กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 219 สามารถหยดออกมาเป็นน้ำได้
ทหารฉินตั้งค่ายห่างจากสนามรบออกไปห้าลี้ รอจี้ฮ่วนนำทหารเข้ามาสมทบ
พวกเขาไล่สังหารองค์รัชทายาทสู่ไม่หลับไม่นอน บัดนี้ล่วงเลยมาสองวันสามคืนแล้ว มีเพียงอาหารแห้งที่พกติดตัวเพื่อประทังความหิวเท่านั้น เวลาที่รัฐฉินออกรบจะมีอาหารแห้ง เนื้อแห้ง แป้งทอดและข้างฟ่างทอดแจกจ่ายให้กับเหล่าทหารทุกนาย ทว่ารัฐสู่ร้อนชื้น เนื้อแห้งกับแป้งทอดขึ้นรานานแล้ว ข้าวฟ่างที่เหลืออยู่ก็เพิ่งกินหมดไปเมื่อเช้าวานนี้
ดวงอาทิตย์ส่องแสงบนพื้นหญ้า ทหารฉินนอนระเกะระกะ หากไม่ใช่เพราะหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลงก็คงเหมือนซากศพที่เกลื่อนพื้น
ซ่งชูอีนั่งอยู่ริมน้ำโดยมีผ้าสีดำคาดปิดตา แม้ว่านางจะมองไม่เห็นอีกต่อไปแล้ว ทว่าหัวหน้าหมอก็ยังแนะนำว่าอย่ารับสิ่งกระตุ้นจากสภาพแวดล้อมภายนอกจะเป็นการดีที่สุด
เจ้าอี่โหลวสีหน้ามืดมน ภายในระยะสิบก้าวนอกจากซ่งชูอีกับไป๋เริ่นแล้วก็ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้
“เจ้าทำหน้าบึ้งอะไรอีก” ซ่งชูอีเอ่ย
เจ้าอี่โหลวหันหน้ามากล่าว “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าทำหน้าบึ้ง”
“บนตัวเจ้ามีขนกี่เส้นมีหรือที่ข้าจะไม่รู้?” ซ่งชูอีหัวเราะเอ่ย “มีบางอย่างไม่จำเป็นต้องเห็นหรอก”
เจ้าอี่โหลวขมวดคิ้วพลันเปลี่ยนหัวข้อ “รอจนกองทัพใหญ่เข้ามาสมทบแล้ว ข้าจะคุ้มกันเจ้ากลับไปรักษาที่เสียนหยางทันที”
ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยื่นมือโอบไหล่ของเขาแล้วโน้มตัวกระซิบข้างหู “แล้วแต่เจ้าผู้ใจเสาะเลย”
เจ้าอี่โหลวใบหน้าแดงระเรื่อ กล่าวเสียงต่ำด้วยความโมโห “เจ้าน่ะหยาบคายอยู่เสมอเชียว ต่อไปห้ามกล่าวคำนี้อีก!”
ซ่งชูอีนวดคลึงใบหน้าของเขา กล่าวด้วยความเกียจคร้าน “อืม เสี่ยวฉง (หนอนน้อย) กลายเป็นต้าฉง (หนอนใหญ่) แล้ว อารมณก็หงุดหงิดง่าย ทว่านี่มันชวนให้น่าหลงใหลเสียจริง”
เจ้าอี่โหลวขุ่นเคือง จับจ้องดาบจวี้ชางด้วยความหงุดหงิด เวลาที่ไม่เจอซ่งชูอีเขาก็มักอยากจะกลับตัวไปเริ่มอะไรบางอย่างสักครั้ง ไม่ว่าจะเริ่มลวนลามนางหรือว่าถือไพ่เหนือกว่าในแต่ละสถานการณ์ ทว่าครั้นเจอหน้าก็เป็นเช่นนี้ทุกที
เขามักจะก้าวตามหลังนางอยู่เสมอ
เจ้าอี่โหลวจนปัญญา ทำได้เพียงรวบรวมความกล้าที่จะพูดหัวข้อนี้ต่อ “ตกลงตามนี้ อีกสองวันออกเดินทาง”
ในที่สุดซ่งชูอีก็เลิกคิดเรื่องขบขันและกล่าวด้วยความขึงขัง “ท่านแม่ทัพไม่อยู่ จะลาโดยไม่ได้รับอนุญาตได้เยี่ยงไร! เจ้าได้รับราชโองการโดยตรงให้ทำสงครามกับปาสู่ คิดจะกลับก็กลับเช่นนั้นหรือ?”
“ข้าไม่สนราชโองการ!” เจ้าอี่โหลวเด้งตัวขึ้นมา จ้องนางโดยตรง เขาอ้าปากทว่ากลับไม่สามารถกล่าวประโยคหลังออกมาได้
ข้าไม่สนราชโองการ ขอเพียงเจ้าสบายดี
“ไม่สนก็ไม่สน เจ้าจะตะคอกทำไมกัน…” ซ่งชูอีแคะๆ หูแล้วตบๆ พื้นหญ้าข้างกาย “นั่งสิ”
เจ้าอี่โหลวเม้มปากแน่นแล้วเข้าไปนั่ง เขาโทษตัวเองที่ไร้ประโยชน์และช่างขี้ขลาดเหลือเกิน เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดขณะที่วาดดาบขึ้นฆ่าคนต่อหน้าทหารม้านับพันนับหมื่น เขาไม่เพียงแต่ไม่หวาดกลัวทว่ากลับรู้สึกตื่นเต้น ทว่าเมื่ออยู่กับซ่งชูอีจึงปอดแหกเป็นกระต่ายไปได้?
“อี่โหลวเอ๋ย” ซ่งชูอีลูบมือของเขา เอ่ยด้วยความจริงใจ “เปลี่ยนนิสัยขี้โมโหของเจ้าบ้าง จิตใจที่สงบจะสามารถนำไปสู่ชีวิตยืนยาวที่มีความสุข”
ซ่งชูอีที่คาดผ้าปิดตาและทุกการเคลื่อนไหวของนางเป็นดั่งเข็มที่ทิ่มแทงสายตาของเจ้าอี่โหลว ความเจ็บปวดนั้นแผ่ซ่านไปในหัวใจทีละน้อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหว เขาสูดหายใจลึก กล่าวราวกับขุ่นเคือง “หากเจ้ามีชีวิตยืนยาว ข้าก็สามารถมีความสุขได้ ไม่จำเป็นต้องมีจิตใจที่สงบ!”
สายลมโชยเอื่อยทำให้มุมปากของซ่งชูอียกยิ้ม และเจ้าอี่โหลวก็หน้าแดง
เงียบงันอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าอี่โหลวจึงขยับก้าวเดิน พูดอย่างรีบร้อน “ข้า ข้าจะไปดูว่าสายสืบมาถึงแล้วหรือยัง”
เจ้าอี่โหลวเป็นผู้นำทัพสูงสุดของที่นี่ ข่าวที่สายสืบนำมาจะต้องรายงานเขาเป็นคนแรก ทว่าการจากไปอย่างรีบร้อนเช่นนี้เป็นเพราะเขินอายเท่านั้น
หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผู้อื่น เกรงว่าก็คงไม่สามารถมองทะลุเขาจนเสียบรรยากาศได้ขนาดนั้น ทว่าซ่งชูอีมิใช่คนธรรมดา “หึหึ หนังหน้าบางกว่าผู้หญิงเสียอีก มันละเอียดอ่อนจนแทบจะคั้นน้ำออกมาได้เชียว”
หากไม่ใช่เพราะทหารฉินที่นอนอยู่ข้างๆ เหนื่อยล้าจนไม่สามารถแม้แต่จะส่งเสียงได้ พวกเขาก็คงอดไม่ได้ที่จะหัวร่อเสียงดัง ทว่าท่าทางดุร้ายป่าเถื่อนของเจ้าอี่โหลวในสนามรบได้ฝังลึกลงไปในสมองของทุกคนแล้ว แน่นอนพวกเขาจึงไม่คิดว่าเขาเหมือนกับตุ๊กตา
แต่ก็มีคนกระซิบเสียงเบา “นี่ เจ้าว่าตูเว่ยกับท่านที่ปรึกษามีความสัมพันธ์อะไรกัน?”
“ตูเว่ยของพวกเรามีแซ่และสกุลว่ากระไร?”
“ไม่รู้ ไม่ใช่ซ่งก็แล้วกัน”
“คงจะเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายกระมัง ตูเว่ยก็พูดแล้วมิใช่หรือ ขอเพียงท่านที่ปรึกษามีชีวิตอยู่เขาจึงจะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข”
“ช่างเป็นพี่น้องที่รักกันลึกซึ้งจริงๆ!”
……
เจ้าอี่โหลวหยุดเดินในระยะห่างออกไปสองจั้ง หมุนตัวกลับไปกวาดตามองพวกเขาเยือกเย็น
ทั้งสองคนถูกจับจ้องจนขนลุกซู่ คิดในใจ หูนี้ช่างเทียบเท่ากับไป๋เริ่นโดยแท้!
“ตูเว่ย” ผู้คนส่วนใหญ่กำลังนอนอยู่ สายสืบที่เข้ามาอย่างรีบร้อนจึงสามารถมองเห็นเจ้าอี่โหลวได้อย่างรวดเร็ว
“ตามข้ามา” เจ้าอี่โหลวเดินไปยังแม่น้ำที่ไกลออกไป
สายสืบรีบเดินตาม
“ว่ามา” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
“ขอรับ!” สายสืบประสานมือเอ่ย “เรียนตูเว่ย กองทัพของเราเอาชนะกองทัพสู่ที่อยู่ข้างหน้าได้แล้ว ทว่าถูอู้ลี่กำลังกำลังนำกองทัพที่เหลือหลบหนีมายังที่นี่ น่าจะมีประมาณสองพันนาย อยู่ห่างจากที่นี่ไปสิบสามลี้”
“ถู อู้ ลี่!” เจ้าอี่โหลวจ้องสายสืบเขม็งพร้อมกัดฟันถาม
แรงอาฆาตฉับพลันทำให้สายสืบตกใจกลัว “ขอรับ”
“เยี่ยม!” เจ้าอี่โหลวกำดาบจวี้ชางแน่น “จับตาดูทิศทางของถูอู้ลี่ต่อไป มารายงานได้ทุกเมื่อ”
“ขอรับ!” สายสืบรับคำสั่ง หมุนตัววิ่งจากไป
เจ้าอี่โหลวมองดูคนและหมาป่าตัวหนึ่งจากที่ไกลๆ “เด็กๆ!”
“ข้าน้อยรายงานตัวขอรับ!” นายพันที่อยู่ใกล้ที่สุดสองนายลุกขึ้นมาจากพื้นทันที ก้าวเท้ายาวๆ ไปหาเจ้าอี่โหลว
“สั่งกองทัพโจมตีกองทัพสู่ที่เหลือ!” เจ้าอี่โหลวเอ่ย
“ขอรับ!”
เจ้าอี่โหลวสั่งเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปหาซ่งชูอี
“มีอะไร?” ซ่งชูอีได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคย เอ่ยปากถาม
“กองทัพสู่ที่เหลือกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ ข้ากำลังเตรียมทหารจัดการให้ราบคาบ” เจ้าอี่โหลวพยายามอย่างเต็มที่เพื่อผ่อนคลายน้ำเสียงของเขา
“หึ” ซ่งชูอีหัวเราะเบาๆ “ถูอู้ลี่นำทัพกระมัง?”
“…” มีเพียงความเงียบงันเป็นคำตอบ
“ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่าบนตัวเจ้ามีขนกี่เส้นข้าย่อมรู้ดี อย่าทำงานด้วยอารมณ์ อี่โหลว” ซ่งชูอีพูดด้วยความจริงจัง
เจ้าอี่โหลวเม้มปากไม่พูดจา เขาเกลียดถูอู้ลี่เข้ากระดูกดำ หากไม่ลงมือฆ่าเขาด้วยตัวเองก็ไม่สามารถคลายปมความเกลียดชังได้ ไม่เพียงแต่เพราะเป็นห่วงซ่งชูอี ทส่าสายตาที่สงบและแน่วแน่คู่นั้นทำให้เขาสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่เต็มด้วยความมุ่งมั่นหรือเกียจคร้านก็ตามที
ยังจำได้ว่าตอนที่พบซงชูอีครั้งแรก นางส่งผลไม้คืนให้เขาพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยนและแววตาที่นิ่งเฉย
นางกล่าวว่า ‘พิงตึกรามฟังเสียงลมฝน ไม่หวั่นไหวต่อเส้นทางยุทธภพ เจ้าอี่โหลว’
ไม่มีใครเข้าใจว่าเขาคิดถึงช่วงเวลานั้นแค่ไหน ทว่าบัดนี้ดวงตาของหญิงผู้หลอกลวงคนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยผ้าสีดำ ใบหน้าครึ่งหนึ่งถูกปิดอย่างมิดชิด ไม่สามารถเห็นนางที่มีลักษณะเช่นนั้นได้อีกแล้ว ขณะที่หัวเราะเย้าก็สูญเสียความสดใสในอดีตไปด้วย
เขาจะปล่อยมันไปได้อย่างไร?
เจ้าอี่โหลวผ่านความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ชีวิตถูกแขวนบนเส้นด้ายหลายครั้ง อย่างไรก็ตามรัฐเจ้าและถูอู้ลี่กลับเป็นสิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดจนถึงตอนนี้
“ข้ารับปากเจ้าว่าจะไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์อีก” เจ้าอี่โหลวกล่าวเชื่องช้า
จะไม่ทำอะไรด้วยอารมณ์ทว่าจะไม่หยุดแก้แค้น ซ่งชูอีเข้าใจความหมายนี้ดี ทว่านางก็มิได้กล่าวอะไร เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว