กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 242 ของขวัญของซ่งชูอี
“เช่นนั้นข้าน้อยก็ไม่รบกวนแล้ว” หลี่ว์เต๋อเฉิงลุกขึ้นยืน
“หวังว่าจะได้พบกันอีก” ซ่งชูอีลุกขึ้นส่ง
มองหลี่ว์เต๋อเฉิงออกไป ซ่งชูอียกจอกสุราขึ้น หลุบตาลงจ้องมองสุราที่พริ้วไหวเล็กน้อย แววตาเย็นเยียบ
“หนิงยา เจ้าไปเชิญกู่จิง ให้เขาหาเวลามาพบข้า ข้ามีเรื่องจะถามเขา” ซ่งชูอีเอ่ย
“เจ้าค่ะ” หนิงยาตอบรับ หมุนตัวออกไปจากห้อง
ระยะหลังนี้ ซ่งชูอียุ่งอยู่กับการโจมตีปาสู่ตลอดเวลา ครั้นกลับถึงเสียนหยางก็รักษาโรคตาอยู่เสมอ วันนี้เพิ่งรู้สึกว่าคนที่อยู่ในมือที่สามารถใช้งานได้นั้นมีมาก ทว่าคนที่สนิทใจนั้นน้อยจนนับนิ้วได้
นับตั้งแต่วันที่หมิ่นฉือหักหลัง ซ่งชูอีก็ยิ่งระแวดระวังผู้คนมากยิ่งขึ้น ความสงสัยในธรรมชาติของมนุษย์ดูเหมือนจะมาถึงจุดที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว แม้แต่เจียนและหนิงยาที่ถ่อมตัวมาตลอดก็ไม่สามารถวางใจได้ได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้นางจึงผูกมัดพวกเขาด้วยการมอบสกุลให้
อย่างไรก็ดี คนสนิทเพียงสองคนนั้นไม่เพียงพอ ซ่งชูอียังต้องการคนที่จงรักภักดีต่อนางมากกว่านี้ ดังนั้นนางจำเป็นต้องเอาชนะต้นตอของ “การทรยศ” ของนาง
“ทุกท่าน!” ชั้นล่างมีคนกล่าวเสียงดัง
เสียงเซ็งแซ่ค่อยๆ สงบลง ทุกคนล้วนมองไปบนเวที บัณฑิตหนุ่มวัยยี่สิบกว่าในชุดคลุมธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่บนเวที ใบหน้าคล้ำ จมูกโด่งริมฝีปากบาง ไว้หนวดสั้นๆ ที่ใต้จมูก แก้มที่ตอบทำให้โหนกแก้มดูสูงอย่างเห็นได้ชัด สีของชุดคลุมนั้นเก่าโทรม หลายแห่งของแขนเสื้อและปกคอก็ล้วนเสียหายเช่นกัน ทว่าผมเผ้าเรียบร้อย ดูท่าทางเปิดเผย
“ข้าน้อยบัณฑิตแห่งรัฐเว่ยสวีจ่างหนิง วันนี้มาที่นี่ เพราะต้องการหารือฉินเกี่ยวกับหายนะในปาสู่!” สวีจ่างหนิงกล่าวเสียงดัง
ทันทีที่สิ้นวาจานี้ ทั้งโรงสุราก็เกิดความโกลาหล
“ท่านสวีลองว่ามา!” มีคนตอบทันที
สวีจ่างหนิงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ข้าน้อยเคยใกล้ชิดปาสู่ รู้เป็นอย่างดีว่าราษฎรปาสู่นั้นป่าเถื่อนและแปลกแยก หากต้องการให้พวกเขายอมจำนน จำต้องใช้กองกำลัง ทว่ากองกำลังของรัฐฉินมีจำนวนจำกัด หากมีกองทหารหลักประจำอยู่ในปาสู่ แล้วฉินจะสามารถต้านทานเว่ย เจ้า หาน ฉู่ และรัฐอื่นๆ ได้หรือ? หากรัฐอื่นๆ ฉวยโอกาสนี้โจมตี ฉินก็ไม่ได้มีอะไรไปมากกว่าดินแดนที่ขัดแย้งกับฉู่ ส่วนกองกำลังนั้นก็สู้รัฐหานไม่ได้ด้วยซ้ำ! ด้วยเหตุนี้ ข้าน้อยจึงกล่าวว่าการที่รัฐฉินครอบครองปาสู่ เป็นหายนะอย่างแท้จริง!”
