กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 241 เหมือนสหายเก่า
เจินอวี๋ใช้รถม้าขนาดเล็กที่มีผนังเพียงสามด้าน ด้านหน้าปกคลุมด้วยม่านไม้ไผ่บางๆ มันเป็นรถที่หญิงสูงศักดิ์ทั่วไปใช้ออกไปเที่ยวข้างนอก ซ่งชูอีกลัวว่าไป๋เริ่นจะเดินกร่างตามท้องถนนแล้วถูกคนอื่นมองว่าเป็นสัตว์ร้าย หรือไม่ก็ไม่ตั้งใจไปทำร้ายใครเข้า จึงนั่งอยู่บนหลังของมันเพื่อให้คนอื่นรู้ว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงมิใช่สัตว์ป่า
ซ่งชูอีตั้งใจเลือกถนนที่เงียบสงบเป็นพิเศษ หลังจากที่ทำให้คนเดินเท้าตกใจจนสลบไปสองสามคนก็มาถึงโรงสุราแห่งหนึ่งและถามหาห้องส่วนตัวติดถนน
ผู้คนมากหน้าหลายตาในห้องโถงต่างมองไป๋เริ่นจนตะลึงงัน ลูกค้าขาประจำในโรงสุราเหล่านี้นับว่าเห็นโลกมามาก พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเคยเห็นหมาป่ามาก่อน ทว่ารูปร่างของไป๋เริ่นนั้นเกือบจะเท่าม้าดีๆ ตัวหนึ่ง ตัวขาวดุจหิมะ เวลาที่ไม่ได้เผยความดุร้ายก็ดูอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง แตกต่างจากหมาป่าดุร้ายตามปกติโดยสิ้นเชิง
แทบทุกคนภายในห้องโถงหลักต่างจ้องมองไป๋เริ่น อย่างไรก็ดีกลับมีบัณฑิตหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาท่านหนึ่งจ้องหน้าซ่งชูอีอย่างเอาเป็นเอาจายตั้งแต่ที่นางเข้าประตูมา ความตกใจในดวงตานั้นเกินคำบรรยาย
“พี่หวยอี้?” เด็กหนุ่มที่ร่วมโต๊ะเดียวกันยื่นมือโบกๆ ตรงหน้าเขา “มองจนบ๊องไปแล้ว!”
พูดจบก็เงยหน้าดื่มสุรารวดเดียวจนหมด ถอนหายใจเอ่ย “นครเสียนหยางนี้ใหญ่เกินไปแล้ว มีเรื่องมหัศจรรย์เต็มไปหมด ข้าโตจนป่านนี้ยังเพิ่งเคยเห็นสัตว์ป่าที่เชื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก จุ๊ ช่างน่าเกรงขามจริงๆ”
ซือหม่าหวยอี้มองหน้าเขา “พี่เต๋อเฉิงอยู่ในเสียนหยางมานาน รู้หรือไม่ว่าผู้ที่เลี้ยงสัตว์ป่าตัวนั้นคือใคร?”
หลี่ว์เต๋อเฉิงเอ่ย “เรื่องนี้น่ะ…ข้าเคยได้ยินเพียงว่าแขกที่ปรึกษาจางอี๋เลี้ยงสัตว์ป่าตัวหนึ่ง แต่ว่าเขาเป็นกุนซือของกองทัพสองหมื่นนายในรัฐปาสู่ ตอนนี้เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในเสียนหยาง ทำไมล่ะ อยากรู้จักรึ?”
“กล่าวตามตรง ข้าเห็นว่าหน้าตาของเขา…เหมือนสหายเก่าจริงๆ” สมองของซือหม่าหวยอี้สับสน
หลี่ว์เต๋อเฉิงเหลือบมองเสื้อของเขาที่ถูกซักจนขาวสะอาด “แม้ว่าบุคคลนี้แต่งตัวเรียบง่าย แต่ก็มีคนรับใช้มากมายอยู่รอบตัว อีกทั้งดูเหมือนเขาเป็นนาย และเจียวเจียวท่านนั้นก็ดูสูงศักดิ์ยิ่งกว่า หากเป็นสหายเก่า ไม่แน่ว่าอาจช่วยเจ้าได้! เช่นนั้นก็เข้าไปแวะคารวะดีหรือไม่?”
“รอก่อนเถิด ข้า…” ซือหม่าหวยอี้เอ่ยอย่างลังเล “แต่ข้าไม่แน่ใจ รีบเข้าไปทำความรู้จัก เกรงว่าจะเสียมารยาทเกินไปแล้ว”
“เขาหน้าตาเหมือนสหายเก่าของเจ้าก็นับว่ามีวาสนา ถ้าหากไม่ใช่ บางทีก็อาจทำความรู้จักกันก็ได้?” หลี่ว์เต๋อเฉิงเอ่ยโน้มน้าว
ซือหม่าหวยอี้ก้มหน้า ตอนนี้เขากำลังตื่นตระหนกราวกับสุนัขที่พลัดหลงกับเจ้าของ มีเพื่อนเพิ่มขึ้น มีทางเดินให้เลือกมากขึ้น หากเป็นเพียงสหายเก่าธรรมดา เขาก็คงไม่ลังเลเพียงนี้
“พี่หวยอี้กำลังคิดอะไรรึ?” หลี่ว์เต๋อเฉิงถามอย่างงุนงง สุดท้ายแล้วพวกเราก็เป็นบัณฑิต การที่เข้าไปแวะคารวะนั้นนับเป็นความอ่อนน้อมถ่อมตน ต่อให้ผู้อื่นไม่ต้องการทำความรู้จักก็ไม่นับว่าเป็นการเสียมารยาท
ซือหม่าหวยอี้กล่าว “กล่าวตามตรง หน้าตาของบุคคลนี้ละม้ายคู่หมั้นของข้า แต่เมื่อยังเด็กครอบครัวของข้ากับนางเป็นเพื่อนบ้านกัน นับได้ว่าเป็นคู่รักตั้งแต่เยาว์วัย ข้ารู้ว่านางไม่มีพี่น้อง เป็นลูกสาวคนเดียว หากบัดนี้นางยังมีชีวิตอยู่ ก็รุ่นราวคราวเดียวกันกับบัณฑิตผู้นั้น ดังนั้นมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญกระมัง”
“พี่คิดมากเกินไปแล้ว ต่อให้ไม่ใช่แล้วอย่างไรรึ? ข้าจะช่วยไปถามให้พี่!” หลี่ว์เต๋อเฉิงกล่าวแล้วก็วางกาสุราลง ลุกขึ้นเดินขึ้นชั้นบนไป
สิ่งที่เรียกว่าห้องส่วนตัว ก็มีผนังสามด้านเช่นกัน ด้านที่หันไปทางเดินปิดด้วยม่านไม้ไผ่หรือผ้าโปร่งบาง
หลี่ว์เต๋อเฉิงเดินไปตามทางที่เสี่ยวเอ้อชี้ไป จึงสามารถหาห้องส่วนตัวของซ่งชูอีได้อย่างง่ายดาย ยืนประสานมือเอ่ยอยู่ด้านนอก “บัณฑิตแห่งเสียนหยางหลี่ว์เต๋อเฉิงมีเรื่องต้องการพบขอรับ”
เจินอวี๋ไม่ดื่มสุรา ซ่งชูอีกำลังกินดื่มอย่างเอร็ดอร่อย ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง หันหน้าไปก็เห็นคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอกเลือนลาง นิ่งไปครู่หนึ่ง “ท่านหลี่ว์เชิญเข้ามาคุย”
ม่านไม้ไผ่ถูกเลิกขึ้น หลี่ว์เต๋อเฉิงประสานมือเอ่ยขอโทษ “ขัดจังหวะกะทันหัน ได้โปรดยกโทษด้วย”
ซ่งชูอีหมุนตัวมา หรี่ตามองเห็นบัณฑิตท่านหนึ่งในเสื้อคลุมแขนกว้างสีเทา อายุประมาณยี่สิบหกปี ความสูงปานกลาง หน้าคล้ำเล็กน้อยทว่าผิวพรรณละเอียดยิ่ง หนวดเคราถูกเล็มไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ดูไม่สูงและหยาบกระด้างเหมือนชาวฉินทั่วไป ทว่ากลับค่อนข้างพิถีพิถันดังชายชาวฉู่หรือชาวเยวี่ย
ซ่งชูอีเห็นว่าหลี่ว์เต๋อเฉิงใบหน้าสงบนิ่ง แววตาก็ไร้ประกาย จึงเริ่มกล่าวก่อน “ไม่เป็นไร ท่านหลี่ว์มีเรื่องใดชี้แนะหรือ?”
