กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 246 ทั้งชอบทั้งลงมือ
“ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยหรือ” ซือหม่าหวยอี้เอ่ย
หลี่ว์เต๋อเฉิงเหลือบมองรถม้าของจวนซ่ง ยื่นมือตบๆ ไหล่ของซือหม่าหวยอี้ “อย่าไปคิดเลย ในโลกนี้มีเรื่องประหลาดมากมาย ซ่งจื่อไม่มีญาติที่อื่น คิดว่าคงเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้น ไปเถิด พวกเราไปดื่มสุรากัน”
“พี่เต๋อเฉิง” ซือหม่าหวยอี้กล่าวด้วยความลังเล “ท่านก็น่าจะรู้ว่าจวงจื่อเป็นสหายสนิทกับฮุ่ยจื่อ ฮุ่ยจื่อพำนักที่รัฐซ่งมาโดยตลอด บางทีจวงจื่ออาจจะรับซ่งหวยจินเป็นศิษย์ในตอนนั้น? ซ่งหวยจินก็มีสกุลซ่งแซ่จื่อ สถานะซ้อนทับกับภรรยาผู้ล่วงลับของข้ามากเหลือเกิน อีกทั้งหน้าตาเหมือนกันเพียงนี้ มันยากที่จะทำให้ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงๆ!”
ได้ยินเช่นนี้ ในใจของหลี่ว์เต๋อเฉิงไม่ได้เห็นด้วยทว่าก็น่าสงสัยนัก เขารู้จักซือหม่าหวยอี้ตั้งแต่เด็กจนกลายเป็นเพื่อนสนิท และยังรู้อีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการสมรสระหว่างสกุลซือหม่าและสกุลซ่ง
ภรรยาของซือหม่าหวยอี้สกุลซ่ง มีชื่อเพียงพยางค์เดียวว่าเจ้า เป็นกิ่งก้านสาขามาจากราชวงศ์รัฐซ่ง ทว่าเนื่องจากลูกหลานอ่อนแอ ครอบครัวค่อยๆ แตกสลาย ไม่มีคนเข้ารับตำแหน่งในราชสำนักสามรุ่นติดต่อกัน และค่อยๆ เหมือนกับสามัญชนธรรมดาเข้าไปทุกที อย่างไรก็ดีรัฐซ่งให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมขงจื้อ โดยเฉพาะเหล่าราชวงศ์ แม้แต่พระธิดาล้วนได้รับการศึกษาทุกคน แม้ว่าจะกลายเป็นตระกูลสูงส่งที่ตกต่ำ แต่ก็ยังเป็นครอบครัวนักวิชาการที่มีเกียรติ
ซ่งเจ้าเป็นเด็กผู้หญิงที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่ง หลังจากอายุครบสิบขวบ ชื่อที่มีคุณธรรมและความสามารถแพร่กระจายไปทั่วนครเจียวเฉิง พวกที่เข้ามาสู่ขอล้วนเป็นครอบครัวที่มีหน้ามีตา
บัดนั้นบิดาของซือหม่าหวยอี้เป็นท่านซือหม่าในกองทัพรักษาการณ์นครเจียวเฉิงแห่งรัฐซ่ง ครั้งหนึ่งเคยคารวะท่านปู่ของซ่งเจ้าเป็นอาจารย์ ครั้นได้ยินชื่อเสียงของซ่งเจ้า ก็อาศัยความสัมพันธ์แบบน้ำตาลใกล้มดจองตัวลูกสะใภ้คนนี้ ต่อมาบิดาของซือหม่าหวยอี้ได้รับการเลื่อนขั้น ครอบครัวย้ายไปเมืองหลวง น่าเสียดายที่เกิดรัฐประหารในไม่กี่ปีหลังจากนั้น สกุลซือหม่าจึงต้องหลบหนีออกจากรัฐซ่งทั้งครอบครัว
เรื่องหลังจากนั้นหลี่ว์เฉิงเต๋อก็ไม่ชัดเจนแล้ว สาเหตุที่เขาสงสัยเพราะว่าอารมณ์การปฏิเสธของนั้นซือหม่าหวยอี้ในบัดนั้นยังคงสดใหม่ในความทรงจำของเขา ซือหม่าหวยอี้รังเกียจที่ซ่งเจ้าหน้าตาขี้เหร่มาโดยตลอด อีกทั้งตอนนั้นก็ยังหลงรักแม่นางอีกคนหนึ่ง จะถอนหมั้นกับซ่งเจ้าให้ได้
ซ่งเจ้าผู้นั้นได้รับอิทธิพลจากขงจื้อตั้งแต่ยังเด็ก ไม่เผยโฉมในที่สาธารณะและผูกมิตรไปทั่วเหมือนเด็กสาวทั่วไป และเนื่องจากหลี่ว์เต๋อเฉิงเคยได้ยินเพียงชื่อไม่เคยเห็นหน้า ทว่าจากพูดจากใจจริง หากซ่งเจ้าหน้าตาเหมือนซ่งชูอีเสียเก้าส่วนจริงๆ เช่นนั้น…นางก็ไม่สวยสักเท่าไร
ดูจากหน้าตาแล้ว แม้ว่าซ่งชูอีมิได้ขี้เหร่ ทว่าสำหรับผู้หญิงแล้ว หน้าผากนั้นอวบอิ่มเกินไป จมูกก็เป็นสันตรงเกินไป ริมฝีปากก็ไม่นุ่มนวลมากพอ ขาดความอ่อนโยนและสง่างามที่เด็กสาวพึงมี
เหตุใดบัดนั้นคัดค้านการแต่งงานครั้งแล้วครั้งเล่า บัดนี้กลับห่วงหาไม่ลืม? เป็นไปได้ไหมว่าที่เขาไร้กำลังใจเช่นนี้เพราะว่าอยากผูกสัมพันธ์กับซ่งหวยจินจริงๆ?
หลี่ว์เต๋อเฉิงส่ายศีรษะเพื่อสลัดสิ่งกวนใจออกไป แอบตำหนิตัวเองว่ามีความคิดวิปริตเช่นนี้ได้อย่างไร!
“คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ไว้เจอหน้ากันอีกครั้งเจ้าก็ถามเขาไปตรงๆ ข้าเห็นว่าซ่งจื่อเป็นคนสบายๆ คงไม่คิดอะไร” หลี่ว์เต๋อเฉิงกล่าว
ซือหม่าหวยอี้พยักหน้า เข้าโรงสุราไปกับหลี่ว์เต๋อเฉิง
ท้องฟ้าข้างนอกค่อยๆ มืดลง จนเมื่อพลบค่ำก็มีหิมะตกเบาบาง
มุมด้านบนของพระราชวังเสียนหยาง มีเตาเล็กอันหนึ่ง สุราร้อนกาหนึ่ง ภายในห้องไม่มีนางในวังรับใช้ มีเพียงอิ๋งซื่อและซ่งชูอีสองคนที่คุยเล่นระหว่างที่ต้มสุราด้วยตัวเอง
ซ่งชูอีหรี่ตามองออกไปข้างนอก “หิมะตกแล้ว”
อิ๋งซื่อยกจอกขึ้น เหลือบตามองเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “เวลานี้เมื่อปีกลายหิมะตกหนักเท่าขนเป็ดแล้ว ปีนี้กลับเพิ่งมีหิมะแรกเท่านั้น”
ซ่งชูอีพบว่าวาจาของอิ๋งซื่อนั้นต่างกันตามโอกาสและคน เขามักจะทะนุถนอมคำพูดดุจทองคำ ทุกครั้งที่คุยเล่นเป็นการส่วนตัว ก็จะให้ความรู้สึกน่าประหลาดใจราวกับมีทองคำตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“เมื่อมองไม่เห็นจิตใจชัดเจนยิ่ง เมื่อมองเห็นแล้วก็สามารถชื่นชมความงดงาม!” ซ่งชูอีเอ่ยอุทาน ก่อนหน้านี้เมื่อดวงตาหายเป็นปกติคือความน่ายินดี บัดนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าของอิ๋งซื่อจึงรู้สึกจากใจจริงว่า…การมองเห็นมันดีเหลือเกิน!
อิ๋งซื่อหัวเราะเบาๆ “หัวใจของซ่งจื่อกว้างขวางเช่นนี้เสมอ”
“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้ว” ซ่งชูอีคิดในใจ การเป็นคนกว้างขวางอยู่เสมอมิใช่เพราะใจกว้างแต่เพราะโง่ ครั้นถึงเวลาที่ต้องคิดบัญชีนางก็ไม่พลาดเลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ดีอิ๋งซื่อยากที่จะชมใคร นางจึงยิ้มรับไว้แล้ว
หิมะตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนชื่นชมหิมะและดื่มกันอยู่เงียบๆ
หลังจากดื่มจนหมดจอก อิ๋งซื่อวางจอกสุราลงแล้วเอ่ยว่า “กองทัพจะกลับมาพร้อมกับชัยชนะในอีกไม่กี่วัน ก็ต้องหารือเรื่องความสำเร็จและตบรางวัล ถึงตอนนั้นเกรงว่าจะมอบตำแหน่งสำคัญแก่เจ้าไม่ได้”
ขณะที่ซ่งชูอีกล่าวเรื่อง “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ต่อหน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรกในรัฐเว่ย์ก็ได้คิดมาถึงขั้นนี้แล้ว วันนี้เวลานี้ได้ยินมันออกมาจากปากของอิ๋งซื่อ ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆ กำลังพัฒนาไปในทิศทางที่นางวางไว้ล่วงหน้า ในใจของนางไร้ความไม่สงบใด
“นี่ก็เป็นความต้องการทั่วไป และมันก็เป็นเรื่องดีสำหรับข้าเอง” ซ่งชูอีเอ่ย
“ซ่งจื่อช่างเป็นคนเข้าใจนัก ข้าดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง!” สองมือของอิ๋งซื่อยกจอกสุราขึ้น
ซ่งชูอีรีบยกจอกสุราขึ้น “กระหม่อมมิบังอาจ สุราจอกนี้ กระหม่อมดื่มให้ฝ่าบาทเถิด”
“เยี่ยม” อิ๋งซื่อไม่มีความอดทนที่จะโต้เถียงกับนางเรื่องมารยาทเหล่านี้ เงยหน้าดื่มรวดเดียวจนหมด
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง” ดื่มเสร็จแล้วอิ๋งซื่อก็พูดขึ้น “องค์หญิงอิ๋งสี่ถึงวัยแต่งงานแล้ว รัฐฉินมีเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ไม่น้อย ข้าพิจารณาอยู่หลายรอบ รู้สึกว่าตูเว่ยม่อไม่เลว ทุกครั้งที่มีข่าวมาจากปาสู่ล้วนมีบันทึกวีรชนของเขา โดยเฉพาะการต่อสู้หลายครั้งในรัฐปา…”
“แค่กแค่กแค่กแค่ก!” ซ่งชูอีสำลักสุรา ไอจนหน้าและหูแดงก่ำซึ่งปกปิดความรักลึกซึ้งที่แปลกประหลาดของนางได้พอดี
อิ๋งซื่อรีบเรียกคนยกน้ำชาเข้ามา
จนกระทั่งนางไอเสร็จแล้วสงบลมหายใจครู่หนึ่ง อิ๋งซื่อก็ถามต่อ “เจ้าเห็นว่าเยี่ยงไร?”
“แค่ก หากทั้งสองฝ่ายเต็มใจ ก็ถือได้ว่าเป็นการสมรสที่เหมาะสม” ซ่งชูอีเอ่ยเชื่องช้า
อิ๋งซื่อเอ่ย “ได้ยินว่าเจ้ากับเขาเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขามีคู่หมั้นคู่หมายที่บ้านเกิดหรือไม่?”
ซ่งชูอีแอบระแวดระวัง เจ้าอี่โหลวเป็นองค์ชายแห่งรัฐเจ้า ตำแหน่งที่เด่นชัดเพียงนี้ มีเรื่องอะไรบ้างที่อิ๋งซื่อสืบไม่ได้จึงต้องมาถามนาง?
นางพิจารณาครู่หนึ่ง ตอบว่า “กระหม่อมรู้จักกับเขาไม่ถึงสองปี ก็เพิ่งมารู้ในภายหลังว่าเขาเป็นองค์ชายรัฐเจ้า เรื่องคู่หมั้นคู่หมายนั้นไม่เคยกล่าวถึง หากฝ่าบาทมีความประสงค์ เช่นนั้นรอเขากลับมาแล้วกระหม่อมจะลองถามก่อนดีหรือไม่?”
อิ๋งซื่อจิงสุราคำหนึ่ง เอ่ยว่า “เยี่ยม”
ราตรีค่ำมืดสลัว หิมะกำลังโบยบิน
ขณะที่ซ่งชูอีกลับถึงจวน ชูหลี่จี๋ก็รออยู่ในห้องหนังสือแล้ว
เตาอั้งโล่ถูกจุดขึ้นภายในห้อง ซ่งชูอีสะบัดหิมะบนตัวออก สอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ เอ่ยปากถามว่า “พี่ใหญ่ดูดวงเป็นหรือไม่?”
ชูหลี่จี๋ถาม “ทำไมรึ เจอเรื่องยากอะไรเข้า?”
ซ่งชูอีนั่งเอี้ยวตัวอยู่บนเบาะที่นั่ง เคาะนิ้วอยู่บนโต๊ะตัวเตี้ย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ระยะหลังนี้ข้าทำงานไม่ราบรื่น โดยเฉพาะ…เอาอย่างนี้แล้วกัน สมมติว่าพี่ใหญ่ชอบคนงามสักคน คิดที่จะแต่งนางเข้าบ้านเป็นภรรยา ทว่าฝ่าบาทกลับตั้งใจที่จะรับนางเข้าวังหลัง ฝ่าบาทไม่รู้ความรู้สึกพี่ใหญ่ ส่วนท่านก็ไม่อาจอธิบายได้ จะทำเยี่ยงไร?”
ชูหลี่จี๋จัดเรียงความคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจความหมายของนาง เอ่ยเย้าว่า “คนงามที่หวยจินชอบ ใช่องค์ชายอี่โหลวหรือไม่?”
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อ เอ่ยอย่างครุ่นคิด “เอ่อ…ทั้งชอบทั้งลงมือก็มีเพียงเขาคนเดียว”
ชูหลี่จี๋กระแอมไอเสียงเบา หยิบกระดองเต่าชิ้นเล็กๆ ออกมาจากกระเป๋าอย่างเงียบๆ แล้วโยนเข้าไปในเตา “การทำนายของกระดองเต่าที่มีอายุจะยิ่งละเอียดมากขึ้น แต่เห็นเจ้ารีบร้อน ก็ใช้ชิ้นนี้ทำนายอย่างคร่าวๆ ไปก่อนก็แล้วกัน”