กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 221 กลยุทธ์ครั้งสุดท้าย
จางอี๋เป็นคนเย่อหยิ่ง ทว่าเมื่อชนะได้ก็แพ้เป็น ยังคงประทับใจในวิธีการและความกล้าหาญของถูอู้ลี่เป็นอย่างมาก
เขาคลายคิ้วและถอนหายใจ “ถูอู้ลี่ต่อต้านกองทัพของเราอย่างสิ้นหวัง มิใช่เพื่อปกป้ององค์รัชทายาทสู่ ทว่าเพื่อปกป้องอานหยางอ๋อง”
อานหยางอ๋องเป็นโอรสองค์ที่สามของสู่อ๋อง ปีนี้อายุสิบห้าปี มารดาผู้ให้กำเนิดเป็นหนึ่งในภรรยาหลายคนของสู่อ๋องซึ่งไม่เป็นที่โปรดปรานมากนัก บางทีอาจเพราะสู่อ๋องยังคงเห็นแก่ความเป็นพี่น้องจึงรู้สึกผิดที่ฆ่าจูเหิงจากความเคลือบแคลงใจสงสัยของตน ดังนั้นขณะที่กำลังจะฝังจูเหิง จึงได้ให้ตำแหน่งอย่างเป็นทางการแก่เขาเพื่อเป็นการสืบทอด ทว่าเนื่องจากมันเป็นการสืบทอดและสงสารเขาที่ไม่มีลูก จึงยกโอรสคนนี้ให้กับจูเหิงและแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดแล้ว
อานหยางอ๋องศึกษาด้านวรรณกรรมและกลยุทธ์การทหารตั้งแต่วัยเด็ก น่าเสียดายที่สู่อ๋องเกรงกลัวองค์ชายที่เก่งกว่าองค์รัชทายาทมาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ที่เขาจมน้ำครั้งหนึ่งตอนอายุสิบขวบก็ไม่แสดงความสามารถออกมาให้เห็นอีกเลย
แม้ว่าทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะอานหยางอ๋องได้รับคำแนะนำมาจากมารดา ทว่าการที่เด็กคนหนึ่งสามารถซ่อนสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดได้อย่างเงียบสงบตั้งแต่เล็ก จะต้องไม่ใช่บุคคลธรรมดาอย่างแน่นอน
จางอี๋ไม่เข้าใจเรื่องภายใน ทว่าเขารู้เป็นอย่างดีว่าบุคคลที่ถูอู้ลี่พยายามปกป้องอย่างสุดความสามารถจะต้องไม่ใช่บุคคลทั่วไปตามที่ลือกันเป็นแน่แท้
“ถูอู้ลี่วางแผนอย่างรอบคอบเช่นนี้ เพราะต้องการให้พวกเราเชื่อว่าเขากำลังปกป้ององค์รัชทายาทอย่างเต็มที่จริงๆ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเราและให้อานหยางอ๋องหลบหนีได้อย่างราบรื่น หากแผนนี้ประสบความสำเร็จ อย่างไรเสียเลือดเนื้อของราชวงศ์ก็จะเสียไปคนหนึ่งทว่าได้มาอีกคนหนึ่ง” จางอี๋กล่าวแกมเย้า
“ก็จริง องค์รัชทายาทสู่เป็นคนเขลาเช่นกันกับบิดาของเขา ถึงปล่อยไปก็คงไม่เป็นประโยชน์เท่าใดนัก…เช่นนั้นการปล่อยอานหยางอ๋องไปไม่เท่ากับเป็นการปล่อยเสือเข้าป่าหรอกหรือ?” จางเหลียวกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง สีหน้ามีความกังวล อุตส่าห์ตีรัฐสู่ได้ ขออย่าได้มีอะไรผิดพลาดอีกเลย พูดจบก็บ่นพึมพำ “จุดนี้ของถูอู้ลี่ช่างเหมือนกับอู๋ฉี่เหลือเกิน”
ตอนนั้นอู๋ฉี่ทำการปฏิรูปที่รัฐฉู่ ถูกเหล่าตระกูลเก่าแก่ล้อมสังหารในพิธีศพของฉู่เต้าอ๋อง เขาใช้ศพของฉู่เต้าอ๋องในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย เขาอาศัยช่วงที่ทุกคนไม่ทันสังเกตปักลูกศรลงบนศพของฉู่เต้าอ๋อง คำรามเสียงดังว่า “ตระกูลเก่าแก่ทำลายร่างของอ๋ององค์ก่อนเท่ากับวางแผนกบฏ!”
เป็นผลให้เขาถูกยิงตายด้วยห่าลูกศร แล้วก็ลากตระกูลเก่าแก่ในรัฐสู่ทั้งหมดสู่งานศพด้วย
“ในมือของอานหยางอ๋องมิได้มีทหารม้ามาก ในเวลานี้ไม่เป็นภัยคุกคามต่อพวกเรา” ซือหม่าชั่วสงบสติอารมณ์ ยิ้มเอ่ย “ครั้งนี้ตูเว่ยม่อสังหารถูอู้ลี่ได้อย่างงดงามจริงๆ”
เหล่านายพลยังเคยได้ยินถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเจ้าอี่โหลว ทว่าก็มีบางคนที่ไม่เห็นด้วยอยู่ในใจ พวกนั้นล้วนเป็นทหารที่เหลืออยู่ของรัฐสู่ ถูอู้ลี่ก็ถูกกองกำลังหลักของรัฐฉินบีบให้ต่อสู้จนมิได้หลับได้นอน ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น ไม่ว่าจะดึงพวกเขาคนใดคนหนึ่งในต่อสู้ก็ย่อมชนะได้อย่างงดงาม
“ส่งข่าวกลับเสียนหยางโดยเร็วว่าการโค่นสู่ประสบความสำเร็จแล้ว” ซือหม่าชั่วมองหัวหน้ากองซือหม่าที่อยู่ซ้ายมือพร้อมเอ่ย
“ขอรับ!” หัวหน้ากองซือหม่ารับคำสั่ง
ซือหม่าชั่วกล่าวต่อ “ให้ทหารทุกนายกินข้าวอิ่มแล้วพักผ่อนให้เต็มที่สองวัน เตรียมเดินทัพไปยังรัฐปา!”
“ขอรับ!” ทหารทุกนายกำหมัดคำนับและกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
เมื่อเหล่านายพลถอยไปทีละคนแล้ว ซือหม่าชั่วก็หันหน้าไปหาจางอี๋ “ด้านหลังเปิดแล้ว วันก่อนข้าได้รับข่าวว่าบัดนี้กองทัพฉู่กำลังได้เปรียบ ข้าคิดว่าพวกเราควรบุกรัฐปาในเวลานี้ จางอี๋เห็นว่าเยี่ยงไร?”
“ขอรับ ทำตามความตั้งใจของท่านแม่ทัพได้เลย” จางอี๋กล่าว
อันที่จริงซือหม่าชั่วเป็นผู้ที่มีกลยุทธ์มาก หลังจากการจัดแจงของซ่งชูอีแล้วรัฐสู่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ต่อให้ไม่มีท่านที่ปรึกษาทางการทหาร ซือหม่าชั่วก็สามารถจัดการกับรัฐสู่ได้ จางอี๋รู้ดีว่าตนมิได้เก่งทางทหารเหมือนการวางกลยุทธ์ ดังนั้นจึงทำได้เพียงให้คำแนะนำในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น
“ไปเยี่ยมตูเว่ยม่อเถิด” ซือหม่าชั่วลุกขึ้นเอ่ย
จางอี๋พยักหน้า พาจินเกอไปยังห้องของเจ้าอี่โหลวพร้อมกันกับเขา อย่างไรก็ดีเมื่อทั้งสองมาถึงในห้องกลับว่างเปล่า
หลังจากต่อสู้กับถูอู้ลี่แล้วเจ้าอี่โหลวก็หลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืน ทันทีที่ตื่นขึ้นมาก็ถามว่าซ่งชูอีอยู่ที่ใด สวมเสื้อคลุมและวิ่งออกไปด้วยความรีบร้อน
เดิมทีการต่อสู้ครั้งนี้ได้ถูกวางแผนไว้แล้ว พร้อมที่จะโอบล้อมถูอู้ลี่ด้วยฝนลูกศร ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากเพียงใด เมื่อเผชิญหน้ากับฝนลูกศรที่ท่วมท้นก็จะต้องถูกยิงเป็นเม่นอย่างแน่นอน ทว่าเจ้าอี่โหลวไม่เพียงแต่ละเมิดข้อตกลงกับซ่งชูอีแต่ยังเปลี่ยนแผนโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือเรื่องส่วนตัว เขาล้วนมีความผิด
ซ่งชูอีแม้ว่าจะดูสบายๆ แต่แท้จริงแล้วก็เป็นคนที่มีหลักการมาก สำหรับเรื่องทหารพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น ครั้งนี้เจ้าอี่โหลวลงมือเพราะเรื่องส่วนตัวเท่ากับทำลายขีดความอดทนของนาง
เจ้าอี่โหลวเข้าใจเป็นอย่างดี ครั้งนี้เขาทำให้ซ่งชูอีโกรธแล้วจริงๆ
“ท่านตูเว่ย ท่านที่ปรึกษาสั่งไว้ว่าไม่อยากพบท่าน”
เจ้าอี่โหลวเพิ่งจะเดินถึงทางเดิน ทหารรักษาการณ์ก็ขวางเขาไว้
“ได้โปรด ได้โปรดไปรายงานที…” นอกจากเรื่องสงครามแล้ว ในเวลาอื่นเจ้าอี่โหลวก็มีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าน้อยมากเวลาพูดสีหน้าก็ดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย
นายทหารนึกว่าเขาเขินอาย เมื่อนึกถึงการต่อสู้ของเจ้าอี่โหลวกับถูอู้ลี่ก็ชื่นชมเขามากเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวด้วยสีหน้าลำบากใจ “ท่านตูเว่ย ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่อยากช่วยท่านรายงาน เพียงแต่ท่านที่ปรึกษาได้กล่าวไว้อย่างชัดเจน ข้าน้อยก็จนปัญญา”
นายทหารนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกระซิบเอ่ย “หรือว่าท่านจะบุกเข้าไป? พวกข้าเพียงไม่กี่คนก็ขวางไม่ได้ดอก”
เจ้าอี่โหลวพิจารณาครู่หนึ่งก็ส่ายศีรษะ ยืนอยู่หน้าประตูไม่จากไปทว่าก็ไม่เข้าไปในห้องอีก เขาทำให้ซ่งชูอีโมโหเสียแล้ว ขืนบุกเข้าไปอีก เกรงว่าจะเป็นการราดน้ำมันบนกองไฟ
นายทหารเห็นดังนี้ก็ไม่เกลี้ยกล่อมอีก ถอยกลับไปยืนที่เดิมต่อ
ช่วงบ่าย จางอี๋พาจินเกอมากินข้าวและพูดคุยกับซ่งชูอี ครั้นเห็นเจ้าอี่โหลวในเครื่องแต่งกายสีดำยืนเป็นเสาอยู่ที่หน้าประตู อดที่จะถามมิได้ “เหตุใดตูเว่ยถึงมายืนอยู่ที่นี่?”
แม้ว่าซ่งชูอีจะโกรธเจ้าอี่โหลว ทว่าสุดท้ายแล้ววันนั้นนางก็ไม่ห้ามการกระทำส่วนตัวของเขาอีกทั้งยังยับยั้งเหล่ามือธนูอย่างเหมาะสม ทหารส่วนใหญ่จะทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้นและไม่ได้คิดอะไรไกลเกินไป
อย่างไรก็ดีมันเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดเสียงของสายลม จางอี๋เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็พอจะเดาออกบ้าง
“เรียนท่าน จางจื่อมาถึงแล้ว” ทหารรักษาการณ์เข้าไปรายงานในห้อง
“เชิญเขาเข้ามา” เสียงของซ่งชูอีดังมาจากในห้อง
เจ้าอี่โหลวเหลือบตาขึ้นเล็กน้อยแล้วหลุบตาลงอย่างรวดเร็ว
จางอี๋เห็นว่าเจ้าอี่โหลวไม่มีท่าทีจะสนใจเขาจึงเดินเข้าไปข้างในโดยตรง
“หวยจิน” จางอี๋เห็นว่าภายในห้องโถงไม่มีคนจึงมองไปยังห้องเล็ก ผ้าคลุมกระโจมถูกม้วนขึ้นครึ่งหนึ่ง ซ่งชูอีในเสื้อแขนกว้างสีดำนั่งคุกเข่าอยู่บนตั่งสูงข้างหน้าต่าง บนโต๊ะตรงหน้าเต็มไปด้วยกระดานหมากที่เพิ่งเล่นจบ แถบผ้าสีดำถูกโยนอยู่บนกระดานหมาก มันคือผ้าที่นางใช้ปิดตาตามปกติ
แสงอาทิตย์สีขาวซีดทอแสงเป็นเส้นเล็กๆ บางๆ ผ่านม่านไม้ไผ่บางละเอียด
แม้ว่าซ่งชูอีจะมองไม่เห็น ทว่าก็ยังหันหน้าไปตามที่มาของเสียงด้วยความเคยชิน “พี่ใหญ่ตามสบาย”
“อืม ข้ากับเจ้าเป็นพี่น้องกันอย่าได้เห็นเป็นคนนอก” จางอี๋พูดพลางถอดรองเท้า ขึ้นตั่งแล้วนั่งคุกเข่าลงอีกด้านหนึ่งของโต๊ะกระดาน เอื้อมมือหยิบแถบผ้าสีดำออก มองกระดานหมากตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน กล่าวด้วยความแปลกใจ “ซ่งชูอีเป็นคนจัดเรียงหรือ?”
“ใช่ พี่ใหญ่มีความเห็นเยี่ยงไร?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ยเบาๆ
“หวยจินเป็นอัจฉริยะจริงๆ!” จางอี๋มิได้ชมว่าซ่งชูอีจัดเรียงหมากได้ละเอียดอ่อนเพียงใด ทว่าการที่คนตาบอดคนหนึ่งสามารถเรียงกระดานหมากเช่นนี้ได้นั้นมีความสามารถที่น่าเหลือเชื่อมาก
“เส้นบนกระดานหมากรุกมีรูบุ๋ม หากมีความพยายามแล้วจะเป็นเรื่องยากได้เยี่ยงไร?” ซ่งชูอีลูบๆ หมากสีขาวตัวหนึ่งและวางลงบนที่ว่างอย่างแม่นยำ นี่คือผลจากการฝึกฝนของนางทั้งวันทั้งคืน ทว่าเป็นเพียงการคลำเพื่อทำความคุ้นเคยกับตำแหน่งและระยะทางเท่านั้น หากต้องย้ายตำแหน่งก็ยังไม่แม่นยำนัก
จางอี๋มองไปยังขอบสีดำจางๆ ใต้ตาของนาง กล่าวอย่างครุ่นคิด “ตูเว่ยม่ออยู่ข้างนอก”