาญเสียเหลือเกิน”
สีหน้ามืดมนของเจ้าอี่โหลวแดงระเรื่อ เดินเข้าไปนั่งยองๆ ข้างนาง น้ำเสียงขุ่นเคืองเจือปนความกังวล “ได้ข่าวว่าเจ้าบาดเจ็บ หายแล้วหรือยัง?”
ขณะที่ซ่งชูอีบาดเจ็บ เขากำลังไปโจมตีหวังเฉิงตามคำสั่งของซย่าเฉวียน ต่อมาก็ได้ยินว่านางได้รับบาดเจ็บที่ผิวหนังเล็กน้อย แต่เพราะว่าสงครามกระชั้นเข้ามา เขาจึงไม่มีเวลาไปสืบข่าวโดยละเอียด
“หายแล้ว เพียงแต่ทิ้งผลข้างเคียงนิดหน่อย” ซ่งชูอียิ้มพร้อมหันหน้าไปทางเขา
เพียงพริบตาเดียว เจ้าอี่โหลวก็เห็นสิ่งที่ซ่งชูอีเรียกว่า “ผลข้างเคียงนิดหน่อย” ทันที โครงหน้านั้นซูบตอบ ดวงตาเลื่อนลอย รอยแผลเป็นจางๆ บนหน้าผาก ทุกๆ อย่างล้วนทิ่มแทงหัวใจของเจ้าอี่โหลว มันเจ็บปวดจนเขาแทบหายใจไม่ออก ดวงตาที่เดิมทีแดงก่ำอยู่แล้วแทบจะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด
“ฝีมือใคร!” เสียงทุ้มต่ำและแหบแห้งของเจ้าอี่โหลวเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง
ซ่งชูอีมิได้ตอบเนิ่นนาน เจ้าอี่โหลวหันหน้าไปมองหัวหน้าหมอ ชายชราตกใจจนตัวสั่น รีบตอบเสียงเบา “เป็นถูอู้ลี่”
“หากเจ้ามีใจ ก็ใช้ชีวิตให้ดี เป็นดวงตาของข้า” ซ่งชูอียกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าของเจ้าอี่โหลวได้อย่างแม่นยำ หลังจากที่ได้ต่อสู้ในสนามรบเจ้าอี่โหลวจะต้องมีความเป็นผู้ชายมากขึ้นอย่างแน่นอน เพียงแต่น่าเสียดายที่นางมองไม่เห็น
“ได้” เจ้าอี่โหลวผงกศีรษะตอบรับ
ซ่งชูอียิ้ม “ไปเถิด กับสมทบกับกองทัพ”