สถานการณ์เช่นนี้พบได้บ่อยครั้งในโรงสุรา แต่โดยทั่วไปแล้วการพูดคุยกันในห้องโถงจะสะดวกสบายมากกว่า คนที่เข้าห้องส่วนตัวก็แสดงว่าไม่ต้องการให้ถูกรบกวนมากนัก ดังนั้นก่อนอื่นคนที่แวะเข้ามาจะต้องมีท่าทีอ่อนน้อมยิ่งกว่าเดิม
หลี่ว์เต๋อเฉิงกล่าวว่า “ข้าน้อยร่ำเรียนมาน้อย มิกล้าชี้แนะ ข้าน้อยเข้ามาขอคำชี้แนะบางอย่างจากท่านแทนสหายของข้า”
พูดจบหลี่ว์เต๋อเฉิงก็เงยหน้าสำรวจซ่งชูอี เพียงแวบเดียว ความสนใจส่วนใหญ่ก็มุ่งไปที่ไป๋เริ่น อีกทั้งมิเห็นว่าอีกฝ่ายอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ อย่างไรก็ดีแม้อายุน้อย ทว่าบุคลิกสงบนิ่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังดูคุ้นตาเล็กน้อย…
ภายในห้องมีเพียงโต๊ะยาวเพียงตัวเดียว ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน พาไป๋เริ่นไปนั่งลงข้างๆ เจินอวี๋ ผายมือเอ่ยกับหลี่ว์เต๋อเฉิง “เชิญนั่ง”
หลี่ว์เต๋อเฉิงนั่งคุกเข่าลงบนเบาะแล้วก็กล่าวตรงไปตรงมาโดยไม่อ้อมค้อม “สหายของข้าเห็นท่านแล้วรู้สึกว่าหน้าตาท่านละม้ายสหายเก่า กลัวว่าจะกะทันหันเกินไป ลังเลไม่กล้าเข้ามาถาม ข้าน้อยจึงคิดที่จะมาถามแทนเขา ไม่ทราบว่าท่านสามารถเปิดเผยชื่อแซ่และสถานะได้หรือไม่?”
ซ่งชูอีหัวใจเต้นแรง ทว่ากลับไม่แสดงอาการใดๆ บนใบหน้า “สกุลซ่ง แซ่จื่อ”
นางก็อยากรู้เช่นกันว่าร่างกายนี้ยังมี “สหายเก่า” มากเพียงใด เพื่อให้นางสามารถวางแผนรับมือได้
หลี่ว์เต๋อเฉิงเอ่ยด้วยความยินดี “บรรพบุรุษของท่านซ่งเป็นชาวซ่งจากนครเจียวเฉิงหรือ?”
ซ่งชูอีส่งสัญญาณให้หนิงยายกสุราให้เขา ตัวเองก็ยกจอกสุราทำความเคารพหลี่ว์เต๋อเฉิง จากนั้นก็เอ่ยว่า “ท่านหลี่ว์กล่าวมาเถิดว่าต้องการตามหาผู้ใด ภูมิหลังใด หากเป็นสหายเก่า เหตุใดไม่เชิญเขามาย้อนอดีตด้วยกันเล่า?”
“จะว่าไปก็ถูก” หลี่ว์เต๋อเฉิงกล่าวคำพูดเมื่อครู่ของซือหม่าหวยอี้อีกรอบ แล้วถามขึ้นอีกครั้ง “ครอบครัวท่านมีพี่สาวหรือน้องสาวหรือไม่?”
ซ่งชูอีหลุบตาลง ครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็ว สหายเก่านี้จะรู้จัก? หรือจะไม่รู้จักดีนะ?
เพียงชั่วขณะที่หลุบตาลง ซ่งชูอีก็มีแผนการในใจแล้ว บัดนี้นางมีสำนักก็ไม่ต้องการสถานะ แม้ว่าจวงจื่อมิได้พูดเองกับปากว่านางเป็นศิษย์ของเขา ทว่าพฤติกรรมเช่นนั้นก็ทำให้ทุกคนในโลกรับรู้ข้อเท็จจริงนี้
“ข้าโตมาในสำนักตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากอาจารย์กับศิษย์พี่น้องแล้ว ก็ไม่มีครอบครัวที่ไหน” ซ่งชูอีกล่าว
หลี่ว์เต๋อเฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทว่าทันใดนั้นก็ต้องการทำความรู้จักกับซ่งชูอี จึงเอ่ยขึ้น “ข้าน้อยไม่มีพรสวรรค์ เป็นแขกที่ปรึกษาในจวนของซ่างต้าฟูชูหลี่จี๋ บรรพบุรุษเป็นชาวกุ้ยจีรัฐเยวี่ย มาที่รัฐฉินได้เจ็ดปี บัดนี้ได้ย้ายทะเบียบบ้านมายังรัฐฉินแล้ว ท่านซ่งอยู่ที่ฉินมานานเท่าใดแล้ว?”
“ชูหลี่จี๋?” ซ่งชูอีชื่นชมนิสัยซื่อตรงของหลี่ว์เต๋อเฉิง อีกทั้งเขายังเป็นชาวฉินและยังเป็นแขกที่ปรึกษาของชูหลี่จี๋อีกด้วย ไม่ช้าก็เร็วมันจะถูกเปิดเผย สู้ทำความคุ้นเคยจะดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น นางยังต้องระวังการเคลื่อนไหวของ “สหายเก่า” ในอนาคตอีกด้วย ครั้นคิดเช่นนี้นางก็ไม่ปิดบังอีก ยืดตัวตรงประสานมือเอ่ย “ข้าน้อยซ่งหวยจิน เข้ารัฐฉินมาได้สองปีแล้ว”
“ซ่งหวยจิน?!” หลี่ว์เต๋อเฉิงมองนางด้วยความตะลึงงัน ทันใดนั้นก็นึกขึ้นว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่านางคุ้นตา! วันนั้นเขาก็สังเกตการณ์อยู่นอกศาลาชิงเฟิง ทว่าบัดนั้นเพียงมองเห็นจากที่ไกลๆ ใบหน้าของซ่งชูอีมีแถบผ้าสีดำปกคลุม อีกทั้งยังเป็นเรื่องเมื่อสามเดือนที่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงจำนางไม่ได้
“ข้าน้อยวู่วามเกินไปแล้วจริงๆ! มิได้ตั้งใจจะรุกรานซ่งจื่อ ได้โปรดให้อภัยด้วย!” ความประหลาดใจของหลี่ว์เต๋อเฉิงทำให้ความอึดอัดเจือจางลง เดิมทีต้องการเอ่ยให้ซือหม่าหวยอี้มาเป็นเจ้าภาพ ดื่มกินให้สำราญ ทันทีที่กำลังจะเอ่ยปากก็เห็นเจินอวี๋ที่มัดผมเปียนั่งอยู่ข้างๆ ดูไม่เหมือนนางบำเรอ จึงมิได้เอ่ยปากผลีผลาม
“หามิได้ หามิได้ เดิมทีต้องการจะดื่มกับท่านหลี่ว์ ทว่าวันนี้ข้าออกมาเที่ยวกับน้องสาวบุญธรรม วันหน้าค่อยเชิญท่านหลี่ว์ดีหรือไม่?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย