กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 232 หมากตาสุดท้ายที่งดงามที่สุด
“ช่วงนี้ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” อิ๋งซื่อคุกเข่าลงบนที่นั่งหลักของห้องโถงใหญ่ หันมองซ่งชูอี
“ขอบพระทัยฝ่าบาทที่เป็นห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ” หากไม่ใช่เพราะว่างไม่มีอะไรทำทั้งวัน นางจะดีกว่านี้
อิ๋งซื่อพยักหน้า สั่งให้ทหารองครักษ์ข้างกายไปเชิญเปี่ยนเชวี่ยเข้ามา
ชูลี่จี๋รู้สึกตื่นเต้น ทว่าบนใบหน้ากลับวางมาด ในขณะที่เขากำลังตื่นเต้นอยู่นั้น เสียงเย็นเยียบเล็กน้อยของเจินอวี๋ดังขึ้นหน้าประตู “ข้าต้องการพบท่าน”
หนิงยารีบเอ่ย “ฝ่าบาทมาเยี่ยมท่าน อีกประเดี๋ยวเจียวเจียวค่อยมาเถิด”
เจินอวี๋อึ้งไปครู่หนึ่ง ในใจแทบทนไม่ไหวต้องการจะร้องเรียนความหน้าซื่อใจคดของซ่งชูอีต่อหน้าฉินกง ทว่าครั้นนึกถึงผลประโยชน์ของสกุลเจินแล้ว นางทำได้เพียงกัดฟันอดทนไว้ “เช่นนั้นข้ากลับไปก่อน หากท่านว่างแล้ว เจ้ามารายงานข้าที”
“เจ้าค่ะ” หนิงยาเห็นว่านางมีสีหน้าไม่พอใจ จึงตอบอย่างระมัดระวัง
สถานที่ที่ทั้งสองคุยกันนั้นไม่นับว่าใกล้จากประตูหลักมาก แต่บังเอิญว่าในบ้านไม่มีคนคุยกัน จึงได้ยินอย่างชัดเจนเป็นพิเศษ
“ใครน่ะ?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม
ชูหลี่จี๋ประหลาดใจเล็กน้อย คิดในใจว่าฝ่าบาทมิใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นเช่นนี้เสียหน่อย!
ซ่งชูอีเอ่ย “น้องสาวของสหาย”
“ฝ่าบาท ท่านหมอมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” นายทหารหู่เปินที่หน้าประตูเข้ามารายงาน
อิ๋งซื่อก็มิได้ถามต่ออีก “เชิญท่านหมอเข้ามา”
เปี่ยนเชวี่ยเข้าประตูมา เห็นอิ๋งซื่อลุกขึ้นต้อนรับก็รีบเอ่ย “ฝ่าบาทต้องการฆ่ากระหม่อมหรือ! กระหม่อมเป็นเพียงสามัญชนเดินดินจะรับการต้อนรับจากฝ่าบาทได้เยี่ยงไร?”
“ต้าฉินเคารพผู้มีความสามารถ ท่านหมอคู่ควรแล้ว” บนใบหน้าของอิ๋งซื่อมิได้มีอารมณ์มากนัก น้ำเสียงก็จริงจังเป็นอย่างมาก
รัฐฉินให้ความสำคัญกับนักวิชาการ เปี่ยนเชวี่ยอยู่ในรัฐฉินมาสิบกว่าปี เข้าใจในข้อนี้อย่างลึกซึ้งที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้คำกล่าวเกรงใจอะไรอีก หลังจากโค้งคำนับแล้วก็นั่งลงตามอิ๋งซื่อ
“ท่านหมอเดินทางอย่างยากลำบาก ไม่ทราบว่าพักในจวนของซ่งจื่อมีอะไรไม่สะดวกสบายหรือไม่?” อิ๋งซื่อเอ่ยถาม
เปี่ยนเชวี่ยยิ้มน้อยๆ เอ่ย “นิสัยของกระหม่อมกับซ่งจื่อเข้ากันได้ดี ปกติจะคุยกันเรื่องคำสอนของเต๋า กระหม่อมมีความสุขมากเกินไปด้วยซ้ำ จะไม่สะดวกสบายได้เยี่ยงไร”
นิสัยเข้ากันได้ดี? อิ๋งซื่เหลือบมองซ่งชูอีเล็กน้อย คิดในใจ ‘อยากรู้จริงๆ ว่านางเข้ากับใครไม่ได้บ้าง!?’
ซ่งชูอีมองไม่เห็น ทว่าชูหลี่จี๋กลับไม่พลาดสายตาของอิ๋งซื่อ เพราะว่าสายตานั้นไร้อารมณ์ใดๆ ในขณะนั้นเขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่ามันมีความหมายใดกันแน่ ยังไม่ทันจะได้คิดมาก อิ๋งซื่อก็เริ่มถามอาการป่วยของซ่งชูอีแล้ว ชูหลี่จี๋รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด
เปี่ยนเชวี่ยตอบตามความจริง อีกทั้งยังอธิบายสั้นๆ ถึงวิธีการรักษาในอนาคต
“กว่าเหรินไม่เข้าใจการแพทย์ ต่อไปต้องฝากฝังอาการบาดเจ็บของซ่งจื่อไว้กับท่านหมอแล้ว ขาดยาอะไร ขอเพียงให้อิ๋งจี๋มาบอก กว่าเหรินจะต้องหามาแน่นอน” ความหมายในคำพูดของอิ๋งซื่อได้สิ้นสุดการเยี่ยมไข้ครั้งนี้แล้ว
“ฝ่าบาททรงเมตตา กระหม่อมจะต้องรักษาอย่างสุดความสามารถแน่นอน” เปี่ยนเชวี่ยประสานมือกล่าว
ในที่สุดชูหลี่จี๋ก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทันใดนั้นอิ๋งซื่อก็เอ่ยว่า “ซ่างต้าฟู รบกวนเจ้าไปส่งท่านหมอที ข้ายังมีเรื่องต้องการคุยกับซ่งจื่อ”
“พ่ะย่ะค่ะ” ชูหลี่จี๋ตอบรับ
เปี่ยนเชวี่ยก็อาศัยอยู่ในลานแห่งนี้ มีอะไรน่าส่งกัน? เห็นได้ชัดว่าอิ๋งซื่อต้องการกันพวกเขาออกไป ดังนั้นเปี่ยนเชวี่ยจึงไม่ได้ปฏิเสธและถอยออกไปจากห้องโถงหลักพร้อมกับชูหลี่จี๋ก่อน เปี่ยนเชวี่ยถือโอกาสนี้เชิญให้เขาเข้าไปนั่งในห้องสักพัก
ภายในห้องเงียบสงัด
อิ๋งซื่อเอ่ยขึ้น “ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปที่ดีๆ แห่งหนึ่ง”
“ฝ่าบาทไม่ยุ่งหรือ?” ซ่งชูอีรู้มาว่าเพิ่งเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นในราชสำนัก อิ๋งซื่อจัดการกับตระกูลเก่าแก่ทั้งหมดในคราวเดียว รวมถึงกานหลงขุนนางสี่รัชสมัยผู้นั้นด้วย
อนิจจากานหลง เขาก่อกบฏและละทิ้งหน้าที่ พยายามสนับสนุนให้เซี่ยงกงที่ยังเป็นองค์รัชทายาทไม่เอาถ่านในบัดนั้นขึ้นครองราชย์ อีกทั้งยังเป็นผู้ช่วยเซี่ยวกง จากนั้นก็เอาอิ๋งซื่อจวินองค์ใหม่เข้ามา เขามีความทะเยอะทยานและความสามารถในการยึดครองอำนาจสูงสุด ทว่าโชคไม่ดีที่พบกับวีรบุรุษสามรุ่นติดต่อกัน มิฉะนั้นก็เป็นไปได้ที่จะควบคุมราชสำนักรัฐฉินเป็นเวลาร้อยปี
“ยุ่ง ฉะนั้นอย่าเสียเวลาเลย” อิ๋งซื่อกล่าว
ซ่งชูอียิ้มยิงฟัน รวบรวมความกล้าเอ่ยเย้า “ฝ่าบาท ดีเลวอย่างไรหวยจินก็สวามิภักดิ์ต่อรัฐฉินแล้ว ไม่จำเป็นต้องมากพิธี อย่างไรก็ไม่ต้องปฏิบัติอย่างแตกต่างดอกกระมัง?”
นางเพิ่งจะพูดจบ มือซ้ายก็ถูกกุมไว้ด้วยมืออุ่น เนื้อตัวเบาโหวง ถูกลากขึ้นมาจากเบาะที่นั่งอย่างกะทันหัน
อิ๋งซื่อนำนางเดินออกไปข้างนอก “ธรณีประตู”
ซ่งชูอียกเท้าก้าว
“บันได”
ซ่งชูอีก้าวช้าๆ
หนิงยาตามอยู่ด้านหลังทั้งสองคน จนกระทั่งถึงประตูใหญ่จึงรวบรวมความกล้า เอ่ยถามเสียงเบา “ฝะ ฝ่าบาท จะพานายท่านของพวกข้าไปที่ใดเจ้าคะ?”
อิ๋งซื่อหันมองหนิงยา เด็กสาวตกใจจนเข่าอ่อน คุกเข่าลงไปกับพื้นเสียงดังตึง น้ำตาไหลอาบแก้มเงียบๆ
เพียงได้ยินเสียงก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ซ่งชูอีกุมหน้าผาก น่าขายหน้าจริงๆ!
เห็นทีจะต้องอบรมสั่งสอนเสียหน่อย คนที่นางเก็บไว้ข้างกาย จะมีท่าทางไม่ประสาต่อโลกเช่นนี้ไม่ได้!
“ไม่มีอะไร ข้าไปประเดี๋ยวก็กลับมา เจ้าอยู่เฝ้าจวน ปรนนิบัติท่านหมอให้ดี” ซ่งชูอีกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนโยนอย่างอดทน
หนิงยาได้ยินเสียงของซ่งชูอีก็สงบสติอารมณ์ ตอบอย่างว่าง่าย “เจ้าค่ะ”
อิ๋งซื่อพลิกตัวขึ้นม้าไป ยื่นมือดึงซ่งชูอีขึ้นด้านหลัง “นั่งดีๆ”
ทันทีที่สิ้นวาจา ม้าก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนู ซ่งชูอีโอบเอวของซ่งชูอีแน่น รู้สึกเพียงเสียงลมที่หวีดหวิวข้างหู มันกรีดผ่านใบหน้าจนเจ็บปวด
ผ่านไปประมาณหนึ่งเค่อ ความเร็วก็ค่อยๆ ลดลง
“เสด็จพี่!” เสียงสดใสที่เจือปนกับเสียงเกือกม้าที่เร่งรีบค่อยๆ ใกล้เข้ามา
“อาสี่” น้ำเสียงของอิ๋งซื่ออ่อนโยนลงมาก
ม้าหยุดลงช้าๆ อิ๋งซื่อเอ่ยแนะนำกับซ่งชูอี “น้องสาวข้า อิ๋งสี่”
สี่ (玺) ก็คือตราประทับแล เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำตราประทับมีมาก ดังนั้นในปัจจุบันตัวอักษร “สี่” จึงมีวิธีเขียนหลากหลาย มีทั้งด้านบนเขียนด้วยตัว เอ่อ (尔) ด้านล่างเขียนด้วยตัว จิน (金) มีทั้งด้านบนเขียนด้วยตัว เอ่อ (尔) ด้านล่างเขียนด้วยตัว ถู่ (土) และแน่นอนก็มีคำที่ด้านบนเขียนด้วยตัว เอ่อ (尔) ด้านล่างเขียนด้วยตัว อวี้ (玉 / หยก) การใช้หยกทำตราประทับนั้นโดยทั่วไปจะเป็นตราประทับของรัฐ
ตราประทับของรัฐมีมูลค่ามากเพียงใด? องค์หญิงองค์นี้ถูกตั้งชื่อเช่นนี้จะต้องได้รับความโปรดปรานอย่างยิ่ง
ซ่งชูอีต้องการจะลงจากม้า ทว่ากลับถูกอิ๋งซื่อคว้าตัวไว้ ด้วยเหตุนี้จึงทำได้เพียงยิ้มอย่างอึดอัด แล้วโค้งคำนับบนหลังม้า “ถวายบังคมองค์หญิง กระหม่อมเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก ได้โปรดองค์หญิงอย่าถือสา”
อิ๋งสี่อยู่ในเครื่องแต่งกายสีดำแดงที่ดูคล่องตัว ผมสีดำดุจผ้าไหมถูกมัดห้อยเป็นหางม้าอยู่ข้างหลัง ใบหน้าสะสวยมีส่วนละม้ายคล้ายกับอิ๋งซื่อ ผิวพรรณคล้ำกว่าหญิงผู้สูงศักดิ์ทั่วไปเล็กน้อย บุคลิกกล้าหาญดั่งวีรสตรี “ท่านไม่จำเป็นต้องมากพิธี อิ๋งสี่ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน วันนี้ได้พบหน้านับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ได้ยินวาจาดังนี้ องค์หญิงองค์นี้ดูไม่เอาแต่ใจและหยิ่งยะโสเลย ทำให้ซ่งชูอีเกิดความรู้สึกดีต่อนางเล็กน้อย
“เรื่องที่ไหว้วานเจ้า ทำเสร็จแล้วหรือยัง?” อิ๋งซื่อตัดบทคำทักทายอย่างสุภาพของพวกนาง
“แน่นอนอยู่แล้ว” อิ๋งสี่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ จากนั้นก็นึกขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง พ่นลมหายใจออกทางจมูก “หากซ่งจื่อพึงพอใจ เสด็จพี่ต้องอนุญาตให้ข้าโบยแม่นางเหว่ยหวานนั่นแรงๆ สักที!”
อิ๋งซื่อไม่ใส่ใจนาง ขี่ม้าไปข้างหน้า
ซ่งชูอีไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน อย่างไรก็ดีนางจำได้ว่าองค์หญิงเว่ยที่แต่งเข้ามามีชื่อว่าเว่ยหวาน จึงคิดว่าเว่ยหว่านผู้นี้น่าจะเป็นองค์หญิงรองที่เป็นเพื่อนเจ้าสาว
การแต่งงานเพื่อการทูตไม่จำเป็นต้องเป็นองค์หญิงองค์โต ขอเพียงตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีเลือดของตระกูลสูงส่งเป็นพอ แม้ว่าเว่ยหวานมิได้กำเนิดมาจากฮองเฮาเว่ย ทว่ามารดาของนางก็เป็นถึงพระธิดาแห่งราชวงศ์โจว สองรัฐแต่งงานเพื่อเจริญไมตรี องค์หญิงที่ออกเรือนไม่ว่าจะกำเนิดมาจากฮองเฮาหรือไม่ ตามประเพณีขององค์หญิงองค์โตนั้นไม่อาจขาดพระเชษฐภคินีหรือพระขนิษฐาที่เป็นเพื่อนเจ้าสาวได้
ระหว่างน้องสามีและพี่สะใภ้นั้นยากที่จะกลมเกลียว ซ่งชูอีก็ไม่มีเจตนาจะรู้รายละเอียดเรื่องในครอบครัวขององค์จวิน
“เว่ยหว่านคนนั้น…” อิ๋งสี่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่าครั้นเห็นสีหน้าเยือกเย็นของอิ๋งซื่อแล้ว ก็เหวี่ยงม้าแส้อย่างแรง “ช่างเถิด ข้าเอาไม่พิมเสนไปแลกกับเกลือดอก!”
ปกติแล้วอิ๋งสี่วางอำนาจบาตรใหญ่ในตระกูลทว่าเกรงกลัวอิ๋งซื่อเป็นอย่างยิ่ง อิ๋งซื่อพเนจรอยู่ข้างนอกหลายปี แม้ว่าทั้งสองคนจะเป็นพี่ชายน้องสาวจากมารดาท้องเดียวกัน แต่หากเปรียบเทียบกันแล้ว ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องก็มิได้ลึกซึ้งเท่าอิ๋งสี่กับชูหลี่จี๋เลย อิ๋งซื่อไม่ใช่คนคุยเล่นยิ้มแย้ม ไม่ว่าออดอ้อนอย่างไรก็ยังแข็งกร้าวไร้เหตุผล ไม่สะทกสะท้าน ทว่าเวลาส่วนใหญ่แล้วก็ยังปฏิบัติต่อนางด้วยความเอ็นดูเป็นอย่างมาก
อิ๋งซื่อกลับมายังไม่ทันสองปี สามารถกำราบอิ๋งสี่ให้ว่านอนสอนง่ายได้อย่างอัศจรรย์ นอกจากขี้หงุดหงิดเป็นบางครั้งแล้ว แม้แต่ปลายหางน้อยๆ ก็ไม่กล้าโผล่ออกมาให้เขาได้จับ
“ข้าเคยได้ยินมาว่าซ่งจื่อไปที่ลานประหารตามลำพังเพื่อช่วยคน อีกทั้งได้ยินว่า ตอนที่หารือกับถูอู้ลี่ในปาสู่ ดาบยาวชี้อยู่ที่หน้าผากสีหน้าก็ยังคงนิ่งเฉย ช่างน่าชื่นชมกว่าเหล่าจอมยุทธเสียอีก!” อิ๋งสี่เปลี่ยนหัวข้อ ไล่เรียงการกระทำของซ่งชูอีด้วยความสนอกสนใจ
“องค์หญิงชมเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย
การตอบสนองที่ไม่แยแสดังกล่าวไม่ได้ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นของอิ๋งสี่ลดลงเลย “ได้ยินว่าซ่งจื่อเป็นชาวเต๋า ข้าเป็นศิษย์ของสำนักม่อ เคยอ่านผลงานชิ้นเอกของลัทธิเต๋า แต่กลับไม่รู้ว่าชาวเต๋าจะเก่งกาจด้านทหารเพียงนี้ ลัทธิเต๋ามีหลักคำสอนเรื่องการสงครามด้วยหรือ?”
เมื่อก่อนไม่มี ทว่ายุทธพิชัยสงครามลัทธิเต๋าที่ซ่งชูอีกำลังเขียนอยู่นั้นจะออกมาในไม่ช้า แต่นางไม่ต้องการที่จะเอ่ยถึงมันจึงกล่าวว่า “ไม่มี ทว่าหยินและหยางของลัทธิเต๋าประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในโลก หากสัมผัสประสบการณ์อย่างถี่ถ้วนก็จะสามารถเข้าใจศิลปะแห่งสงคราม”
“เอ๋ ฟังดูแล้วลึกลับดีแท้” จากนั้นอิ๋งสี่ก็กล่าวว่า “ต่อไปข้าสามารถไปหาท่านบ่อยๆ ได้หรือไม่?”
ซ่งชูอียิ้มพร้อมโยนเรื่องนี้ให้อิ๋งซื่อ “หากฝ่าบาทไม่คัดค้าน กระหม่อมย่อมต้อนรับองค์หญิงอยู่แล้ว”
“ข้าก็ไปของข้า ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเสียหน่อย เขาจะสามารถคัดค้านอะไรได้” อิ๋งสี่กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่พอใจต่อหน้าอิ๋งซื่อ
อิ๋งซื่อกล่าวเรียบๆ “เจ้าจะเที่ยวเล่นอย่างไรก็เรื่องของเจ้า แต่อย่าใช้เวลาของขุนนางในต้าฉิน”
ซ่งชูอีจิ๊ปาก เมื่อครู่ที่พี่น้องคู่นี้เพิ่งจะเจอหน้าก็ยังกลมเกลียวกันอยู่เลย ยังไม่ทันสามประโยคก็เริ่มปะทะฝีปากกันแล้ว ความเร็วที่พาลโกรธเอาเสียดื้อๆ นั้นน่าทึ่งโดยแท้ ซ่งชูอีแอบกล่าวเสริมในใจ ไม่ต่างอะไรจากเจ้าอี่โหลวเลย
หลังจากขี่ม้าไปสักระยะ ม้าก็หยุดลงอีกครั้ง
มีกลิ่นหอมจางๆ ของต้นไม้และดอกไม้ในสายลม เสียงร้องของนกคมชัด หากตั้งใจฟังแล้วก็จะสามารถได้ยินเสียงน้ำไหลที่ซ่อนเร้นอยู่ในเสียงใบไม้ซู่ซ่านั้น…แม้ไม่ใช้สายตาก็สามารถสัมผัสได้ว่าที่แห่งนี้งดงามเพียงใด
ขณะที่ซ่งชูอีลงจากม้า อิ๋งซื่อก็ยื่นมือประคอง “สภาพแวดล้อมที่นี่เงียบสงบ เหมาะแก่การทำใจให้บริสุทธิ์และรักษาอาการป่วย อีกสองวันเจ้ากับเปี่ยนเชวี่ยก็ย้ายมาที่นี่เถิด”
“ที่นี่ยังมีน้ำพุร้อนอีกด้วย! หนึ่งเดียวในเสียนหยาง” อิ๋งสี่เอ่ย
“ข้าจะทำได้เยี่ยงไร? ข้ารักษาตัวในจวนก็ดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องย้ายสถานที่” ในใจของซ่งชูอีเข้าใจดี เนื่องจากหายากมากจึงไม่ใช่สถานที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“ก็เป็นเพียงที่ดินผืนหนึ่งเท่านั้น ท่านสามารถเพลิดเพลินกับมันได้” อิ๋งซื่อกล่าวอย่างไม่อนุญาตให้มีข้อสงสัย
ได้ยินดังนี้ ซ่งชูอีก็เข้าใจว่าอิ๋งซื่อต้องการชดเชยให้นางและกำลังขอบคุณนางเช่นกัน
หากนางไม่มีโรคทางสายตาก็จะต้องกลับมารับรางวัลหลังจากชัยชนะในปาสู่ ทว่าเนื่องจาก “ทฤษฎีโค่นรัฐ” อิ๋งซื่อไม่สามารถผลีผลามมอบตำแหน่งสำคัญให้นางได้ซึ่งน่าลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง หากทำได้ไม่ดีก็จะเกิดความเกลียดชังระหว่างองค์จวินและขุนนาง บัดนี้นางตัดสินใจละทิ้งตำแหน่งด้วยตัวเองก็เพราะเห็นแก่รัฐฉิน อิ๋งซื่อไม่เพียงยิ่งเทิดทูนนาง ในใจก็ซาบซึ้งมากเช่นกัน
“ความเมตตาของท่านนี้ อิ๋งซื่อจะจดจำไว้แล้ว” อิ๋งซื่อกล่าว
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ ที่จริงแล้วก้าวที่นางเดินได้ดีที่สุดในกระดานหมากทั้งหมดของนางก็คือการถอยเพื่อเดินหน้าครั้งสุดท้ายนี้
นำปาสู่และความจริงใจไปแลกหัวใจของจักรพรรดิ
ดูเหมือนไม่ได้ไม่เสีย ทว่าหากนับเรื่องที่นางปิดบังเพศสถานะเข้าไปด้วย จะได้หรือจะเสียก็ยากจะเอ่ย หากภายภาคหน้าถูกเปิดโปง นางก็ยังมีเบี้ยต่อรองเพื่อชัยชนะเพิ่มมากขึ้น
ครั้นเกิดมาไม่มีเจ้าโลกเหมือนคนอื่นก็ถูกกำหนดให้ลงแรงมากขึ้นจึงจะสามารถอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างสง่าผ่าเผย อย่างไรก็ตามตราบใดที่สิ่งที่ยิ่งใหญ่บรรลุผล ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไหร่นางก็จะไม่ปริปากบ่น
“กระหม่อมไร้ความสามารถ ไม่รู้ว่าสามารถช่วยเหลือต้าฉินได้มากน้อยเพียงใด ทว่านับตั้งแต่ที่เข้ารัฐฉินก็ตั้งใจว่าจะทำอย่างเต็มความสามารถจนกว่าชีวิตจะหาไม่” แต่ละถ้อยคำของซ่งชูอีนั้นมีชีวิตชีวาและทรงพลัง
อิ๋งซื่อหวั่นไหว กุมมือนางแน่น “คุณธรรมของท่าน! อิ๋งซื่อขอบคุณท่านแทนต้าฉิน!”