กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 24 เก็บน้ำตาเอาไว้
เถาติ้ง คำว่า “เถา” นี้หาใช่แซ่ของเขาไม่ หากเป็นเพียงการแสดงถึงอาชีพ ความหมายก็คือเถาเจี้ยง (นักปั้น) ที่ชื่อติ้ง แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาคือช่างปั้นคนหนึ่ง เถาติ้งเกิดในครอบครัวช่างปั้น บรรพบุรุษล้วนเป็นนักปั้นดินเผาผู้เชี่ยวชาญ ด้วยเหตุนี้เถาจึงกลายเป็นแซ่
ในสังคมที่กำลังการผลิตตกต่ำเช่นนี้ ช่างฝีมือกลับมีสถานะค่อนข้างสูง ช่างผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมต่างถูกแต่ละรัฐแย่งชิงกันว่าจ้าง โดยเฉพาะช่างที่สามารถตีเหล็กดาบได้
ซ่งชูอีจะรู้เรื่องของเถาติ้งเพียงน้อยนิด ได้ยินเพียงว่าเขาสนับสนุนลัทธิขงจื้อ นอกจากนี้ช่างฝีมือส่วนใหญ่เป็นคนเรียบง่าย ดังนั้นจึงสามารถคาดเดานิสัยโดยรวมของเขาได้
อันที่จริงซ่งชูอีสามารถทำตัวเป็นราชทูตผู้ภักดีต่อรัฐเว่ย์แล้วไปคารวะซ่งทีเฉิงจวินโดยตรง แต่ทีเฉิงจวินผู้มักมากในกามและอารมณ์ฉุนเฉียวง่ายดายนั้น แม้ซ่งชูอีมีสมองที่ปราดเปรื่องก็มิกล้ารบกวนค่ำคืนของเขา
เถาติ้งเป็นขุนนางชั้นสูงแห่งรัฐซ่ง เพียงแค่ถามไม่กี่คนระหว่างทาง ก็พบจวนของเขาได้อย่างง่ายดาย
ซ่งชูอีก้าวไปเคาะประตู ไม่นานก็มีชายแก่ผู้หนึ่งมาเปิดประตู เขาโผล่ศีรษะออกมาจากข้างใน มองสำรวจซ่งชูอีและคนอื่น เอ่ยถาม “ไม่ทราบว่าท่านทั้งสามมาเพลาพลบค่ำ มีเรื่องอันใดรึ?”
“ท่านผู้อาวุโส รบกวนแล้ว ที่แห่งนี้ใช่จวนของใต้เท้าเถาติ้งหรือไม่?” ซ่งชูอีถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่” ชายชราตอบ
ซ่งชูอีประสานมือคำนับ “ข้าน้อยคือราชทูตจากรัฐเว่ย์ ได้รับคำสั่งจากเว่ย์โหวให้มาปฏิบัติภารกิจทางการทูต มีเรื่องสำคัญต้องการจะบอกกล่าวใต้เท้าเถาก่อน ท่านอาวุโสได้โปรดเรียนให้ใต้เท้าทราบด้วย”
ชายชราได้ยินเช่นนี้ รีบเอ่ย “ท่านโปรดรอสักครู่”
พูดจบก็ปิดประตูอีกครั้ง
หลังจากเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ชายชราก็ออกมาเปิดประตูอีกรอบ “ท่านราชทูตเชิญ”
ทันทีที่ซ่งชูอีผ่านประตู ก็เห็นชายวัยกลางคนในชุดธรรมดารออยู่ที่ใต้บันได เขาเห็นทั้งสามคนเข้ามา เห็นได้ชัดว่าชายรูปร่างกำยำสองคนที่อยู่ข้างหลังต้องเป็นผู้อารักขาอย่างแน่นอน ไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก ได้แต่แสดงสีหน้าไม่เชื่อถือ มองซ่งชูอีพร้อมเอ่ย “ท่านก็คือราชทูตแห่งรัฐเว่ย์รึ?”
ชายวัยกลางคนรูปร่างผอมบางและเตี้ย ไม่ได้สูงกว่าซ่งชูอีสักเท่าไร ใบหน้าตั้งตรง มีเพียงแก้มที่ยุบตัวเล็กน้อย โหนกแก้มยื่นออกมา ใบหน้าค่อนข้างหยิ่งยโส เช่นเดียวกับน้ำเสียงของเขา
“ถูกต้อง” ซ่งชูอียิ้มเอ่ยจางๆ
ชายวัยกลางคนหัวเราะเย้ย “รัฐเว่ย์ไร้คนแล้วรึ? ถึงได้ส่งเด็กที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเข้ามา!”
ซ่งชูอีเดินลงบันไดหน้าประตู มองเขาพร้อมยิ้มกว้างเอ่ย “เป็นที่รู้กันดีว่ารัฐซ่งคือถิ่นกำเนิดของอัจฉริยะบุคคล ทั้งขอจื้อ มอจื่อ จวงจื่อ ฮุ่ยจื่อ นักปราชญ์ใต้หล้าส่วนใหญ่ล้วนมาจากซ่ง ยิ่งได้ทราบว่าใต้เท้าเถาเป็นศิษย์สำนักขงจื้อ
หวยจินยิ่งเลื่อมใสยิ่งนัก”
แม้สีหน้าของชายวัยกลางคนยังยิ่งเฉย แต่เห็นได้ชัดว่ามีความภาคภูมิใจปรากฏอยู่ในแววตา
“แต่ว่า วันนี้ได้มาพบท่านผู้นี้ ทันใดนั้นเองหวยจินก็เข้าใจ…” ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเยือกเย็นลง “ว่าเหตุใดรัฐซ่งผลิตนักปราชญ์มากมายเพียงนี้แต่ก็ยังล่มสลายจากห้าอาณาจักรแห่งชุนชิว”
นี่เป็นคำพูดที่หนักหนาเกินไปแล้ว เพียงเพราะคำสบประมาทของชายวัยกลางคน ทำให้เกิดข้อกังขาในความสามารถอันมีคุณธรรมของเขา รวมถึงความสามารถอันมีคุณธรรมของรัฐซ่งทั้งหมด
ชายวัยกลางคนได้ยินแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนทันใด ต้องการจะโจมตี แต่ซ่งชูอีก็ลากเถาติ้งเข้ามาด้วย ถ้าหากเขาโจมตี ซ่งชูอีไม่รับประกันว่าจะสงสัยในคุณธรรมของเถาติ้งอีกหรือไม่ เขาในฐานะลูกศิษย์ คงไม่กล้าดูถูกชื่อเสียงของครูโดยง่าย จึงทำได้เพียงอดกลั้นและโค้งคารวะต่ำให้ซ่งชูอี “อู๋ฉือตัดสินคนจากภายนอก ดูถูกท่านราชทูต ยังฝึกตนไม่เพียงพอโดยแท้ ได้โปรดให้อภัย”
ท่าทีของซ่งชูอีเปลี่ยนไปฉับพลัน ยื่นมือประคองเขา เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ท่านกล่าวเกินไปแล้ว หวยจินรู้ว่าที่ท่านกล่าวเช่นนี้ เพราะเห็นว่าข้ายังเยาว์ คลางแคลงใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงคิดจะทดสอบ หวยจินก็เป็นชาวซ่ง จะดูถูกรัฐเกิดเมืองนอนง่ายๆ ได้เยี่ยงไร? ท่านรีบลุกขึ้นเถิด”
ชายวัยกลางคนหน้าแดง ไอแห้งทีหนึ่ง แต่ก็ยังยอมรับคำพูดของซ่งชูอีแล้ว วิธีแก้สถานการณ์อันน่าอับอายของนางนี้ยากเกินกว่าที่จะปฏิเสธจริงๆ
“ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อแซ่ว่าเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีถามอย่างเกรงใจ
ท่าทีของอู๋ฉือดีขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก “ข้าน้อยชื่อว่าอู๋ฉือ ชื่อรองจื่อซุ่น”
ฉือ และ ซุ่น ต่างมีความหมายว่า “การรอคอย”
ซ่งชูอีกล่าวแนะนำตน “ข้าน้อยชื่อซ่งหวยจิน คารวะท่านจื่อซุ่น ขอท่านอย่าได้ถือสาคำพูดเสียมารยาทของ
หวยจินเมื่อครู่”
อู๋ฉือตัดสินคนที่เปลือกนอก เขาดูแคลนผู้อื่นก่อน ซ่งชูอีไม่เพียงแค่ช่วยให้พ้นจากสถานการณ์น่าอึดอัดเท่านั้น แต่ยังมีมารยาทถึงเพียงนี้ เขาเองก็เป็นผู้สนับสนุนความเมตตาและความยุติธรรมของขงจื้อ ในใจย่อมละอายเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้จึงปฏิบัติต่อซ่งชูอีด้วยความสนิทสนมมากกว่าเดิม
จี้ฮ่วนกับอวิ่นรั่วที่ตามหลังซ่งชูอีเห็นดังนี้แล้ว ความมั่นใจที่มีต่อนางก็คืนกลับมาเล็กน้อย
อู๋ฉือพาซ่งชูอีและผู้ติดตามมาถึงห้องโถง เอ่ยขึ้น “ท่านราชทูตรอสักครู่ อาจารย์กำลังมาถึง”
ซ่งชูอีประสานมือคารวะ เอ่ย “รบกวนท่านจื่อซุ่นแล้ว”
“หามิได้” อู๋ฉือมองสำรวจซ่งชูอีกครา บัดนี้ในใจของเขาก็ประเมินซ่งชูอีอีกครั้งเช่นกัน ตั้งแต่ที่ก้าวเข้าประตูมา การแสดงออกของเขามั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ไร้ซึ่งความกระวนกระวายใจของเด็กหนุ่ม ครั้นครุ่นคิดดูแล้ว แม้เว่ย์โหวจะหดหัวอยู่ในกระดองตลอดเวลา แต่ก็นับว่าสมองยังไม่เลอะเลือน ทหารสามหมื่นนายถูกกักตัวอยู่ในรัฐซ่ง เขาจะต้องระมัดระวังตัวเป็นแน่
อู๋ฉือถอยออกไป ซ่งชูอีเจอที่นั่ง ก็คุกเข่าพักผ่อน นางขี่ม้าทั้งวัน ทั้งตัวแทบจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
จี้ฮ่วนถือดาบยืนอยู่ด้านหลังซ่งชูอี เหลือบตาขึ้นเห็นนางรวบแขนเสื้อนั่งคุกเข่าตัวตรง หลับตาพักผ่อน ลักษณะไม่แตกต่างจากบัณฑิตท่านอื่นๆ มองไม่ออกโดยสิ้นเชิงว่าเป็นสตรีเพศ พลันนึกได้ว่า ตั้งแต่ที่เข้ามาในจวนของเถาติ้ง บรรยากาศในตัวนางเปลี่ยนไปราวกับคนละคน เปรียบดังดาบที่สงบนิ่งแต่ซ่อนเร้นความแหลมคม ชวนให้เขารู้สึกได้ถึงความกล้าหาญประหนึ่งบุกหน้าผ่าลำไผ่
ที่จริงในชาติก่อน บุคลิกของซ่งชูอีผ่อนคลายกว่านี้ ไม่ว่าคุยเรื่องราชการหรือเรื่องส่วนตัวก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก แต่บัดนี้อายุของนางทำให้นางดูไร้เดียงสาอย่างเด่นชัด หากยังคงปฏิบัติตัวเหลาะแหละเช่นก่อน ยิ่งจะทำให้ผู้คนไม่เชื่อมั่น และเกรงว่าอู๋ฉือคงจะสั่งให้คนโยนนางออกไปทันทีแล้ว
กระแอมไอเสียงเบา เถาติ้งที่ศีรษะขาวโพลนเดินเข้ามา เขาสวมชุดผ้าป่านสีเทาอ่อน ผมขาวถูกมัดหลวมๆ อยู่บนศีรษะ ร่างกายยังคงกำยำแข็งแรง ดูเหมือนมีพละกำลังมากกว่าขุนนางทั่วไป อาจเป็นเพราะอยู่ในจวนของตัวเองอีกทั้งยังเป็นยามวิกาล เถ้าติ้งจึงไม่ได้สวมชุดขุนนางชั้นสูง เช่นนี้ทำให้ใบหน้าที่ค่อนข้างดุดันของเขาอ่อนโยนลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อซ่งชูอีได้ยินเสียง ก็รีบลุกขึ้นต้อนรับ
“คำนับใต้เท้า” ซ่งชูอีโน้มตัวคารวะ
แม้จะได้ยินจากอู๋ฉือแล้วว่าซ่งชูอียังเยาว์ เมื่อได้เห็นนางกลับยังประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่เพียงชั่วครู่ก็กลับมาเป็นปกติ ยกมือขึ้นเอ่ย “ท่านราชทูตไม่ต้องมากพิธี”
ซ่งชูอีเงยหน้า มองดูเถาติ้งนั่งคุกเข่าอยู่บนที่นั่งหลัก อู๋ฉือนั่งคุกเข่าอยู่ข้างหลัง เถาติ้งลำตัวตั้งตรง แม้ว่าอู่ฉืออายุน้อยกว่า แต่เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองคนแล้ว อู๋ฉือกลับดูหยาบกระด้างกว่า
“ท่านราชทูตเชิญนั่ง” เถาติ้งกล่าว
ซ่งชูอีกล่าวขอบคุณ นั่งคุกเข่าลง
สาวใช้ยกน้ำชาเข้ามา เถาติ้งยกน้ำชาขึ้นมาจิบ ก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่ทราบว่าท่านราชทูตมาด้วยเรื่องอันใด?”
แสร้งถามทั้งที่รู้คำตอบ!
ซ่งชูอีตอบ “ข้าน้อยมาครั้งนี้ด้วยเรื่องของสงครามระหว่างรัฐซ่งและรัฐเว่ย์”
“เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ท่านกลับไปกราบทูลเว่ย์โหว เรื่องนี้รัฐซ่งของข้าไม่รามืออย่างเด็ดขาด” เถาติ้ง
กล่าวเรียบๆ
ซ่งชูอีก็ไม่เร่งรีบ ยิ้มน้อยๆ “ขอไม่กล่าวถึงตัวตนของราชทูต ข้าน้อยก็เป็นคนรัฐซ่งเช่นกัน ได้โปรดให้อภัยที่ต้องพูดตามตรง หากรัฐซ่งไม่รามือแล้วจะทำอันใดได้รึ? หรือว่าจะขอหยิบยืมกำลังของรัฐเว่ยเพื่อเข้าสู่สงคราม? ข้าเชื่อว่ารัฐเว่ยต้องเต็มใจช่วยเหลือแน่ แต่การสู้รบคราวนี้จะกลืนกินกำลังของรัฐซ่งอย่างมาก สันนิษฐานว่าเว่ยอ๋องจักต้องมีความสุขมากที่ได้เห็นความสำเร็จ แต่ว่าถึงตอนนั้นรัฐซ่งก็อาจตกอยู่ในอันตราย!”
อาณาเขตของรัฐเว่ย์ทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยรัฐเว่ย เป็นรัฐที่อยู่ภายในรัฐอีกทีหนึ่ง หากคิดโจมตี ไม่ว่ามาจากทิศทางใดก็จำเป็นต้องผ่านดินแดนของรัฐเว่ย
เมื่อซ่งชูอีพูดจบ ก็จิบชาด้วยความสงบนิ่ง
จางอี๋บอกว่าต้องคร่ำครวญ แน่นอนว่าต้องคร่ำครวญแต่ไม่ใช่ต่อเถาติ้ง ซ่งชูอีต้องเก็บน้ำตาไปร่ำไห้ต่อหน้าพระพักตร์ของซ่งทีเฉิงจวิน
……………………………………