กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 229 ซางจวินอีกคนหนึ่ง
เสียนหยางฝนตกหนักติดต่อกันหนึ่งวันสองคืน นี่นับว่าหาได้ยากในหล่งซี
ฝนตกหนักครั้งนี้ดับความร้อนในรัฐฉิน อากาศเย็นลงกะทันหัน จนกระทั่งดวงอาทิตย์โผล่มาอีกครั้งจึงรู้สึกอบอุ่นเล็กน้อย ทว่ากลิ่นของต้นฤดูใบไม้ร่วงล่องลอยอยู่ในอากาศแล้ว
ข่าวชัยชนะจากปาสู่แพร่สะพัด ชาวฉินก็เริ่มมีมีชีวิตชีวามากขึ้น เหล่าบัณฑิตและพ่อค้าจากทุกสารทิศต่างมารวมตัวกันที่โรงน้ำชาและโรงสุรา การที่ซ่งชูอีละทิ้งฉินเพื่อเข้ารัฐสู่ทว่าฉินกงยังคงเก็บรักษาจวนของนางไว้นั้น คนฉลาดมองเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าซ่งชูอีไปยังปาสู่เพื่อแผนการ อย่างไรก็ตามในขณะนี้ยังไม่มีคนที่รู้แน่ชัดว่านางทุ่มเทมากเพียงใด
ท่ามกลางความสุขนี้ รถม้าศึกธรรมดาคันหนึ่งค่อยๆ ขับเข้าไปในนครเสียนหยางภายใต้การคุ้มกันของทหารองครักษ์หู่เปิน[1]นับร้อย ถนนที่พลุกพล่านเงียบสงบทันใด คนเดินเท้าบนถนนสายหลักถอยกลับไปยังสองฝั่งข้างทางเพื่อหยุดดู
หู่เปินเป็นทหารองครักษ์ที่อุทิศให้กับจักรพรรดิ ว่ากันว่าทหารหู่เปินหนึ่งนายสามารถต่อสู้ศัตรูได้หนึ่งร้อยคน เป็นไปได้มากว่าบุคคลที่อยู่ในรถม้าศึกคันนั้นมิใช่ฉินกง ผู้คนต่างคาดเดาว่าจะเป็นผู้ใดถึงสามารถใช้ทหารองครักษ์หู่เปินมากมายเพียงนี้
ท่ามกลางการอารักขาของทหารหู่เปิน รถคันนั้นตรงไปยังหน้าประตูจวนของจู้ซย่าสื่อทันที ทหารหู่เปินนายหนึ่งก้าวไปข้างหน้าเพื่อเคาะประตู เสียงเด็กสาวที่สดใสดังขึ้นจากด้านใน “มาแล้วเจ้าค่ะ มาแล้ว!”
เสียงประตูเปิดออกดังเอี๊ยด หนิงยาโผล่ศีรษะออกมา ทันทีที่เห็นความยิ่งใหญ่เพียงนี้ก็อดที่จะสะดุ้งโหยงมิได้ เอ่ยด้วยความขลาดกลัว “ท่าน…ท่านทหารมาหาใครเจ้าคะ?”
อย่างไรก็ดีทหารนายที่เคาะประตูนั้นเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง ประสานมือเอ่ย “ได้โปรดแม่นางไปรายงานซ่งจื่อทีว่าหมอเทวดาเปี่ยนเชวี่ยมาถึงแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นหนิงยาก็มีความสุขยิ่ง แม้แต่ลืมความกลัวเสียสิ้น กล่าวหายใจหอบ “เมื่อคืนท่านกล่าวว่าหมอเทวดาจะมาวันนี้และก็มาถึงจริงๆ!”
พูดพลางยังไม่ทันจะรายงานก็เปิดประตูใหญ่แล้ว หันหน้าตะโกนเข้าไปข้างใน “ท่าน หมอเทวดามาจริงๆ แล้วเจ้าค่ะ!”
เปี่ยนเชวี่ยเป็นหมอที่เดินทางอยู่ตลอดและเคยได้ยินชื่อของซ่งชูอีที่เขตชายแดนฉินสู่แล้ว วันนี้ครั้นได้ยินคำพูดของเด็กสาวก็รู้ว่าซ่งจื่อเป็นคนมีสติปัญญาหลักแหลม จึงหยิบกล่องยาและลงจากรถด้วยตนเองโดยมิได้รอคนมาเชื้อเชิญ
ทหารในชุดเกราะสีดำที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนี้ก็รีบลงจากรถม้าเพื่อช่วยยกของหนัก
แม้ว่าเปี่ยนเชวี่ยอายุล่วงเลยวัยหกสิบแล้ว อย่างไรก็ตามใบหน้าไม่หย่อนยานเหมือนคนแก่ทั่วไป แม้แต่เร่งเดินทางหลายวันก็ยังคงกระปรี้กะเปร่า นอกเหนือจากศีรษะที่ขาวโพลนแล้ว แวบแรกก็ดูเหมือนอายุไม่เกินห้าสิบปี
ทันทีที่เท้าของเขาแตะพื้นและสำรวจจวนจู้ซย่าสื่อรอบหนึ่งแล้วก็พลันเห็นเด็กหนุ่มในเสื้อคลุมแขนกว้างสีดำเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าภายใต้การประคับประคองของแม่นางตัวน้อยๆ เด็กหนุ่มคนนั้นรูปร่างผอมบาง มีผ้าสีดำคาดตา ใบหน้าซีดขาว ท่าทางเลื่อนลอยเล็กน้อย ศีรษะที่มีผมหงอกแซมถูกมัดอย่างเรียบร้อย มีแผลเป็นตรงระหว่างคิ้วบนหน้าผากซึ่งอวบอิ่มกว่าคนธรรมดาทั่วไป
ด้วยการมองเพียงปราดเดียว เปี่ยนเชวี่ยรู้ว่าบุคคลผู้นี้ประสบความสูญเสียครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ นอกจากนี้เขายังได้รับบาดเจ็บที่จุดฝังเข็มอิ้นถัง ทำลายเลือดลมที่ว่างเปล่าอยู่แล้วและทำให้ตาบอด
“หวยจินมารับแขกช้า ได้โปรดท่านหมอให้อภัย” ซ่งชูอีลงบันได หลังจากยืนอย่างมั่นคงแล้วก็พูดไปยังทิศทางที่หนิงยาประคองมา
“ซ่งจื่อเกรงใจแล้ว” เปี่ยนเชวี่ยเดินเข้ามาใกล้จึงเห็นว่าซ่งชูอีอ่อนเยาว์กว่าที่เขาจินตนาการไว้มากนัก ก็ยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
ลัทธิขงจื้อเป็นโรงเรียนที่ยิ่งใหญ่ ความคิดของเปี่ยนเชวี่ยจึงได้รับอิทธิพลจากมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้เขายังเคยเห็นบัณฑิตผู้จงรักภักดีมากมายเมื่อตอนยังเด็ก จึงรู้สึกไม่ชอบเหล่ากุนซือที่เพิ่งเกิดใหม่เป็นอย่างมาก ในความเห็นของเขา คนเหล่านี้เพียงต้องการจะไต่เต้าไปสู่อำนาจภายใต้หน้ากากของ “ผู้มีความรู้” เท่านั้น โดยธรรมชาติแล้วก็เป็นเพียงกลุ่มคนต่ำต้อยกลุ่มหนึ่ง
หากมิใช่เพราะฉินกงทรงมีความเคารพต่อผู้มีความรู้และมีความจริงใจ เขาก็คงไม่มาให้เสียเที่ยว
ทว่าทันทีที่เห็นซ่งชูอี เขาก็รู้สึกว่าก่อนหน้านี้ดูเหมือนตัวเองตัดสินกุนซือทุกคนเพียงเพราะความผิดพลาดของคนคนเดียวเสียแล้ว อย่างน้อยซ่งชูอีก็ไม่เหมือนคนที่เอาแต่ประจบสอพลอผู้เป็นนายเลยเมื่อดูจากรูปลักษณ์และบุคลิกของนาง
ซ่งชูอีเชิญเปี่ยนเชวี่ยเข้าไปในลาน ทักทายเพียงไม่กี่คำ จากนั้นก็สั่งให้เจียนและหนิงยาไปเตรียมน้ำให้เปี่ยนเชวี่ยอาบ ราวกับว่าไม่รีบที่จะรักษาอาการป่วย
เปี่ยนเชวี่ยรู้สึกแปลกใจ “ซ่งจื่อไม่กังวลโรคทางตาหรือ?”
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ “แน่นอนว่าเป็นกังวล ทว่าได้ยินมาว่าท่านหมอเทวดาเป็นมือหนึ่งในใต้หล้า บัดนี้ท่านหมอมาแล้ว ดวงตาคู่นี้ของข้าก็มีเพียงจะรักษาได้หรือไม่ได้เท่านั้น”
“หมายความว่าเยี่ยงไร?” เปี่ยนเชวี่ยอายุปูนนี้แล้ว รักษาคนไข้มาก็เป็นพันเป็นหมื่นราย กลับเพิ่งเคยเห็นคนไข้ที่พูดเยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก
“จะตาดีหรือตาบอด บัดนี้ข้าเพียงต้องการความเชื่อใจเท่านั้น” ซ่งชูอีเอ่ย
เปี่ยนเชวี่ยหยุดเดิน หนิงยาหยุดลง ซ่งชูอีก็หยุดฝีเท้าตามไปด้วย หันมาถาม “หวยจินพูดผิดตรงไหนหรือ?”
“เปล่า” เปี่ยนเชวี่ยยิ้มพลางส่ายหน้า “เพียงแค่นิสัยของซ่งจื่อกับข้าผู้อาวุโสนี้ต่างกันคนละขั้ว ซ่งจื่อมาจากสำนักเต๋าหรือ?”
“ท่านหมอสายตาแหลมคมนัก” ซ่งชูอีเอ่ย
“เช่นนั้นก็ใช่สินะ ในโลกนี้มีเพียงคนจากสำนักเต๋าเท่านั้นที่สามารถเห็นอำนาจ ความมั่งมีและชีวิตเป็นความว่างเปล่าได้” ในคำพูดของเปี่ยนเชวี่ยดูเหมือนจะชื่นชมลัทธิเต๋าเป็นอย่างมาก
ปฏิกิริยาของเขาไม่เกินความคาดหมายของซ่งชูอีเลย การแพทย์และลัทธิเต๋ามีแนวคิดเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพหลายประการที่คล้ายคลึงกัน หรือแม้แต่เชื่อว่าการวางเฉยจึงจะสามารถทำให้สามารถมีชีวิตยืนยาว และเนื่องด้วยเหตุนี้ซ่งชูอีจึงวางท่าทีไม่แยแสต่อโลกีย์สำหรับกิเลสตัณหาของนาง
เปี่ยนเชวี่ยรู้ว่าเหล่ากุนซือพึ่งพาผู้มีบารมีเพื่อก้าวไปสู่อำนาจ ทว่ายังไม่เคยเห็นการตีสีหน้าที่แตกต่างกันของกุนซือ หรือแม้แต่การเสแสร้งที่เหมือนจริงเสียห้าส่วน ยิ่งไปกว่านั้นซ่งชูอีศึกษาลัทธิเต๋าตั้งแต่ยังเด็ก ย่อมมีความเปิดกว้างและอิสระเช่นนักเต๋าอย่างหลีกเลี่ยงมิได้
“เดินทางช้าๆ มาตลอดทาง ไม่เหนื่อยเลยสักนิด ตรวจอาการก่อนเถิด” ผู้รักษามีจิตใจดุจบุพการี เปี่ยนเชวี่ยสงสารที่นางอายุยังน้อยแต่กลับมีสภาพแก่ก่อนวัย ก็มิได้วางมาดอีก
ซ่งชูอีได้ยินเขากล่าวด้วยใจจริง ก็มิได้แสร้งเป็นหลบเลี่ยงอีกและเชิญให้เขาเข้ามาในห้องหนังสือ หู่เปินเซี่ยวเว่ย[2]ก็ตามเข้าไปในห้องด้วย
หลังจากนั่งลงแล้ว เปี่ยนเชวี่ยก็ให้หนิงยาแก้ผ้าปิดตาสีดำบนใบหน้าของซ่งชูอีออก เผยให้เห็นใบหน้าเรียบง่ายผอมบาง
“ซ่งจื่อได้โปรดลืมตา” เปี่ยนเชวี่ยกล่าว
ซ่งชูอีค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาชัดเจนคู่นั้นราวกับจุดกำเนิดของโลกที่ไร้ความอึมทึบโดยสิ้นเชิง มันเป็นประกายระหว่างกะพริบ ที่น่าเสียดายคือ รูม่านตาไม่รวมตัวกัน ไม่มีจุดโฟกัสเลยแม้แต่น้อย
เปี่ยนเชวี่ยถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ดวงตาดีนัก” จากนั้นก็พูดต่อ “ซ่งจื่อได้โปรดยกมือขึ้น ข้าจะจับชีพจรให้ท่าน”
ซ่งชูอียกมือซ้ายขึ้น หนิงยาประคองข้อศอกของนางและวางไว้บนเบาะผ้าที่ยกขึ้นอย่างเบามือ
นิ้วของเปี่ยนเชวี่ยกดอยู่บนข้อมือบอบบางของนาง ก้มหน้ารู้สึกถึงการเต้นของชีพจรอยู่พักหนึ่ง หลังจากผ่านไปสักพักก็มีท่าทีตกใจเล็กน้อย เหลือบมองซ่งชูอี “ได้โปรดเปลี่ยนมือขวา”
หลังจากเปลี่ยนเป็นมือขวาแล้วก็ไม่ต่างจากเมื่อครู่นัก ยังคงเป็นชีพจรที่ช้าและตำแหน่งชีพจรลอย สิ่งเหล่านี้อาจเกิดจากความอ่อนแอทางร่างกาย อย่างไรก็ตามความแตกต่างอันน้อยนิดระหว่างพลังชีพจรและจังหวะต่างหากที่ดึงดูดความสนใจของเปี่ยนเชวี่ย ในความเป็นจริงทุกอย่างอาจสืบเนื่องมาจากการขาดเลือดลมมากเกินไป ร่างกายจึงอ่อนแอ ผู้ชายที่อ่อนแอและป่วยส่วนมากอาจมีชีพจรเช่นนี้ อย่างไรก็ดีด้วยประสบการณ์และความไวต่อสภาวะชีพจรของเปี่ยนเชวี่ยนั้นใช่ว่าแพทย์ธรรมดาจะสามารถเทียบได้
หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขาคิดว่าหลังจากนี้จะต้องบำรุงเลือดและพลังชี่ เสริมสร้างพลังหยางให้แข็งแกร่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยาสำหรับชายและหญิงต้องไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องมีการยืนยันให้แน่ชัด
“มีเรื่องใดที่ไม่สะดวกกล่าวเช่นนั้นหรือ?” ซ่งชูอีถามก่อน
เห็นว่าคำพูดและท่าทางของนางล้วนได้รับการอบรมมาเช่นบัณฑิต ก็รู้ว่านางคงปิดบังเพศสถานะมานานแล้ว จึงหันหน้าไปพูดกับหู่เปินเซี่ยวเว่ย “เซี่ยวเว่ยถอยออกไปก่อนสักครู่ได้หรือไม่ ข้ามีบางอย่างต้องถามซ่งจื่อเป็นการส่วนตัว”
“คือว่า…” หู่เปินเซี่ยวเว่ยลำบากใจเล็กน้อย ฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้เขาเฝ้าดูอาการของซ่งชูอี แล้วกลับไปทูลรายงานโดยละเอียด…
ซ่งชูอีสามารถเดาได้ถึงสาเหตุที่หู่เปินเซี่ยวเว่ยลังเล “ได้โปรดเซี่ยวเว่ยอำนวยความสะดวก หากฝ่าบาททรงถาม เซี่ยวเว่ยตอบตามความจริงเป็นพอ หวยจินกับท่านหมอจะอธิบายฝ่าบาทด้วยตัวเอง”
“ขอรับ ข้าจะไปรอในลาน” หู่เปินเซี่ยวเว่ยมิใช่คนที่ไม่รู้จักปรับตัว ความตั้งใจเดิมของฝ่าบาทเป็นเพราะห่วงใยซ่งชูอี หากเขาไม่ปักหลักอยู่ที่นี่ มันก็ไม่ดีที่จะรบกวนซ่งชูอี นางสามารถออกตัวรับผิดชอบได้ก็นับว่าดีที่สุดแล้ว
“หนิงยาเจ้าก็ออกไปเถิด” ซ่งชูอีเอ่ย
“เจ้าค่ะ” หนิงยาถอยออกไปที่ทางเดิน จากนั้นก็ปิดประตูลงแล้วยืนอยู่หน้าประตู
ภายในห้อง
ซ่งชูอีเอ่ย “มิบังอาจปิดบังท่านหมอ หวยจินมิใช่ผู้ชาย”
แม้ว่าเปี่ยนเชวี่ยจะเตรียมใจไว้แล้ว ครั้นได้ยินนางกล่าวจากปาก ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงยังรู้สึกหวาดผวา คนเช่นนางนี้เป็นสตรีมหัศจรรย์ที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยกระมัง!
“แม่นางกล่าวว่าต้องการการชี้ชัด บัดนี้ข้ายังไม่สามารถให้ได้ โรคของท่านไม่ร้ายแรง ดวงตาไม่มีปัญหาใด เพียงแต่จุดชี่ไห่ถูกทำลาย ไม่สามารถรวบรวมพลังชี่เข้าจุดอิ้นถังทุกวันได้ ข้าสามารถรักษาให้หายได้แปดส่วน เพียงแต่หากต้องการให้ชี่ไห่กลับเข้าตำแหน่งเดิมอีกครั้ง จะต้องใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือน แม่นางจะต้องเตรียมใจให้ดี” เปี่ยนเชวี่ยกล่าวถึงอาการป่วยอย่างตรงไปตรงมา แต่ไม่ได้พูดถึงร่างกายของผู้หญิงที่ซ่งชูอีปกปิดเอาไว้
จริยธรรมทางการแพทย์ของเปี่ยนเชวี่ยนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในใต้หล้า จะไม่ปากสว่างเมื่อพบผู้คนเพียงเพราะพบเจอกับเรื่องประหลาด ซ่งชูอีจึงไม่ต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นโดยการขอร้องให้ปกปิดเรื่องนี้อีก และด้วยนิสัยของเปี่ยเชวี่ย คนที่ควรรู้ก็จะได้รู้ คนที่ไม่ควรรู้จะไม่มีวันได้รู้
ซ่งชูอีค้อมตัวเล็กน้อย “ลำบากท่านหมอแล้ว ข้าได้เตรียมที่พักไว้ในจวน หากท่านหมอไม่รังเกียจ ทำไมไม่พักที่นี่สักระยะหนึ่งเล่า?”
ครั้นเห็นว่านางมิได้ตื่นตระหนกเลยสักนิดเมื่อถูกเปิดโปง เปี่ยนเชวี่ยก็สำรวจใบหน้าของซ่งชูอีอีกครั้งหนึ่ง หน้าผากอวบอิ่ม จมูกเป็นสันตรง ลักษณะดูไร้เดียงสาและไร้ความเจ้าเล่ห์ อยู่ในชุดคลุมแขนกว้างสีดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง…
“เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว” เปี่ยนเชวี่ยกล่าว
เมื่อเปี่ยนเชวี่ยเดินออกมาก็เล่าอาการป่วยของซ่งชูอีให้ทหารองครักษ์หู่เปินฟัง หากอิ๋งซื่อมีเวลาจะต้องเรียกเขาเข้าเฝ้าเพื่อถามไถ่ด้วยตัวเองอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงมิได้เล่าโดยละเอียดนัก
“ซ่างต้าฟู” ครั้นทหารองครักษ์หู่เปินที่เฝ้าหน้าประตูเห็นผู้มาเยือนแล้วก็ไม่ได้แสดงอาการขัดขวางขณะที่โค้งคำนับ “ได้โปรดอนุญาตให้ข้าน้อยเข้าไปรายงาน”
“ไปเร็วเข้า!” มือในแขนเสื้อของชูหลี่จี๋กำแน่น เขาได้ยินข้างนอกพูดกันว่าซ่งชูอีกลับรัฐฉินด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งยังพูดกันว่าหมอเทวดาเข้าจวนเพื่อวินิจฉัยด้วยตนเอง ก็รีบทิ้งเอกสารเต็มโต๊ะและขี่ม้าเร็วมาที่นี่ทันที
ทหารองค์รักษ์หู่เปินผู้นั้นเข้าไปเพียงครู่หนึ่งก็ออกมากับหู่เปินเซี่ยวเว่ย
“อวี้ฉือซั่วคำนับซ่างต้าฟู” หู่เปินเซี่ยวเว่ยประสานมือคำนับ
“อวี้ฉือเซี่ยวเว่ยไม่ต้องมากพิธี ข้าเข้าไปได้หรือไม่?” ชูหลี่จี๋เอ่ยถาม
“เชิญท่านซ่างต้าฟู ข้าน้อยจะกลับวังไปรอคำสั่ง ขอตัวก่อน” อวี้ฉือซั่วประสานมือ แล้วเดินผ่านเขาไป
ชูหลี่จี๋หันหลังกลับไปก็เห็นว่าบัดนี้เขาพลิกตัวขึ้นม้าไปแล้วก็ตกใจ หรือว่า…หรือว่าเขาจะมาช้าไปแล้ว? ไม่สิ ไม่สิ เปี่ยนเชวี่ยคงไม่ปล่อยให้ผู้คนแพร่กระจายเรื่องพวกนี้มั่วซั่วกระมัง!
คิดแล้วชูหลี่จี๋ก็เดินเข้าไปในลานเร็วจี๋ ถามทหารองค์รักษ์หู่เปินนายหนึ่ง จากนั้นก็พุ่งเข้าไปห้องหนังสือ
“หวยจิน” ยังไม่ทันจะเข้าห้องหนังสือก็เห็นซ่งชูอีคุกเข่าอยู่หน้าโต๊ะยาวเงียบๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร สีหน้าไร้อารมณ์
ซ่งชูอีฟังออกว่าน้ำเสียงของเขาสั่นเครือเล็กน้อย จึงเผยยิ้มออกมา “ไม่มีอะไร”
ชูหลี่จี๋เดินเข้าไปหานาง กระซิบเสียงเบา “ท่านหมอเทวดาดูไม่ออกหรือ?”
“พี่ใหญ่เห็นท่านหมอเทวดาเป็นของปลอมเช่นนั้นหรือ!” ซ่งชูอีเอ่ย
มีเหงื่อเย็นไหลออกมาจากแผ่นหลังของชูหลี่จี๋ เขาระงับมือของตัวเอง คลำหากาน้ำชาบนโต๊ะ รินน้ำเย็นให้ตัวเองเพื่อข่มความร้อนอกร้อนใจ ครั้นน้ำเย็นสองแก้วไหลลงท้อง เขาก็ทอดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา ใคร่ครวญแล้วก็คิดว่าเปี่ยนเชวี่ยไม่น่าจะนำเรื่องนี้ไปบอกอวี้ฉือซั่ว
“เรื่องโรคทางตาของเจ้า หมอท่านว่าเยี่ยงไรบ้าง?” ชูหลี่จี๋เอ่ยถาม
ซ่งชูอีก็คลำหาถ้วยชาว่างเปล่า เทน้ำถ้วยหนึ่งอย่างมั่นคง การกระทำนั้นคล่องแคล่ว ราวกับว่าผ่านการฝึกซ้อมมาหลายพันหลายหมื่นรอบ “บอกว่ามีโอกาสหายแปดส่วน”
“เช่นนั้นก็เยี่ยมนัก!” ในที่สุดชูหลี่จี๋ก็เผยสีหน้ายินดี “นับว่าเป็นข่าวดี”
หลังจากดื่มน้ำไปหลายถ้วย ชูหลี่จี๋ก็ลุกขึ้นหยิบม้วนไผ่สามม้วนจากแถวซ้ายบนสุดออกมาจากชั้นวางหนังสือด้านหลังซ่งชูอี เอ่ยว่า “ให้พี่ชายยืมงานที่เจ้าเขียนหน่อย”
พูดจบก็ไม่ขออนุญาตซ่งชูอี ถือมันออกไปจากห้องหนังสือแล้ว
ซ่งชูอีประหลาดใจ ยิ้มกว้างทันที ชูหลี่จี๋ตรงไปตรงมาเสมอทว่าไม่หยาบคาย และนี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาร้อนใจและไม่สนใจสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น ทั้งหมดนี้เพราะว่าเป็นห่วงนางใช่ไหม?
ชูหลี่จี๋พุ่งออกมาจากห้องหนังสือ ได้ยินมาว่าเปี่ยนเชวี่ยพักอยู่ในลานนี้ จึงรีบไปพบทันที
เขาเห็นประตูห้องของเปี่ยนเชวี่ยปิดสนิท เมื่อเห็นเจียนเฝ้าอยู่นอกห้องจึงเอ่ยถามเสียงเบา “ท่านหมอกำลังพักผ่อนหรือ?”
“กำลังอาบน้ำขอรับ” เจียนตอบ
ชูหลี่จี๋พยักหน้า ยืนรอยู่หน้าประตู
เปี่ยนเชวี่ยเดินทางมาด้วยความเหน็ดเหนื่อย กำลังแช่อยู่ในอ่างยาด้วยห่อยาคลายกล้ามเนื้อที่เตรียมมาเองซึ่งสบายตัวเป็นอย่างมาก ระหว่างนี้ยังให้เจียนเติมน้ำสามรอบ อาบน้ำครั้งนี้ใช้เวลาเกือบครึ่งชั่วยาม
จนกระทั่งเปี่ยนเชวี่ยอาบน้ำเสร็จ ขณะที่เจียนเข้าไปเทน้ำก็เห็นว่าเขาเดินไปที่เตียง นึกขึ้นมาได้ว่าชูหลี่จี๋รออยู่ข้างนอกเป็นเวลานานแล้ว จึงกัดฟันเอ่ย “ท่านหมอขอรับ องค์ชายจี๋รออยู่ข้างนอกเกือบหนึ่งชั่วยามแล้วขอรับ”
“องค์ชายจี๋?” เปี่ยนเชวี่ยขมวดคิ้ว เดิมทีไม่ต้องการพบ ทว่าครั้นคิดว่าตอนที่ตนอาบน้ำเขากลับไม่ได้รบกวน ในฐานะลูกหลานของราชวงศ์ทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว “อย่าเพิ่งเทน้ำ เชิญเขาเข้ามา”
เปี่ยนเชวี่ยหลบเข้าไปยังห้องด้านใน หยิบเสื้อตัวนอกแล้วสวมใส่ให้เรียบร้อย จากนั้นก็มัดผมเปียกไว้ข้างหลังก่อนจะเดินออกมา
ชุหลี่จี๋เห็นเขาแล้วก็วางแผ่นไม้ไผ่ในอ้อมอกลงบนโต๊ะทันที สะบัดแขนเสื้อแล้วโค้งคำนับยาวนาน “อิ๋งจี๋ถือวิสาสะรบกวนท่านหมอ เนื่องจากร้อนใจจริงๆ ขอท่านได้โปรดให้อภัย”
ชูหลี่จี๋มีหน้าตาละม้ายอิ๋งซื่อสามถึงสี่ส่วน สรุปแล้วเป็นผู้ชายหน้าตาดีหล่อเหลาและบุคลิกไม่สามัญ ในเวลานี้เขามีท่าทีจริงใจเพียงนี้ แม้แต่องค์ชายแห่งรัฐยังใช้คำว่า “ขอ” ด้วยซ้ำ เปี่ยนเชวี่ยคิดว่าหากตัวเองคิดเล็กคิดน้อยก็ออกจะใจแคบเกินไปหน่อย ดังนั้นเขาจึงโค้งคำนับตอบ “องค์ชายเกรงใจเกินไปแล้ว เชิญนั่ง”
ชูหลี่จี๋รอจนเปี่ยนเชวี่ยนั่งแล้ว จึงหยิบสมุดไผ่ขึ้นมาแล้วนั่งคุกเข่าลง
“ไม่ทราบว่าองค์ชายรีบร้อนมาหาข้า มีเรื่องใดหรือ?” น้ำเสียงและสีหน้าของเปี่ยนเชวี่ยอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
ชูหลี่จี๋เห็นความอิดโรยบนใบหน้าของเขา รู้ว่าบัดนี้อีกฝ่ายจะต้องไม่มีอารมณ์ที่จะคุยเรื่องไร้สาระกับเขาเป็นแน่ จึงเข้าประเด็นทันที “อิ๋งซื่อต้องการขอร้องท่านหมอเรื่องหนึ่ง”
หัวใจของเปี่ยนเชวี่ยชะงักงันเล็กน้อย ชูหลี่จี๋กล่าวออกมาสองประโยค ทั้งสองประโยคล้วนมีคำว่าขอ เห็นได้ชัดว่ากระตือรือร้นเป็นอย่างยิ่ง นอกเหนือจากขอร้องให้เขาช่วยคน เกรงว่าไม่มีเรื่องอื่นแล้ว “ข้าอายุมากและเหนื่อยล้า กำลังมีขีดจำกัด ทว่าได้เห็นความจริงใจขององค์ชายเช่นนี้ หากสามารถช่วยได้ก็จะทำเต็มความสามารถ”
เปี่ยนเชวี่ยอ่านคนมานับไม่ถ้วน โดยเฉพาะโรคที่ต้องขอให้หมอช่วยอย่างเร่งด่วน อุปนิสัยของคนนั้นจะเด่นชัดขณะที่สุดเมื่อกระวนกระวาย เพียงแวบเดียวเขาก็มองออกว่าชูหลี่จี๋เป็นเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างมีคุณธรรมคนหนึ่ง
“ขอบคุณท่านหมอ!” ใบหน้าของชูหลี่จี๋ยิ้มพรายด้วยความดีอกดีใจ กล่าวตรงๆ “อิ๋งจี๋อยากขอให้ท่านหมอปกปิดเรื่องที่ซ่งจื่อเป็นสตรีเพศ”
“เรื่องนี้…” มือที่กำลังลูบเคราของเปี่ยนเชวี่ยหยุดชะงัก เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “ข้าเป็นหมอคนหนึ่ง นอกเหนือจากเรื่องทักษะทางการแพทย์แล้ว ได้โปรดให้อภัยที่ข้าไม่สามารถช่วยได้ ทว่าองค์ชายโปรดวางใจ ข้าก็มีจรรยาบรรณแพทย์ จะไม่แพร่งพรายเรื่องเช่นนี้ไปสู่ภายนอกส่งเดช”
แน่นอนว่าเขาจะไม่ปากสว่างไปทั่ว ทว่าครั้นรับคำเชิญของอิ๋งซื้อให้มาวินิจฉัยโรคก็ได้รับปากว่าแล้วว่าจะคุยกับเขาโดยละเอียด
ชูหลี่จี๋รู้สึกได้ว่าเปี่ยนเชวี่ยไม่พอใจ รีบเอ่ยขึ้น “ท่านหมออย่าได้เข้าใจผิด ข้าน้อยมิได้สงสัยในจรรยาบรรณของท่านหมอ ข้าน้อยแค่อยากขอร้องให้ท่านปิดบังฝ่าบาท!”
“ฝ่าบาทไม่ทรงถาม ข้าก็จะไม่พูด ทว่าหากถามแล้วข้าจะทูลความเท็จต่อฝ่าบาทได้เยี่ยงไร?” เปี่ยนเชวี่ยรู้สึกได้ว่าชูหลี่จี๋เป็นกังวลมาก หรือว่าฉินกงก็สงสัยในเพศของซ่งชูอี? ทว่าตอนที่ขอร้องเขานั้นเต็มไปด้วยความจริงใจ ไม่เหมือนว่ามีข้อสงสัยเลยนี่นา?
“ท่านหมอ!” ชูหลี่จี๋วางสมุดไผ่ลงบนโต๊ะตรงหน้าเปี่ยนเชวี่ย “หากท่านหมอมีเวลาว่างได้โปรดอ่านตำราพิชัยสงครามที่หวยจินเขียนก่อนแล้วค่อยตัดสินใจ บัดนี้ข้ามาขอร้องท่านหมอเรื่องนี้ใช่วางแผนจะเข้าข้างผู้ใด ทว่าขอร้องเพื่อต้าฉิน ขอร้องเพื่อสถานการณ์โดยรวม หวยจินมีความสามารถเพียงนี้ หากต้องถูกฝังไว้ในสวนหลังบ้าน คอยจัดฟืนข้าวน้ำมันเกลือทั้งวันเพียงเพราะเป็นสตรี เกรงว่าสวรรค์ก็คงเกลียดชังเช่นกัน”
เปี่ยนเชวี่ยได้ยินคำพูดที่จริงใจของเขา มองดูสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความอ้อนวอนก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “สตรีประเภทใดกันที่สามารถทำให้องค์ชายเห็นคุณค่าเพียงนี้”
“นางเป็นซางจวินคนใหม่ของรัฐฉินข้า!” ชูหลี่จี๋ตอบอย่างเฉียบขาด
ไม่ว่าชื่อเสียงและวิธีการของซางยางจะเป็นเยี่ยงไร ทว่าเขาก็เคยพลิกกระแสอันบ้าคลั่งและสามารถสร้างรัฐฉินที่กำลังจะล่มสลายให้แข็งแกร่งจนมิอาจทำลายได้ นี่คือความจริงที่ไม่อาจโต้แย้ง
“องค์ชายกลับไปก่อนเถิด ข้าจะอ่านม้วนไผ่เหล่านี้อย่างละเอียด” เปี่ยนเชวี่ยกล่าว
ชูหลี่จี๋ร้อนใจ ทว่าเขาก็ทำได้เพียงเท่านี้ คงไม่สามารถใช้มีดจี้คอของเปี่ยนเชวี่ยได้กระมัง! เขาบีบลมหายใจออกช้าๆ แล้วโค้งคารวะ “ขอบคุณท่านหมอ เนื้อหาบนใบไผ่นี้เป็นเพียงสามสิบม้วนแรกเท่านั้น หากท่านหมอสนใจ สามารถไปอ่านที่ห้องหนังสือได้ อิ๋งจี๋รบกวนมากแล้ว ได้โปรดท่านหมอให้อภัย ขอตัว”
“ได้” เปี่ยนเชวี่ยลุกขึ้นส่ง
“ท่านหมอไม่ต้องส่ง” ชูหลี่จี๋ถอยออกไป
เปี่ยนเชวี่ยมองดูเงาของชูหลี่จี๋ที่เดินไปยังห้องหนังสือ เดินมือไพล่หลังไปข้างเตียง ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วหมุนตัวกลับมาอีกครั้ง นั่งลงตรงหน้าโต๊ะพลิกอ่านม้วนไผ่เหล่านั้น
เขาไม่ใคร่สนใจกิจการทางโลกเท่าใดนัก แม้กระทั่งตอนที่รู้ว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิงก็ยังไม่รู้สึกไหวติง ทว่าชูหลี่จี๋กลับเห็นความสำคัญในความสามารถของซ่งชูอีเพียงนี้ ขอร้องแทนนางโดยไม่หวงแหนศักดิ์ศรี ช่างเป็นเรื่องที่น่าฉงนเสียเหลือเกิน
พลิกหน้าแรก กวาดตาอ่านคร่าวๆ รอบหนึ่ง เห็นเพียงด้านบนเขียนไว้ว่า ‘ผู้ใดรู้เรื่องพิชัยสงครามอย่างลึกซึ้งที่สุด? ข้าคิดว่ามันควรจะแบ่งเป็นสามระดับ ระดับแรกคือเต๋า ระดับสองคือฟ้าดิน ระดับสามคือกฎผู้นำทัพ ตามทฤษฎีเต๋า ไม่ว่าระดับจุลหรือระดับลึก ผู้ที่มีชื่อว่า ‘นับรบฉลาดที่ต่อสู้โดยไม่เข่นฆ่า’ จึงจะเป็นเช่นนั้นแล; ตามทฤษฎีฟ้าก็คือพลังหยิน ตามทฏษฎีดินก็คือพลังหยาง นักกลยุทธ์สามารถใช้หยินโจมตีหยาง ใช้ความเสี่ยงโจมตีหยาง…’
ใช้เต๋ากล่าวถึงการทหารได้อย่างแยบยลนัก! แต่ละคำพูดลึกซึ้ง เปี่ยนเชวี่ยไม่เข้าใจการทหาร ทว่าก็เคยอ่าน “ซุนจื่อ” มาก่อน ดีเลวอย่างไรก็เข้าใจอย่างถ่องแท้
เขารีบอ่านต่อ ‘การลงโทษอันรุนแรงทำให้ผู้คนเกรงกลัวกฎหมายแต่ไม่เกรงกลัวศัตรู เพราะเหตุใดเล่า? ซีอู่อ๋องใช้กองทัพเดี่ยวสู้กับฝูงชนแห่งอินซางนับล้าน ไร้ซึ่งกฎหมายรุนแรง เพราะเหตุใดเล่า? ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของกองทัพเป็นสถานการณ์จำเพาะ มิอาจผัดผ่อนสิ่งใดได้…’
หน้าแรกล้วนเป็นการถามตอบ อธิบายมุมมองเกี่ยวกับ “การทหาร” อย่างพิถีพิถัน
[1] หู่เปิน หรือที่รู้จักกันในนามกองทัพหู่เปินหรือหู่เปินหลาง เป็นหน่วยอารักขาของจักรพรรดิจีนโบราณก่อตั้งขึ้นในราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
[2] หู่เปินเซี่ยวเว่ย ตำแหน่งผู้บัญชาการของกองทหารองครักษ์หู่เปิน