กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 243 เลือดที่แพงเหลือเกิน
ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นมาด้วยจึงไม่สะดวกที่จะพาออกไปเดินข้างนอก จึงนั่งฟังการอภิปรายอื่นๆ ในโรงสุราสักพักหนึ่ง รอจนหนิงยากลับมาจึงเลือกถนนเงียบสงบเพื่อเดินทางกลับจวน
ผ่านไปหนึ่งวัน เจินอวี๋จึงเข้าใจแล้วว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ที่ดูไม่แก่กว่านางมากนัก สามารถให้สิ่งที่นางต้องการได้มากกว่าพี่ชายแท้ๆ ของตัวเองเสียอีก
อย่างไรก็ดี ซ่งชูอีก็มิใช่บุคคลที่มีจิตใจเมตตากระไร ความดีที่นางทำต่อเจินอวี๋นั้นล้วนต้องใช้เจินจวิ้นหรือแม้แต่สกุลเจินทั้งตระกูลมาตอบแทน การที่สกุลเจินในฐานะแขนซ้ายแขนขวาของนางมีอำนาจระดับหนึ่งก็มีแต่ข้อดีสำหรับนางไม่มีข้อเสีย
ชูหลี่จี๋มาหาซ่งชูอีในบ่ายวันนั้น เมื่อรู้ว่าดวงตาของนางหายเป็นปกติแล้วก็ดีใจจนแทบคลั่ง ส่งคนไปรายงานข่าวดีกับฝ่าบาททันที จากนั้นจึงวางแผนจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับนาง
อย่างไรก็ตามซ่งชูอีได้สงบสติจากความยินดีแล้ว และเริ่มดูแลสิ่งต่างๆ ทั้งภายในและภายจวน “พี่ใหญ่ ในจวนของข้านี้ขาดคน พี่ใหญ่มีลู่ทางในการหาทาสรับใช้ที่สะอาดสะอ้านสักสองสามคนหรือไม่?”
คนรับใช้กับทาสนั้นมีความแตกต่างสำคัญ ทาสนั้นเทียบเท่ากับสัตว์ใช้แรงงาน ตราบใดที่สามารถเลี้ยงได้ ตระกูลสูงศักดิ์ยินดีที่จะเลี้ยงกี่คนก็ได้ตามใจชอบ ไม่มีกฎเชิงปริมาณ ส่วนคนรับใช้นั้นมีระดับสูงกว่าทาสมาก มีระดับอำนาจที่แตกต่างกัน คนรับใช้ที่ครอบครัวหนึ่งสามารถเลี้ยงได้ก็มีจำนวนจำกัด
ขณะที่รัฐฉินทำการปฏิรูปก็มีการเลิกทาสแล้ว แม้ว่าการค้าทาสจะยังไม่ถูกห้าม แต่ทาสทั้งหมดในตลาดก็ล้วนนำเข้ามาจากรัฐอื่นๆ ทาสรับใช้ที่ชาวฉินซื้อเข้ามาก็สามารถแปลงสัญชาติและเป็นคนรับใช้ได้โดยตรง สำหรับทาสทุกคนพวกเขาใฝ่ฝันที่จะถูกขายให้กับฉิน เพราะว่าครึ่งชีวิตที่เหลือนั้นดีกว่าการเป็นสัตว์ใช้แรงงานมาก
สิ่งที่ซ่งชูอีกล่าวถึงก็คือการค้าทาส
“ผู้ดูแลจวนข้าพอจะมีลู่ทางอยู่บ้าง” ชูหลี่จี๋ครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “แม้พวกเขาจะเป็นของดีทั้งหมด ทว่าที่สามารถเลือกได้ก็เพียงไม่กี่คน เจ้าเลือกสักสองสามคนไปใช้ก่อนก็ได้ ไว้พรุ่งนี้ข้าจะไปสืบถามที่จวนตุลาการ ค่อยเติมเต็มก็ไม่สาย”
“เยี่ยม” ซ่งชูอีเอ่ย
ชูหลี่จี๋สั่งให้คนรับใช้ข้างกายกลับจวนไปสอบถาม ผู้ดูแลจวนของชูหลี่จี๋ทำงานได้รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เพียงครึ่งชั่วยามก็ตอบกลับมาว่าคืนนี้ก็สามารถจัดคนเข้าจวนได้แล้ว
หลังจากทานอาหารค่ำด้วยกันเรียบร้อย ผู้ดูแลจวนของชูหลี่จี๋กับพ่อค้าคนกลางก็จัดส่งทาสอายุตั้งแต่สิบขวบจนถึงสามสิบปีเข้ามา
ตะเกียงถูกจุดขึ้นภายในลาน ส่องสว่างทั่วห้องโถง
ซ่งชูอีนั่งอยู่บนทางเดินหน้าห้องโถงใหญ่ เหลือบมองไปที่แถวแรกของเด็กสาววัยรุ่นที่อยู่ตรงหน้า “อายุเท่าไรกันบ้าง?”
พ่อค้าคนกลางเป็นชายวัยกลางคนพุงพลุ้ยอายุสามสิบ ครั้นได้ยินคำถามของซ่งชูอีก็รีบสั่ง “เริ่มจากทางซ้าย ตอบคำถามของท่าน!”
“บ่าวเก้าขวบ…”
“บ่าวสิบสามปี…”
เด็กสิบคนผลัดกันรายงานอายุ ซ่งชูอีเลือกสองคน สิบสามปีคนหนึ่ง สิบห้าปีคนหนึ่ง
ซ่งชูอีหรี่ตามองอย่างละเอียด รูปร่างนับว่าได้สัดส่วนงดงาม เพียงถามไม่กี่คำถามก็เลือกไว้แล้ว ปล่อยให้หนิงยาจัดให้พวกเขาทำงานจำพวกเก็บกวาด จากนั้นก็เลือกเด็กหนุ่มร่างกายแข็งแรงไม่กี่คนและสาวใช้สองคน
แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นทาสสะอาดสะอ้านที่ได้รับการคัดเลือกมากอย่างดี ทว่านอกเหนือจากเด็กสาววัยสิบกว่าสองคนนั้นแล้วคนอื่นก็ดูหยาบกร้าน ไม่คุ้มค่าเงิน กอปรกับพ่อค้าคนกลางต้องการจะดึงความสัมพันธ์ไว้จึงกดราคาต่ำมาก
“ยังมีอีกหลายคน ซ่งจื่อต้องการจะดูหรือไม่?” พ่อค้าคนกลางเอ่ยขึ้น
“อืม” ซ่งชูอีพยักหน้า
ทันทีที่พ่อค้าปรบมือ เสียงระฆังกริ๊งๆ ก็ดังมาจากข้างนอก เด็กสาวเก้าคนที่มีผ้าคลุมสีอ่อนปกคลุมใบหน้าท่าทางสง่างามเดินเข้ามาช้าๆ แม้แต่การก้าวเดินก็ได้ยินเพียงเสียงสวบสาบของผ้าที่เสียดสีกันเท่านั้น
ผู้หญิงทั้งเก้าคนหยุดอยู่ตรงหน้าซ่งชูอีกับชูหลี่จี๋ ถอนสายบัวเล็กน้อย น้ำเสียงอ่อนหวานราวเสียงเพลงของนกขมิ้นดังขึ้น “คารวะซ่างต้าฟู คารวะซ่งจื่อ”
ชู่หลี่จี๋ขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าสาวงามเหล่านี้เป็นนางบำเรอ เขาเหลือบมองผู้ดูแลจวนของตัวเอง
ผู้ดูแลตระหนักถึงความไม่พอใจของชูหลี่จี๋ กำลังจะอ้าปากกล่าวอะไรบางอย่าง กลับได้ยินซ่งชูอีกล่าวอย่างมีความสุข “คนที่อยู่ขวาสุด เลิกผ้าคลุมออก”
ชูหลี่จี๋อึ้งไปครู่หนึ่ง หันหน้าไปมองหญิงสาวผู้นั้นที่ซ่งชูอีกล่าวถึง
ภายใต้แสงสว่างที่ไหววูบ หญิงสาวผู้นั่นสวมชุดชวีจวีปักลายเมฆสีแดงอ่อน ร่างกายไม่สูงมากทว่าท่วงท่าสง่างาม ดวงตาขาวดำกระส่างใจคู่นั้นสงบนิ่งไร้คลื่นเหมือนกับซ่งชูอีไม่มีผิดเพี้ยน!
หญิงสาวเลิกผ้าคลุมออกตามคำสั่ง เผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงาม ทำให้ความสงบเมื่อครู่เจือจางลงไปชั่วขณะ
ผิวพรรณของเด็กสาวขาวดุจหิมะ แสงจันทร์และแสงตะเกียงผสมกลมกลืนและสาดแสงจางๆ อยู่บนใบหน้าของนาง หน้าผากกว้างคิ้วโก่งงอ หางตาชี้ขึ้นเล็กน้อย จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเล็กอวบอิ่มแวววาว ใบหน้านี้สวยงามอย่างแท้จริง มีความยั่วยวนเจือปนในความอ่อนเยาว์
“ซ่งจื่อ” เด็กสาวเรียกเสียงเบา
“หมุนตัวรอบหนึ่งให้ข้าดู?” ซ่งชูอีเอ่ย
เด็กสาวกางแขนออกเล็กน้อย เผยให้เห็นองค์เอวอย่างชัดเจน แล้วหมุนตัวช้าๆ
“เยี่ยม” ซ่งชูอีพยักหน้า ถามว่า “ชื่ออะไร? คนที่ไหน?”
เด็กสาวหลุบตาลงเล็กน้อย “บ่าวแซ่หมี่ เป็นชาวฉู่เจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีกับชูหลี่จี๋ประหลาดใจเล็กน้อย ราชวงศ์ของรัฐฉู่แซ่หมี่สกุลสยง หมี่จี[1]ผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในพระธิดาแห่งราชวงศ์ของรัฐฉู่
อย่างไรก็ดีเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว รัฐฉู่สืบทอดต่อกันมาหลายร้อยปี กิ่งก้านสาขาที่กระจัดกระจายของราชวงศ์ฉู่มีมากมายนับไม่ถ้วน หมี่จีมีเพียงแซ่ไร้สกุล อาจจะแตกแยกมาจากสาขาใดสาขาหนึ่ง
“ซ่งจื่อสายตาแหลมคมนัก หมี่จีมิใช่สาวงามที่สวยที่สุดในบรรดาพวกนาง ทว่ากลับมีสายเลือดที่สูงศักดิ์ที่สุด อีกทั้งยังรู้หนังสือหลายคำด้วยนะขอรับ!” พ่อค้าคนกลางเห็นว่าซ่งชูอีดูมีความสนใจมาก จึงรีบฉวยโอกาสนี้เอ่ยขึ้น “พวกเจ้าก็เลิกผ้าคลุมออกเถิด”
ชูหลี่จี๋มองซ่งชูอี เห็นนางดูมีชีวิตชีวายิ่ง อดที่จะส่ายศีรษะอย่างจนปัญญามิได้
สาวงามแปดนางที่เหลือก็เผยให้เห็นใบหน้า แต่ละคนล้วนมีความงดงามอย่างแท้จริง ทั้งลานดูสว่างไสวขึ้นมาก ดูอย่างนี้แล้ว หมี่จีไม่นับว่าสะดุดตานักในบรรดาพวกนาง
ซ่งชูอียิ้มตาโก่งพลางมองไปรอบๆ “เปิดราคามาเถิด ข้าเอาคนนี้แหละ”
พ่อค้าคนกลางยิ้มเอ่ย “หากซ่งจื่อชอบ ยกให้ซ่งจื่อย่อมได้”
“พี่ใหญ่ไม่เลือกสักคนรึ? สาวงามเหล่านี้หาดูได้ยากจริงๆ นะ!” ซ่งชูอีมองไปยังชูหลี่จี๋
“ไม่ล่ะ ที่จวนไม่มีแม่บ้านคอยดูแล มีผู้หญิงก็จะวุ่นวาย” ชูหลี่จี๋ปฏิเสธอย่างละมุนละม่อม
ซ่งชูอีพยักหน้าเห็นด้วย หันไปกล่าวกับพ่อค้าคนกลาง “เปิดราคามาเถิด ข้าไม่ชอบเอาเปรียบใคร พันตำลึงทองก็ยากที่จะซื้อหัวใจอันงดงาม หญิงงามผู้นี้ตรงใจข้า ต่อให้เป็นการค้าขาย ข้าก็ได้รับความกรุณามากแล้ว”
หากจี๋อวี่ได้ยินคำพูดนี้เข้าจะต้องพ่นลมหายใจด้วยความเหยียดหยามเป็นแน่ ผู้แซ่ซ่งนี้มิได้เป็นคนที่ไม่ชอบเอาเปรียบใคร เพียงแต่ไม่ชอบเรื่องยุ่งยากเท่านั้น
“เช่นนั้นก็ยี่สิบตำลึงทอง” พ่อค้าคนกลางเอ่ย
นี่เป็นราคาที่ใจดีและเข้าเนื้ออย่างแท้จริง สาวที่มีพร้อมด้วยสายเลือดและรูปโฉมเช่นหมี่จีนี้ อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่รู้หนังสือ หากไปขายในตระกูลสูงศักดิ์อื่นจะได้รับถึงสี่ห้าสิบตำลึงทองเชียว
“ช่างเป็นสายเลือดที่แพงเหลือเกิน!” หนิงยาพูดไม่ออก นางไม่รู้ว่าตัวเองมีราคาเท่าใด แต่คาดว่ามากสุดก็ไม่น่าเกินสิบกว่าปู้ปี้กระมัง!
ทั้งที่เป็นมนุษย์เหมือนกัน ทว่าสูงส่งและต่ำต้อยต่างกันนัก
พ่อค้าคนกลางพาคนออกไปก็เจอกับไป๋เริ่นที่กระโจนเข้ามาพอดี ครั้นสาวใช้ที่เดินนำหน้าเห็นหมาป่าขนาดมหึมา ก็ตกใจจนร้องอุทาน บ้างล้มกลิ้งไปกับพื้น ที่น่าสมเพศยิ่งกว่านั้นคือบางคนกลั้นปัสสาวะไว้ไม่อยู่
แม้ว่าหญิงงามเหล่านั้นจะดูเหมือนดอกไม้ที่สูญเสียสีสัน มีคนหนึ่งหมดสติไปทันทีแต่ก็ไม่นับว่าดูแย่มาก
ซ่งชูอีเหลือบมองหมี่จีที่สีหน้ากลับมาเป็นปกติในแทบจะทันที เอ่ยกับหนิงยา “ที่แพงมิใช่เพียงเลือด หากเจ้าต้องการเจ้าก็สามารถเป็นของแพงมากได้เช่นกัน”
ไป๋เริ่นพุ่งเข้าไปหาซ่งชูอี มุดเข้าไปในแขนเสื้อของนางเพื่อคาบเอาเนื้อแห้งออกมากิน
ซ่งชูอีเชิญให้ผู้ดูแลบ้านของชูหลี่จี๋ช่วยบรรดาทาสรับใช้ที่จัดหามาได้ตั้งสติสักพัก ส่วนซ่งชูอีกับชูหลี่จี๋เข้าไปพูดคุยในห้องหนังสือ
ทันทีที่นั่งลง ซ่งชูอีก็เอ่ยถาม “พี่ใหญ่ ในจวนของท่านมีแขกที่ปรึกษาชื่อว่าหลี่ว์เต๋อเฉิงหรือไม่?”
[1] จี ใช้เรียก สาวงาม หรือ นางสนม หรือ นางบำเรอ