กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 228 หากรู้ว่าเป็นผู้หญิง
ซ่งชูอีก็นับว่าเป็นคนเย็นชาคนหนึ่ง ไม่นับว่าเป็นสุภาพบุรุษในโลกใบนี้ อย่างไรก็ดีนางก็มีขอบเขตแห่งคุณธรรมที่จะทำบางอย่างและไม่ทำบางสิ่ง
แม้ว่าจิตใจอันเมตตาของจื่อเฉาจะทำให้นางใจอ่อน ทว่าหากวันหนึ่งนางถูกบีบบังคับ ซ่งชูอีเช่นนางก็สามารถลงมือฆ่าได้อย่างแน่นอน
บางครั้งทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเป็นปมตายที่แก้ไม่ได้ การพยายามปกปิดมันมีแต่จะทำให้ปมนี้ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ
ซ่งชูอีผลักจื่อเฉาออกไป ให้หนิงยาประคองนางไปพักผ่อนที่ห้องรับแขก
ข้างนอกไม่รู้ว่าฝนตกตั้งแต่เมื่อไร
สภาพแวดล้อมที่ต่างกันย่อมบ่มเพาะคนที่ต่างกัน อากาศในหล่งซีก็ใจร้อนเหมือนกับชาวฉิน เริ่มด้วยฝนที่ตกลงมาสองสามหยด แล้วทันใดนั้นฝนก็ตกอย่างรุนแรงและรุนแรงมากจนผู้คนไม่ทันระวังตัว
ซ่งชูอีพิงอยู่ข้างศาลา ในมือกำลังเล่นกับจอกสุราทองสัมฤทธิ์สามขาที่แกะสลักอย่างสวยงาม รู้สึกถึงสายฝนที่ตกลงมาบนราวและสาดกระเซ็นใส่มือและใบหน้า หัวใจชัดเจนยิ่ง
สวรรค์ช่างลึกลับนัก ซ่งชูอีกล่าวว่าไม่สนใจดวงตาคู่นี้ ทว่าใครบ้างที่สามารถยอมรับความมืดมิดฉับพลันนี้ได้? นางทำงานอย่างหนักเพื่อเปลี่ยนความยุ่งยากนี้ให้เป็นจุดแข็ง พยายามใช้หู นิ้วและความรู้สึกไป “มอง” แต่ในขณะนี้ โลกช่างสงบสุขนัก ซึ่งมันสอนให้นางเข้าใจถึงอิสรภาพและภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของลัทธิเต๋าอย่างแท้จริง
ซ่งเจียนสวมเสื้อคลุมฟางเข้าไปในลาน เห็นผู้หนึ่งนั่งอยู่ในศาลาเลือนรางท่ามกลางสายฝน ก้าวเท้าเดินเข้าไปใกล้
ในศาลา คนในชุดสีขาวงาช้างแขนกว้างกำลังหลับตาพิงอยู่ที่ราว แขนเสื้อข้างหนึ่งที่ยื่นอยู่นอกราวเปียมชุ่มไปด้วยน้ำฝน เหมือนธงขนาดใหญ่หนักอึ้งที่เคลื่อนไปตามสายลม มืออีกข้างวางอยู่บนหน้าตัก ในมือถือจอกสุราสามขาอันหนึ่ง
“ท่าน” ซ่งเจียนเรียกเสียงเบา
“อืม” ซ่งชูอีตอบอย่างเกียจคร้าน
ซ่งเจียนค้อมตัวเอ่ย “จะเข้าสู่ราตรีแล้ว ท่านเข้าห้องเถิด?”
เพิ่งจะสิ้นวาจา ทันใดนั้นท้องฟ้าก็เปล่งแสงสีขาว
เปรี้ยงปร้าง!
ซ่งเจียนสะดุ้งกับเสียงฟ้าผ่า ทว่ากลับเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าราวกับไม่ได้ยิน ท่าทางสงบนิ่งคล้ายแม้แต่หูก็กลายเป็นเครื่องประดับอย่างไรอย่างนั้น
ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน ซ่งเจียนจึงดึงสติกลับมา ประคองนางไปตามทางเดินกลับไปที่ห้อง
ฝนตกหนักทั้งคืน ฝนตกหนักที่กระทบกระเบื้องหลังคาและหน้าต่างส่งเสียงดังราวกับในสนามรบ ซ่งชูอีได้ฟังเสียงแล้วก็หลับสบายเป็นพิเศษ
เช้าวันต่อมาฝนก็ยังคงตกอยู่
ชูหลี่จี๋มาหานางเพื่อเดินหมากท่ามกลางสายฝน เติมเต็มข้อตกลงที่ทำไม่สำเร็จเมื่อวาน
หลังจากการสังหารใหญ่สามครั้ง ทั้งหมดก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของชูหลี่จี๋อย่างรวดเร็ว
ระหว่างในการเดินหมากครั้งที่สี่ ซ่งชูอีฟังชูหลี่จี๋รายงานตำแหน่งของตัวหมาก อดที่จะเงยหน้าขึ้นมามิได้ “พี่ใหญ่มีเรื่องในใจหรือ?”
ชูหลี่จี๋เดินหมากเก่ง เมื่อก่อนตอนที่ซ่งชูอีอยู่ที่นี่เขาก็สามารถเอาชนะสามถึงสี่ครั้งในสิบตา บัดนี้ซ่งชูอีมองไม่เห็น การเดินหมากทั้งที่ตาบอดจะเสียเปรียบกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะพ่ายแพ้ติดต่อกันหลายครั้ง หากต้องการจะปลอบใจซ่งชูอี ด้วยสติปัญญาของชูหลี่จี๋ไม่จำเป็นต้องกระทำอย่างชัดเจนเพียงนี้
“หวยจิน…” คำเรียบง่ายสองคำกลับเผยให้เห็นความรู้สึกมากมายของชูหลี่จี๋
ซ่งชูอียื่มมือไปตบๆ หัวของไป๋เริ่น “ออกไปเฝ้าหน้าประตู”
ไป๋เริ่นได้รับคำสั่งแล้วก็วิ่งโซซัดโซเซออกไป
“เอ๋ ไป๋เริ่นฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วยหรือ?” ชูหลี่จี๋กล่าวด้วยความประหลาดใจ
ซ่งชูอีแสร้งยิ้มลึกลับ จะเข้าใจภาษาคนหรือไม่นั้นนางไม่รู้ จุดสำคัญอยู่ที่การตบสองครั้งนั้น นางพูดหัวข้อเมื่อครู่ต่อ “พี่ใหญ่มีธุระก็เชิญกล่าวเถิด”
ชูหลี่จี๋ไม่ถามเรื่องของไป๋เริ่นอีก ถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ดูจากลักษณะของหวยจินตอนนี้แล้ว คิดว่าคงเป็นเพราะใช้ยาลับที่ข้าให้เจ้าในวันนั้น มีเพียงไม่กี่คนที่กินยานี้ ข้ารู้ผลข้างเคียงจำเพาะของยานี้เพียงคร่าวๆ เท่านั้น หลายวันนี้ข้าเป็นกังวลมาโดยตลอด ว่าสถานะผู้หญิงของน้องสาวปิดบังหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยมิได้แน่”
ชูหลี่จี๋สังเกตสีหน้าของซ่งชูอีตลอดเวลา คิดไม่ถึงว่านางกลับไม่แสดงความกังวลเลยแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามกลับหัวเราะอย่างผ่อนคลาย “ข้าใช้ยาก็เพื่อทำงานให้สะดวกขึ้นเท่านั้น ไม่เคยคิดว่าจะปิดบังเรื่องนี้อย่างเอาเป็นเอาตายและไม่เคยคิดว่าจะไม่เปิดเผยเลย ยิ่งไปกว่านั้นผู้หญิงก็คือผู้หญิง แม้ว่าในโลกนี้จะมีวิธีทำให้เปลี่ยนเป็นชายได้ ข้าก็ไม่มีวันลองเด็ดขาด”
นางกล่าวคำนี้ได้อย่างใจกว้างยิ่ง ในโลกนี้ใช่ว่าไม่มีผู้หญิงที่มีส่วนร่วมในการปกครอง แต่สิ่งที่พวกนางทำส่วนใหญ่เป็นเรื่องเล็กน้อย ไม่มีผู้หญิงคนใดสามารถดำรงตำแหน่งสูงอย่างจริงจังได้
ชูหลี่จี๋ถอนหายใจเอ่ย “ข้าเพียงรู้สึกว่าหากเรื่องนี้ถูกเปิดโปง เจ้ามีความสามารถเยี่ยงนี้แต่ไม่สามารถมีตำแหน่งที่อยู่ภายใต้คนหนึ่งคนและอยู่เหนือคนนับหมื่นได้ ก็น่าเสียดายนัก”
“หวยจินก็ยังคิดถึงตำแหน่งนั้น” ซ่งชูอีไม่ปกปิดความปรารถนาในชื่อเสียงและโชคลาภของตนเลยแม้แต่น้อย “ทว่าในใจก็ชัดเจนเช่นกันว่าหวยจินมิใช่ผู้มีความสามารถที่เหมาะสมที่สุดในบรรดาผู้มีพรสวรรค์แห่งต้าฉิน”
ซ่งชูอีจะไม่ผูกมัดความสามารถของตนอยู่กับการวางกลยุทธ์ในสถานการณ์ใดๆ หรือกองทัพใดๆ
อย่างไรก็ดีหากนางทำสิ่งนั้นในที่แจ้งไม่กี่ครั้ง รัฐต่างๆ ก็จะล่วงรู้และจะป้องกันมิให้นางใช้กลอุบายซึ่งนางก็จะได้รับผลกระทบจากการบาดเจ็บและความตายบ้างไม่มากก็น้อย ทว่าจางอี๋นั้นไม่เหมือนกัน ฝีมือเช่นนั้นต้องอยู่ในที่สว่างจึงจะสามารถเป็นประโยชน์สูงสุดในความสัมพันธ์ด้านการทูต เพียงเปิดปากก็มีบทบาทอย่างมากในการเปลี่ยนดินฟ้าอากาศ ทว่าครั้นออกจากอำนาจเขาก็เป็นเพียงนักยุทธศาสตร์ธรรมดาคนหนึ่ง
ชูหลี่จี๋จ้องซ่งชูอี แววตาเป็นประกาย “คิดไม่ถึง…ว่าในบรรดานักยุทธศาสตร์ยังมีหวยจินที่ภักดีต่ออุดมคติเช่นนี้ คล้ายกับความยิ่งใหญ่ของซางจวินในตอนนั้นจริงๆ”
คนรุ่นก่อนเป็นคนที่ซื่อสัตย์และภักดีต่ออุดมการณ์มากที่สุด เพื่อเผยแพร่ความคิดและสร้างบ้านเมืองในอุดมคติของตน พวกเขามักจะเพิกเฉยต่อผลประโยชน์ส่วนตน สำหรับพวกเขาแล้วชื่อเสียงและโชคลาภเป็นเพียงดอกไม้ประดับเท่านั้น
นั่นจึงจะเป็น “นักรบยอมตายได้เพื่อสหายที่รู้ใจ” อย่างแท้จริง ทว่าบัดนี้ขีดจำกัดด้านศีลธรรมของนักยุทธศาสตร์ได้ถูกเขียนขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า วิธีสกปรก วิธีโหดร้าย วิธีเสี่ยงภัย วิธีพิศดาร วิธีขั้นเด็ดขาด…ล้วนไปถึงเป้าหมายได้ทั้งนั้น เหตุใดจึงไม่ทำทุกอย่างเล่า คำกล่าวของพ่อค้าไร้ยางอายที่ว่า “ผู้คนใต้หล้ารวมตัวกันเพื่อผลประโยชน์และผู้คนใต้หล้าก็แยกกันเพื่อผลประโยชน์” ก็ยังหลุดออกมาจากปากบ่อยครั้ง
“ผู้บัญญัติกฎหมายไม่จำเป็นต้องใช้ใจ นักยุทธศาสตร์ต้องใช้ใจ ข้าไม่สามารถทำเรื่องซับซ้อนที่ยากจะเข้าใจเช่นนี้ได้ดอก” มือหนึ่งของซ่งชูอีหนุนศีรษะ เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “หมอเทวทดาเปี่ยนเชวี่ยมีจรรยาบรรณทางการแพทย์ จะไม่สร้างความวุ่นวายจนเป็นที่รู้กันทั่ว พี่ชายไม่จำเป็นต้องกังวลมากไป”
อย่างมากที่สุดก็คือการที่อิ๋งซื่อรับรู้ เวลาที่รัฐฉินใช้คนมักจะถามถึงพรสวรรค์เท่านั้นมิใช่ภูมิหลัง ถ้าอิ๋งซื่อจะทิ้งนางไปเพราะนางเป็นผู้หญิงจริงๆ เช่นนั้นนางก็ไม่เต็มใจที่จะอยู่กับคนเหล่านี้เช่นกัน ใต้หล้าอันกว้างใหญ่ นางไม่เชื่อว่าจะหาที่พักพิงไม่ได้!
