กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 230 ในโลกนี้มีวีรสตรี
ท้องฟ้าเข้าสู่ราตรีโดยไม่รู้ตัว
ม้วนไผ่สามม้วนรวมกันไม่ถึงพันคำ เปี่ยนเชวี่ยใช้เวลาไม่นานก็อ่านจนจบ ในตอนท้าย สายตาของเขาจดจ่ออยู่กับลายมือที่แข็งแกร่งงดงามเหล่านั้น จนไม่สามารถดึงสติกลับมาได้เป็นเวลานาน
เปี่ยนเชวี่ยมีความรู้ทางพิชัยสงครามเพียงน้อยนิด แต่มักจะศึกษาผลงานชิ้นเอกของลัทธิเต๋าอยู่เป็นประจำ ซ่งชูอีผสมผสานหยินและหยางของลัทธิเต๋าเข้ากับศิลปะแห่งสงคราม เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แท้จริงของมันอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้หลังที่อ่านตำราพิชัยสงครามสามม้วนนี้จบก็เข้าใจการทหารอย่างคร่าวๆ แล้ว!
“เฮ้อ!” เปี่ยนเชวี่ยทอดถอนหายใจยาว วางสมุดไผ่ลง ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่างก็สามารถมองเห็นห้องหนังสือที่มืดสนิทตรงหน้าพอดี
เปี่ยนเชวี่ยไม่เคยประเมินความสามารถของผู้หญิงต่ำเลย ในโลกใบนี้มิได้มีเพียงต๋าจี่และเปาซื่อเท่านั้น ยังมีฟู่เห่าเช่นกัน ฟู่เห่าเป็นฮองเฮาแห่งหวังอู่ติง เป็นผู้บัญชาการทหารของราชวงศ์ซางในบัดนั้น อีกทั้งยังเป็นมหาปุโรหิตที่กุมอำนาจแห่งการบวงสรวง ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นนักปกครองผู้มีวิสัยทัศน์ยาวไกลคนหนึ่ง ตามบันทึกทางประวัติศาสตร์แล้ว นางยังเป็นผู้นำการต่อสู้ในขณะที่กำลังตั้งครรภ์และได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่อีกด้วย
สิ่งสำคัญของบ้านเมืองขึ้นอยู่กับการเสียสละและการทหาร กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสิ่งสำคัญของบ้านเมืองขึ้นอยู่กับการบวงสรวงและอำนาจทางทหาร
ในฐานะที่ฟู่เห่าเป็นผู้บัญชาการทหารและมหาปุโรหิต เกรงว่าครั้นอู่หวังพบหน้าก็ยังเกรงกลัวด้วยซ้ำ โดยเฉพาะในยุคก่อนราชวงศ์โจวที่ยังมีการสืบทอดประเพณีของชนเผ่าที่สตรีเพศเป็นใหญ่ ผู้หญิงนำทัพออกรบเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง ทว่าครั้นหลังราชวงส์ซางชนเผ่าที่บุรุษเพศเป็นใหญ่ได้เข้ามามีอิทธิพลแล้ว การที่ฟู่เห่าสามารถครองสองตำแหน่งอันเป็นเส้นเลือดหลักของรัฐในขณะที่ผู้ชายอยู่ในอำนาจ อีกทั้งยังทำได้อย่างดีเยี่ยม เห็นได้ว่าความสามารถโดดเด่นเพียงใด!
อย่างไรก็ดีจนถึงบัดนี้สตรีผู้มีเสน่ห์ในบันทึกประวัติศาสตร์นั้นมีมาก ทว่าผู้หญิงที่โดดเด่นอย่างแท้จริงเช่นฟู่เห่ามีน้อยยิ่ง ผู้คนจึงมีอคติกับผู้หญิงเล็กน้อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ครั้นเปี่ยนเชวี่ยมองจากเนื้อหาปิดผนึก ลายมือ รูปลักษณ์และด้านอื่นๆ ของซ่งชูอีแล้ว ก็รู้สึกได้ถึงความแข็งกร้าวประเภทหนึ่ง – เป็นความแข็งกร้าวที่ต่างจากลักษณะผอมบางของนางเหลือคณานับ
เพิ่งจะได้พบหน้ากันเท่านั้น ตัวจริงเป็นเยี่ยงไรนั้นยังต้องค่อยๆ สังเกตดูก่อน
เปี่ยนเชวี่ยยืนอยู่ครู่ใหญ่ มองดูเด็กสาวคนหนึ่งถือตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งเข้าห้องไป ผ่านไปสักพักก็ประคองซ่งชูอีออกมา เดินตรงมาทางนี้จากทางเดิน
……
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ หนิงยาจึงมองเห็นเปี่ยนเชวี่ย กล่าวเตือนซ่งชูอีเสียงเบา
ซ่งชูอีคารวะ “ดึกป่านนี้แล้วท่านหมอยังไม่พักผ่อน เพราะเตียงตั่งไม่สบายหรือเปล่า?”
“เปล่าเลย ข้าเพียงคิดอะไรบางอย่าง” เปี่ยนเชวี่ยเป็นหมอที่เดินทางทั่วหล้าในช่วงชีวิตส่วนใหญ่ นอนกลางดินกินกลางทรายบ้าง จึงไม่จู้จี้จุกจิกเกี่ยวกับที่พักอยู่แล้ว
“ท่านหมอเดินทางมาด้วยรถม้าอย่างเหน็ดเหนื่อย รีบพักผ่อนเถิด หากหวยจินสามารถคลี่คลายความกังวลใดๆ ได้ จะไม่ปฏิเสธแน่นอน” ซ่งชูอีกล่าว
เปี่ยนเชวี่ยมองดูเด็กหนุ่มที่มีใบหน้าซีดขาวในชุดแขนกว้างสีดำภายใต้แสงจันทร์ มีความอิสระเสรีในวาจา บุคลิกก็ไม่เหมือนกับบัณฑิตนับหมื่นพันทั่วไป อดที่จะหัวร่อเสียงดังมิได้ “ไม่ทราบว่ามาดื่มกันได้หรือไม่?”
ซ่งชูอีประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะน้อยๆ “เหตุใดจะมิได้เล่า? หวยจินไม่เพียงดื่มได้ สุราบ๊วยที่ผลิตขึ้นนั้นมีเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ ท่านหมออยากชิมหรือไม่?”
“ประเสริฐนัก! ท่านกระตุ้นความอยากสุราให้กับชายชราแล้ว สุราบ๊วยนี้จะต้องให้สมกับชื่อเชียว!” เปี่ยนเชวี่ยกล่าวพลางเดินออกมาจากในห้อง
ซ่งชูอีสั่งเจียนให้ไปขุดสุรา ส่วนหนิงยาจัดโต๊ะอยู่ในศาลา
เปี่ยนเชวี่ยนั่งอยู่ในศาลา เมื่อมองไปยังไหสุราที่ขุดขึ้นมาจากดินก็ถามด้วยความสงสัย “สุราอายุมากก็รสดีหรือ?”
สุราส่วนใหญ่ในปัจจุบันฤทธิ์อ่อนมาก การต้มหยาบกระด้าง วางไว้ไม่นานรสชาติก็จะเปลี่ยน รสเปรี้ยวอันร้อนแรงนั้นแน่นอนว่าไม่เลวทว่าท้ายที่สุดก็ยังขาดกลิ่นสุรา เมื่อชาติที่แล้วครั้นซ่งชูอีตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายก็เคยปรุงเมล็ดพืชในโรงกลั่นสุราแห่งหนึ่ง นางจึงสนใจในสุรานับตั้งแต่บัดนั้น ดังเช่นคัมภีร์ “หวงตี้เน่ยจิง” ที่เคยบันทึกกระบวนการผลิตสุราเอาไว้ ซ่งชูอีก็เคยลองหมักสุราด้วยตัวเอง ทว่าบัดนั้นนางยากจน แม้แต่ข้าวก็ไม่มีให้กินด้วยซ้ำ จะมีธัญพืชมากมายสำหรับหมักสุราได้เยี่ยงไร ดังนั้นจึงไม่เคยปฏิบัติจริงเลยสักครั้ง จนกระทั่งสวามิภักดิ์ต่อตวนหยางโหว นางจึงมีธัญพืชเหลือมากพอที่จะลองหมักสุรา เนื่องจากล้มเหลวกลางทางหลายครั้งจึงนำไปสู่โชคไม่ดีครั้งแล้วครั้งเล่า อย่างไรก็ดีนางอดทนไม่ย่อท้อเสมอมา และมันนำนางไปสู่ผลลัพธ์บางอย่างในที่สุด
พูดไปก็น่าขัน ขณะที่นางเพิ่งจะเริ่มได้รับความนับถือจากตวนหยางโหวนั้นไม่ใช่เป็นเพราะกลยุทธ์ในการบรรเทาความทุกข์ยากใดๆ หากแต่เป็นเพราะสุราไหหนึ่ง ต่อมาเมื่อค่อยๆ สนิทสนมกับตวนหยางโหว เขาจึงเริ่มถามหากลยุทธ์จากซ่งชูอี
“ชิมดูก็จะรู้” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
หนิงยาเปิดไหสุราที่ปิดสนิท กลิ่นหอมของสุราเล็ดลอดออกมาเต็มโพรงจมูก มันไม่เหมือนกลิ่นเผ็ดร้อนของสุราใหม่ ทว่าสามารถรู้สึกได้ถึงความกลมกล่อมจากนานบ่มยาวนานในนั้น
หนิงยารินให้เปี่ยนเชวี่ยเต็มจอก เขาแทบรอไม่ไหวอยากจะยกมันขึ้นมาจรดจมูกดม “เพียงได้กลิ่นก็เมาเสียสามส่วนแล้ว เยี่ยมจริงๆ!”
“ท่านหมอลองชิมดูว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ย
เปี่ยนเชวี่ยจิบเบาๆ สุราที่เย็นชืดเล็กน้อยผ่านเข้าไปในปาก กลิ่นสุราหนักหน่วงกับกลิ่นหอมของดอกบ๊วยจางๆ แพร่กระจายช้าๆ โดยเริ่มจากความอ่อนโยนและนุ่มนวล จากนั้นก็ยิ่งเผ็ดร้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความเผ็ดร้อนสิ้นสุดลง กลิ่นหอมยังคงค้างอยู่ในปากและฟัน รสที่ค้างอยู่ในคอนั้นไม่มีที่สิ้นสุด
“สุราดี!” เปี่ยนเชวี่ยไปมาจนทั่ว เรียกได้ว่าผ่านสุรามานับไม่ถ้วน สิ่งที่สามารถทำให้เขาเอ่ยชมได้เช่นบัดนี้มีน้อยจนนับนิ้วได้จริงๆ
“เป็นสุราดีจริงๆ ท่านหมอตรงไปตรงมาดีแท้!” ซ่งชูอียกสุราขึ้นคำนับเปี่ยนเชวี่ย ไม่ได้พูดถึงฉากเหล่านั้น
“ช่างรื่นเริงใจนัก!” เปี่ยนเชวี่ยอุทานออกมา เงยหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด “อย่าเรียกข้าว่าท่านหมออีกเลย เรียนว่าหลูอี หรือฉินอีก็ได้”
“เปี่ยนเชวี่ย” เป็นชื่อของหมอเทวดาในสมัยโบราณ ปัจจุบันเป็นเรื่องปกติที่จะเรียกผู้ที่มีทักษะทางการแพทย์ยอดเยี่ยมด้วยความเคารพว่าเปี่ยนเชวี่ย เขาเป็นชาวฉีชื่อว่าหลูอี้โดยกำเนิด มีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ในตอนแรกทุกคนที่ฝึกด้านการแพทย์ล้วนเรียกเขาว่าหลูอี (ท่านหมอหลู) ต่อมาเมื่อเดินทางไปทั่ว ชื่อเสียงด้านการแพทย์จึงขจรขยายเนื่องจากมีทักษะทางการแพทย์อันยอดเยี่ยม ผู้คนจึงเรียกเขาว่าเปี่ยนเชวี่ยด้วยความนับถือ ครั้นเรียกนานแล้วก็แทบจะกลายเป็นชื่อของเขาไปโดยปริยาย ทักษะทางการแพทย์ของเขาหาผู้ใดเปรียบ ยังไม่มีใครในโลกที่คู่ควรกับชื่อนี้ ดังนั้นทันทีที่เอ่ยถึงเปี่ยนเชวี่ย ทุกคนต่างรู้ว่าเป็นเขา
ขณะที่เปี่ยนเชวี่ยอายุห้าสิบกว่า ฉินกงทรงพระประชวรจึงเรียกเขาเข้ารัฐฉิน บัดนั้นรัฐฉินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสวงหาการพัฒนา ดังนั้นจึงมีความเคารพต่อผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก นอกจากบัณฑิตแล้ว ในบรรดารัฐต่างๆ รัฐฉินเคารพหมอมากที่สุด ดังนั้นเขามาครั้งนี้ก็ไม่เคยจากไปไหน ย้ายทะเบียนบ้านเข้ารัฐฉิน และฉินกงก็มอบของขวัญให้เขา – สกุลฉิน
“จะได้อย่างไร ท่านเป็นผู้อาวุโส เช่นนั้นหวยจินเรียกว่าท่านอาวุโสก็แล้วกัน” ซ่งชูอีเอ่ย
“ได้” เปี่ยนเชวี่ยดื่มอย่างสำราญใจ จึงรับปากแล้ว
ทั้งสองคนพลางดื่มพลางพูดคุย เริ่มแรกซ่งชูอีไม่เข้าใจนิสัยของเปี่ยนเชวี่ย เนื่องด้วยเขาพูดน้อย อย่างไรก็ดีหลังจากการทดลองถามอย่างแยบยลไม่กี่ครั้ง ก็รู้ว่าเขานับถือลัทธิขงจื้อ ชื่นชอบลัทธิเต่า มีทัศนคติที่ไม่ยกย่องหรือดูหมิ่นลัทธิอื่น เกลียดคนที่เลียแข้งเลียขาประจบสอพลอเป็นที่สุด
ครั้นมีความเข้าใจพื้นฐานแล้ว ซ่งชูอีจึงคุยเรื่องลัทธิเต๋ากับเขาเท่านั้น
ซ่งชูอีติดตามอยู่ข้างกายจวงจื่อ จึงเริ่มต้นได้สูงกว่าผู้ที่ศึกษาลัทธิเต๋าทั่วไป แม้ไม่เอาถ่านแค่ไหนก็มิได้ย่ำแย่เพียงนั้น ยิ่งไปกว่านั้นนางก็มิใช่คนที่ไม่มีวิชาความรู้เลย
“ข้าพบเจอคนรุ่นหลังมามากมาย มีเพียงเด็กน้อยเช่นเจ้าที่เข้ากับนิสัยของข้าเป็นที่สุด” เปี่ยนเชวี่ยเมามายเล็กน้อย ลืมไปแล้วว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง
เขาอาศัยในรัฐฉินมาสิบกว่าปี การพูดการจาก็มีรูปแบบของชาวฉินอยู่บ้างแล้ว
ชาวฉินมีความรักความเกลียดชังที่ชัดเจนและแข็งแกร่ง หากเห็นว่าคนไหนดี คุยเพียงไม่กี่คำก็มีความกะตือรือร้นตรงไปตรงมา ปฏิบัติต่อกันอย่างจริงใจ ทว่าหากเห็นว่าคนไหนไม่ดี อย่างเบาก็จะปฏิบัติด้วยอย่างไม่ไว้หน้า อย่างมากก็ลงไม้ลงมือ