เหตุผลนี้ใช้ว่ามีเพียงสวีจ่างหนิงที่เข้าใจ เพียงแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาในที่สาธารณะเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขากล่าวอย่างกระชับและชัดเจน มีเหตุผลมีหลักฐาน โน้วน้าวให้คนเชื่อได้ง่ายมาก
ในห้องส่วนตัว เจินอวี๋แอบมองปฏิริยาของซ่งชูอี ครั้นเห็นว่านางทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินโดยสิ้นเชิง อดที่จะถามขึ้นมิได้ “ท่านเห็นด้วยกับคำพูดนี้ของเขาหรือไม่?”
หลายวันนี้แม้เจินอวี๋อยู่ในลานหลังบ้านไม่ออกนอกประตูใหญ่ไม่ก้าวข้ามประตูเล็ก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่รู้เรื่องอะไรเลย บวกกับก่อนหน้านี้ก็เคยได้ยินข่าวจากเจินจวิ้น นางจึงพอเข้าใจว่าเรื่องการโจมตีปาสู่นี้มีความเกี่ยวข้องกับซ่งชูอีอย่างใหญ่หลวง
“กินข้าวทว่าถูกทำให้สำลัก เจ้ายังกินได้หรือ?” ซ่งชูอีกล่าว ทว่าสายตากลับมองทะลุหน้าต่างไปยังถนนใหญ่ จับจ้องอยู่ที่หลี่ว์เต๋อเฉิงกับเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่ง
มองจากที่ไกลๆ ชายหนุ่มคนนั้นสูงกว่าหลี่ว์เต๋อเฉิงกว่าครึ่งศีรษะ รูปร่างสมส่วน ซ่งชูอีเห็นเพียงใบหน้าด้านข้าง สามารถเห็นเพียงรูปลักษณ์เลือนลางทว่าดูเหมือนหน้าตาไม่เลว
คิดว่าเขาก็คือ “สหายเก่า” นั่นเอง
“ฉินสงบความวุ่นวายในปาสู่นั้นไม่ผิด ทว่าหากมีคนคิดที่จะยึดครองปาสู่ ก็นับว่าไม่มองดูสภาพความเป็นจริงเลย!” สวีจ่างหนิงกล่าวด้วยความมีชีวิตชีวาและทรงพลัง
“เดิมทีรัฐฉินต้องการจะสงบความวุ่นวายในปาสู่! เคยกล่าวว่าต้องการยึดครองปาสู่ด้วยรึ?” มีคนกล่าวอย่างไม่พอใจ
สวีจ่างหนิงหัวเราะเสียงดัง “ท่านอย่าได้กล่าวเหลวไหลไปเลย รัฐต่างๆ แก่งแย่งชิงดีกัน มีใครบ้างที่ไม่อยากแก่งแย่งดินแดนและประชาชน? การสงบความวุ่นวายก็เป็นเพียงวาจาที่น่าฟังเท่านั้น! ข้าน้อยต้องการหารือเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันด้วยใจจริง เหตุใดจะต้องสวมการเสแสร้งเช่นนั้นด้วย?!”
หลี่ว์เต๋อเฉิงและสหายที่อยู่ข้างนอกเดินออกไปไกลแล้ว ซ่งชูอีละสายตากลับมา ก็ได้ยินประโยคนี้เข้าพอดี อดที่จะยิ้มไม่ได้
“ท่านยิ้มอะไร? ท่านสวีท่านนี้กล่าวไม่ถูกต้องเหรอ?” เจินอวี๋รู้สึกว่ามันเฉียบคมและสมเหตุสมผลมาก
“เปล่าเลย” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ถูกหรือผิดย่อมได้รับการพิจารณา ข้าเพียงหัวเราะให้ความน่ารักที่จริงใจของท่านสวีผู้นี้”
สาเหตุที่คนเข้าใจมีน้อย ไม่ใช่เพราะว่าเลอะเลือนจริงๆ ทว่าเป็นเพราะคนส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจทว่าแสร้งทำเป็นเลอะเลือน
“ข้าไม่เข้าใจ” เจินอวี๋ขมวดคิ้ว
“ความจริงมากมายล้วนเหมือนโศกนาฏกรรม เข้าใจก็มีข้อดีของการเข้าใจ ไม่เข้าใจก็มีข้อดีของการไม่เข้าใจ” ซ่งชูอีเอ่ย ถ้าหากไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งจริงๆ สู้เลอะเลือนเสียดีกว่า
“เยี่ยม!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นที่ชั้นล่าง คาดว่าสวีจ่างหนิงคงกล่าวสุนทรพจน์ทางวิชาการบางอย่างที่น่าเปิดหูเปิดตา
ซ่งชูอีกวักมือเรียกเจินอวี๋ กระซิบข้างหูนางสองสามคำ
“นี่มัน…” เจินอวี๋มองนางอย่างตื่นตระหนก
ซ่งชูอีพยักหน้ากระตุ้น “โอกาสมาเพียงแวบเดียว หรือว่าเจ้าอ่านหนังสือเพียงเพื่อความบันเทิงของสาวผู้สูงศักดิ์เท่านั้นหรือ?”
วาจาเถรตรงเช่นนี้ทำให้เจินอวี๋หน้าแดง ไม่ใคร่พอใจ ลุกขึ้นพาสาวใช้เดินออกไปข้างนอก
ซ่งชูอีหัวเราะหึหึ เด็กสาวตัวน้อยรับมือกับการยั่วยุไม่ได้จริงๆ
“คุณชายท่านนี้ได้โปรดช้าก่อน ข้ามีเรื่องต้องการขอคำแนะนำจากท่าน” เสียงเย็นชาของเจินอวี๋ดังขึ้นจากด้านนอก
สวีจ่างหนิงกำลังเดินลงบันไดท่ามกลางเสียงโห่ร้องของผู้ชมเงยหน้าขึ้นไปชั้นสองตามที่มาของเสียง ผู้คนจำนวนมากในห้องโถงก็เงยหน้าขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
สายตาของเจินอวี๋และสวีจ่างหนิงสบประสานกัน นางเบือนหน้าหนีเล็กน้อยเพื่อหลบสายตาของเขา
เจินอวี๋ในชุดหรูหรามีกลิ่นอายของกล้วยไม้ในหุบเขา นอกจากนี้ยังมีความงดงามของฤดูใบไม้ผลิ กอปรกับท่าทางที่ต้องการจะพูดแต่หยุดไว้เช่นนี้ ทำให้สวีจ่างหนิงอดที่จะตกลึงงันมิได้
“ในเรื่องดีอาจมีเรื่องร้าย ในเรื่องร้ายอาจมีเรื่องดี สิ่งหนึ่งจะมีด้านร้ายเพียงด้านเดียวได้เยี่ยงไร? ท่านกล่าวเพียงหายนะของปาสู่ที่มีต่อฉิน ไม่เป็นการอคติไปหน่อยหรือ?” เจินอวี๋เอ่ยถาม
สวีจ่างหนิงดึงสติกลับมา ประสานมือเอ่ย “อันประโยชน์ในการครอบครองปาสู่นั้น คิดว่าทุกคนย่อมรู้ดี ดังนั้นวันนี้ข้าน้อยจึงกล่าวเพียงด้านหายนะ สำหรับข้อดีข้อเสียนั้น ในใจทุกคนย่อมมีความเห็นในใจอยู่แล้ว ข้าน้อยไม่จำเป็นต้องพูดมาก”