“บางเรื่องนั้นบังคับกันมิได้” ซ่งชูอียิ้มเอ่ยน้อยๆ
ความเคารพในตัวเองและความภาคภูมิใจที่ควรมีคือเรื่องหนึ่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้น หากนางทุ่มเทมากมายเพื่อคิดแผนปาสู่เพียงนี้ ทว่ายังเสียความเชื่อมั่นที่อิ๋งซื่อมีไปอย่างง่ายดาย เช่นนั้นนางเชื่อว่าต่อให้ทำมากกว่านี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ ก็เหมือนกับที่นางพูดว่าบางเรื่องในโลกใบนี้ไม่สามารถบังคับได้เสมอ
ชูหลี่จี๋หัวเราะ รู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาเข้าใจพี่น้องร่วมสายเลือดของตัวเองดี
ว่ากันว่าอิ๋งซื่อที่เงียบขรึมเสมอมา ตอนที่เข้าพระราชวังครั้งแรกนั้นกลับพูดไม่น้อยโดยมีเนื้อหาคร่าวๆ ว่า ‘พวกเจ้าอยู่วังหลังจะเล่นลูกไม้เยี่ยงไรก็ได้ แต่หากข้าพบว่าใครก็ตามที่กล้าสมรู้ร่วมคิดกับบุคคลภายนอกเป็นการส่วนตัวหรือมีส่วนร่วมในกิจการของรัฐก็จะไม่ปล่อยไปเป็นอันขาด!’
อิ๋งซื่อปฏิบัติต่อผู้หญิงเป็นเพียงสิ่งของเสมอ จากการสังเกตครั้งล่าสุด “สิ่งของ” มีคุณภาพที่เขาชอบก็คือผู้หญิงที่ไม่ออกอุบายโง่ๆ ต่อหน้าเขาจะเป็นการดีที่สุด มิฉะนั้นอารมณ์ที่ดีของเขาก็จะกลายเป็นคอยลงโทษในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียทุกอย่าง หากอารมณ์ไม่ดีก็จะไม่เพียงถูกจำคุกตลอดชีวิตแต่เป็นการถูกลากออกไปตีจนตายหรือถูกเนรเทศ ซึ่งตามปกติแล้วเขามีช่วงเวลาที่อารมณ์ดีน้อยมาก
เนื่องจากนิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ พวกวางอุบายที่วังหลังก็จะไม่มีวันไปก่อเรื่องต่อหน้าอิ๋งซื่อ เขาไม่ใช่คนที่มีเหตุผล ไม่ว่าใครจะถูกหรือผิดก็จะถูกโยนออกไปทั้งสิ้น ดังนั้นภายในพระราชวังเสียนหยางดูภายนอกสามัคคีกลมเกลียว ทว่าลับหลังเป็นอันตรายอย่างยิ่ง
ผู้หญิงเหล่านั้นจึงไม่มีใครกล้าล้ำเส้นภายใต้ความกดดันอันแข็งกร้าวของอิ๋งซื่อ ราวกับฝูงนกกระจิบที่ถูกขังอยู่ในกรงนกเดียวกัน ชีวิตและความตายล้วนอยู่ในกรงนั้น อิ๋งซื่อไม่ใส่ใจกับเรื่องเหล่านี้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้ ในทางตรงกันข้ามบางครั้งก็ยังนำเอาวิธีการที่คิดว่าตนถูกต้องของผู้หญิงเหล่านั้นเป็นงานอดิเรกหลังอาหารเย็นซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นทีเดียว
สำหรับองค์จวินที่เป็นผู้ชายเช่นนี้ ชูหลี่จี๋ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากที่เขารู้เพศของซ่งชูอีแล้วจะมีปฏิกิริยาเยี่ยงไร