“เมื่อครู่ท่านกล่าวว่าสถานการณ์ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องสวมการเสแสร้ง อย่างไรก็ดี ตามความเห็นของข้า สิ่งที่ท่านเรียกว่า “ของจริง” ก็ลอยอยู่บนพื้นผิวอยู่แล้ว แม้แต่ข้าที่เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ก็ยังเข้าใจในเหตุผลด้วยซ้ำ บัณฑิตผู้มีความรู้ในที่นี้จะไม่รู้ได้เยี่ยงไร? คำพูดของท่านในวันนี้เป็นเพราะไม่มีพรสวรรค์จริงๆ หรือว่าทำเพื่อเอาใจฝูงชนเท่านั้น?” วาจาเฉียบคมเช่นนี้ไม่รู้สึกรุนแรงเลยเมื่อหลุดออกมากจาปากของเจินอวี๋
สวีจ่างหนิงคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสาวที่ดูงดงามอ่อนหวานเช่นนี้จะมีวาจาเฉียบคมยิ่งนัก อีกทั้งพูดจนเขาไม่สามารถถอยหนีได้ หากดำเนินการโต้ตอบแล้ววิเคราะห์เรื่องนี้ด้วยพรสวรรค์ที่แท้จริง เช่นนั้นก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเขาถูกปั่นหัวได้ง่ายเกินไปแล้ว แม้แต่คำพูดของเด็กสาวคนหนึ่งก็สามารถมีอิทธิพลต่อเขาได้ ภายภาคหน้าเขาจะอยู่ในฉินต่อไปได้อย่างไร? ทว่าหากไม่ตอบสนอง ก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าเขามีความสามารถเพียงเท่านี้มิใช่หรือ?
เพียงครู่เดียวก็ทำให้ฝ่ามือของสวีจ่างหนิงมีชั้นเหงื่อซึมออกมา
“เยี่ยม!” มีคนเข้าใจว่าคำพูดนี้ของเจินอวี๋บีบให้สวีจ่างหนิงตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน รีบให้การสนับสนุน
แม้ว่าแนวคิดเหล่านั้นของสวีจ่างหนิงไม่นับว่าคมคาย แต่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปสามารถพูดออกมาได้ บางครั้งความจริงมิได้ซับซ้อนเลยทว่าก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถมองเห็น
“ความรู้ไม่แบ่งเด็กแก่หรือชายหญิง แม่นางกล่าวมามีเหตุผล หากสะดวก ข้าน้อยอยากจะเชิญให้แม่นางชี้แนะด้วย” สวีจ่างหนิงประสานมือเอ่ย
เจินอวี๋กำแขนเสื้อของตัวเองแน่นด้วยความประหม่า ซ่งชูอีเป็นคนสอนคำพูดเมื่อครู่ นางเองก็เป็นคนนิสัยอ่อนโยน สิ่งที่นางสัมผัสหลายปีมานี้ล้วนเป็นหลักคำสอนทางสายกลางของลัทธิขงจื้อ แน่นอนว่าไม่ใช่คนที่มีนิสัยก้าวร้าว หากคุยเรื่องโคลงฉันท์กาพย์กลอนนางก็จะมีเรื่องให้พูดถึงมากมาย ทว่าการปะทะฝีปากกับคนอื่นถึงสถานการณ์ในปัจจุบันนั้น…นางคิดว่าชั่วชีวิตนี้นางก็ทำไม่ได้
ซ่งชูอีถอนหายใจ แม่นางคนนี้ไม่รู้จักแม้แต่การปฏิเสธคนเช่นนั้นหรือ? หากบอกว่าไม่สะดวก สวีจ่างหนิงจะบังคับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนางขึ้นเวทีหรืออย่างไรกัน? สอนตกไปคำเดียวก็ไม่ได้จริงๆ
ช่างเถิด!
ซ่งชูอีเลิกม่านเดินออกมา ขณะที่เดินไปถึงเจินอวี๋ก็ตบๆ นางเบาๆ หลุบตามองไปข้างล่างแวบหนึ่ง แล้วประสานมือเอ่ยขอขมาสวีจ่างหนิง “น้องสาวยังเด็กไม่รู้ประสา กล่าววาจาทำให้ท่านไม่พอใจ ได้โปรดให้อภัยด้วย”
ทุกคนเห็นว่าเจินอวี๋ยังคงไว้ผมเปีย ในใจก็ประเมินนางสูงขึ้นเล็กน้อย แม่นางตัวน้อยคนหนึ่งที่ยังไม่ถึงวัยจี๋จีสามารถมีความเข้าใจและวิธีการเช่นนี้ได้นั้นช่างหาได้ยากจริงๆ และที่หายากยิ่งกว่าก็คือบุคลิกหน้าตาของนางงดงามอย่างยิ่ง!
“พี่ใหญ่” เจินอวี๋โพล่งคำว่า “พี่ใหญ่” ออกมาราวกับกำลังไขว่คว้าขอนไม้ท่ามกลางสายตาทุกคนที่จ้องมองมา
คนนอกไม่รู้ว่านางกำลังเขินอาย เพียงนึกว่าเป็นการเลี้ยงดูอย่างเคร่งครัดและนางกำลังกลัวความเข้มงวดของพี่ชาย
“น้องสาวท่านมีความเข้าใจที่ไม่สามัญ จะทำให้ข้าไม่พอใจได้อย่างไรกัน?” สวีจ่างหนิงประสานมือกลับ “น้องสาวมีความรู้เช่นนี้ คิดว่าพี่ชายก็ยิ่งไม่ธรรมดา ไม่ทราบว่าจะมีวาสนารับคำชี้แนะได้หรือไม่?”
“มิบังอาจ” ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ “น้องสาวของข้านี้มาจากสำนักขงจื้อ เรียนดีตั้งแต่เด็ก ข้าน้อยนั้นเกียจคร้านเป็นอย่างมาก มิกล้าชี้แนะ ข้าน้อยชื่นชมพรสวรรค์ของท่านสวีมาก หากท่านไม่รังเกียจล่ะก็ ขึ้นมาดื่มด้วยกันไหม?”
“เยี่ยม!” สวีจ่างหนิงตอบรับอย่างมีความสุข
ทุกคนมองสวีจ่างหนิงและซ่งชูอีเดินพูดคุยเข้าไปในห้องส่วนตัว อดที่จะรู้สึกอิจฉามิได้ คนเช่นนั้น เด็กสาวที่ทั้งมีพร้อมด้วยรูปลักษณ์และความรู้เช่นนั้น หากสามารถสู่ขอกลับบ้านได้ ก็จะสามารถช่วยเหลือในหน้าที่การงานได้มากจริงๆ
“ข้าน้อยต้องขอบคุณพี่ชายมาก” สวีจ่างหนิงค้อมคำนับซ่งชูอี
“อ๋อ? เหตุใดท่านสวีจึงกล่าวเช่นนี้?” ซ่งชูอีเอ่ยอย่างงุนงง
สวีจ่างหนิงยิ้มพลางสะบัดแขนเสื้อ “สองแขนเสื้อของข้าใสสะอาด เงินทั้งเนื้อทั้งตัวรวมกันแล้วยังซื้อสุราหนึ่งจอกไม่ได้ด้วยซ้ำ เดิมทีคิดว่าเข้ามาพูดสองสามคำก็จะกลับ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับท่าน ช่างมีความสุขจริงๆ”
ซ่งชูอีหัวเราะร่วน จากนั้นก็ยกจอกสุราขึ้น “พี่สวีเป็นคนวิเศษนัก มา ข้าดื่มให้ท่านหนึ่งจอก!”
ทั้งสองคนดื่มกัน สวีจ่างหนิงเอ่ยขึ้น “ข้ายังมิทราบชื่อแซ่ของพี่ชายเลย?”
“ข้าน้อยซ่งหวยจิน” ซ่งชูอีเอ่ย
“หา! เสียมารยาทแล้ว เสียมารยาทแล้ว! ข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงของท่านมานาน! คิดไม่ถึงว่าท่านจะเป็นคนเก่งที่อ่อนเยาว์เพียงนี้!” สวีจ่างหนิงยืดตัวคำนับ
แม้จะกล่าวถึงลำดับวาสุโส แต่ช่องว่างของอายุระหว่างสวีจ่างหนิงและซ่งชูอีนั้นนั้นไม่มากจนเกินไป ต่างเคารพในชื่อเสียงและความรู้
พี่สวีไม่ต้องเกรงใจเพียงนี้” ซ่งชูอีเอ่ย
สวีจ่างหนิงเหลือบมองเจินอวี๋ ทอดถอนใจเอ่ย “มีพี่ชายเช่นท่าน ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม่นางซ่งมีความรู้เพียงนี้”
แม้ว่าสวีจ่างหนิงไม่พูด ซ่งชูอีก็จะหาโอกาสอธิบาย การที่เขาเอ่ยออกมาเองก็ดียิ่งกว่า “นางเป็นน้องสาวบุญธรรมของข้า สกุลเจิน”
“ข้าน้อยหุนหัน ได้โปรดท่านกับแม่นางเจินอย่าได้ถือสา” สวีจ่างหนิงเอ่ยขอโทษ
“ข้าแซ่ซ่งไม่เคยมีพิธีรีตรอง ชอบนิสัยสบายๆ ของพี่สวีเช่นนี้” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
สวีจ่างหนิงกับซ่งชูอีมีนิสัยคล้ายกันมาก ทั้งสองคนคุยกันอย่างมีความสุข สวีจ่างหนิงลืมความตั้งใจเดิมไปเสียแล้ว มองสาวงามเหมือนความว่างเปล่าไปแล้วจริงๆ
จนกระทั่งดื่มเสร็จแล้วต่างคนก็ต่างแยกย้าย สวีจ่างหนิงจึงนึกถึงความงามของสาวงามขึ้นมาได้ อดไม่ได้ที่จะเกลียดตัวเองที่ไม่คว้าโอกาสไว้ให้ดี
หลังจากสวีจ่างหนิงจากไปแล้ว ซ่งชูอีเหลือบมองเจินอวี๋ “นี่คือของขวัญวันจี๋จีที่ข้ามอบให้เจ้า รักษาไว้ให้ดีเถิด”
“ของขวัญจี๋จี?” ดวงตาของเจินอวี๋ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจากความว่างเปล่า “ขอบคุณเจ้าค่ะ…พี่ใหญ่ซ่ง”
แน่นอนว่าของขวัญจี๋จีที่ซ่งชูอีมอบให้เจินอวี๋มิใช่สวีจ่างหนิง แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากชื่อเสียงอันดีที่สวีจ่างหนิงหยิบยื่นให้
ซ่งชูอีหันไปมองที่ถนน จมดิ่งอยู่ในความคิด ชายหนุ่มที่โผล่มาอย่างลึกลับนั้น…ถึงแม้ว่านางจะแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน แต่นางก็ไม่ใช่คนที่ชอบปล่อยให้สิ่งต่างๆ อยู่เหนือการควบคุม หากไม่จัดการตั้งแต่เนิ่นๆ ก็มักจะรู้สึกว่าไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง