กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 25 ใครน่าสมเพชกว่ากัน
สีหน้าของเถาติ้งไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่มองสำรวจซ่งชูอีรอบหนึ่ง “สมกับเป็นวีรบุรุษตั้งแต่อายุยังน้อย”
“ท่านใต้เท้าชมเกินไปแล้ว หวยจินมิบังอาจ” ซ่งชูอีประสานมือคำนับ เอ่ยต่อ “ที่หวยจินมาครานี้ มิได้มาเพื่อทำงานเพื่อรัฐเว่ยเสียทีเดียว ข้าไม่สามารถทนเห็นรัฐบ้านเกิดต้องเผชิญกับภัยพิบัติอันน่าสลดได้”
“พูดได้น่ากลัวนัก!” เถาติ้งยิ้มเย็นชา “รัฐเว่ยพ่ายแพ้ราบคาบภายใต้การโจมตีของรัฐฉี รัฐฉินและรัฐอื่นๆ ความแข็งแกร่งของรัฐลดลงอย่างมาก ท่านราชทูตอาจยังไม่ทราบว่าเซี่ยวกงแห่งฉินสิ้นแล้ว ฉินและเว่ยนิ่งเงียบมานานหลายปีเช่นนี้ เหตุใดจึงไม่ฉวยโอกาสแก้แค้นขณะที่ระบอบการปกครองของจวินองค์ใหม่ไม่มั่นคงเล่า?”
ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อ ยิ้มอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่กลับไม่เอ่ยถึงหัวข้อนี้ต่อ นางเปลี่ยนเรื่อง “ไม่ทราบว่าท่านใต้เท้ารู้จักกับองค์รัชทายาทซื่องั้นหรือ?”
อิ๋งซื่อก็คือจวินองค์ใหม่แห่งรัฐฉินในปัจจุบัน ชาติที่แล้ว ซ่งชูอีอาศัยอยู่ที่หยางเฉิงซึ่งมีพรมแดนใกล้กับรัฐฉินและรัฐเว่ย ด้วยเหตุนี้แม้ไม่เคยเจอตัว แต่กลับเข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง
ซ่งชูอีเห็นว่าเถาติ้งมิได้ตอบ จึงเอ่ยต่อ “บัดนี้รัฐฉินไร้ซึ่งความโกลาหล เบื้องบนมีผลิตผลที่แข็งแกร่ง พลเมืองเบื้องล่างไร้ความสับสนอลหม่าน เหตุใดจึงกล่าวว่าการปกครองไม่มั่นคงเล่า? ต่อให้รัฐเว่ยออกศึก ก็ไม่สามารถเอารัดเอาเปรียบใดๆ ได้!
อีกทั้งข้าน้อยได้ยินมาว่า องค์รัชทายาทซื่อเชี่ยวชาญด้านทักษะทางทหารตั้งแต่ยังพระเยาว์ พรสวรรค์ทางทหารไม่เป็นสองรองใคร พระครูขององค์รัชทายาทยิ่งเป็นผู้ชนะสิบทิศ ข้าน้อยกล้ายืนยันได้เลยว่าหลังจากพระองค์อยู่ในตำแหน่งแล้ว รัฐฉินจะเป็นดั่งเสื่อที่ออกจากถ้ำ หากรัฐเว่ยไม่ชิงออกรบก่อน ไม่ช้าก็เร็วฉินและเว่ยจะเข้าสู่สนามรบอันดุเดือด จุดนี้แม้แต่ข้าน้อยเองยังมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง รัฐเว่ยจะไม่เห็นได้เยี่ยงไร? ฉะนั้นเรื่องเร่งด่วนในขณะนี้คือเตรียมกองทัพ! หาใช่โจมตีไม่”
เถาติ้งอดไม่ได้ที่จะนั่งตัวตรง การสวรรคตของเซี่ยวกงแห่งฉินก็ผ่านมาเพียงสามถึงห้าวันเท่านั้น เขาคือศูนย์กลางอำนาจแห่งรัฐซ่ง ได้รับข่าวนี้จากสารม้าเร็ว เดิมทีนึกว่าข่าวนี้จะทำให้ซ่งชูอีทำตัวไม่ถูก ใครจะรู้ว่านางยังคงสงบนิ่งได้อยู่
บัดนี้ เถาติ้งจึงจดจำคำพูดของซ่งชูอีไว้ในใจแล้ว
แน่นอนว่าซ่งชูอีเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา ใบหน้าสงบนิ่ง นางยิ้มจางๆ “เหตุใดจึงต้องเตรียมกองทัพ? รัฐซ่งมีทหารม้าและเสบียงต่างๆ มีที่ดินอุดมสมบูรณ์เป็นพันลี้ ผลผลิตหลากหลาย เป็นดินแดนแห่งความมั่งคั่งมาตั้งแต่สมัยโบราณ หากสามารถยึดครองดินแดนแห่งซ่งได้ด้วยความสูญเสียเพียงเล็กน้อย ไม่ดีกว่าหรือ?”
“รัฐเว่ยประสงค์ที่จะโค่นรัฐซ่งจริงหรือ?” สีหน้าเถาติ้งเปี่ยมด้วยความเคารพ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง รัฐซ่งก็อาจตกอยู่ในอันตรายจริงๆ
“ข้ามิกล้ากล่าวเท็จ!” ซ่งชูอีกล่าวอย่างไม่พอใจ “ท่านใต้เท้าน่าจะรู้ องค์จักรพรรดิของข้าหาเคยมีจิตใจสู้รบไม่ ครานี้หากไม่ใช่เพราะเว่ยอ๋องขู่บังคับ พวกข้าจะผ่านอาณาจักรเว่ยและใช้ทหารม้าสามหมื่นนายล้อมซุยหยางได้เยี่ยงไร!”
การกล่าวว่าเว่ย์โหวไร้จิตใจสู้รบนั้น เป็นการสรรเสริญเขามากเกินไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นแม้เขาปรารถนาที่จะสู้ รัฐเว่ย์ก็มีเพียงใจแต่ขาดกำลัง
เถาติ้งเงียบงันครู่ใหญ่ ลุกขึ้นเอ่ยทันใด “ท่านราชทูตพักที่จวนสักคืน ข้าจะไปพบท่านจวินบัดนี้!”
“ข้าน้อมรับคำสั่ง!” ซ่งชูอีประสานมือคำนับ ขณะที่ลุกขึ้นก็เห็นเถาติ้งเร่งสาวเท้าออกไปแล้ว
ที่จริงแล้วรัฐเว่ยโจมตีซ่งครานี้ ขุนนางน้อยใหญ่ของรัฐซ่งต่างรู้สึกแปลกใจมาก แต่เนื่องจากไม่ทราบจำนวนทหารม้าของรัฐเว่ย์ที่แน่ชัดจึงมิอาจคาดเดาถึงสาเหตุได้ แม้รัฐซ่งไม่โจมตีเว่ย์ แต่หากมีเชลยศึกอยู่ในมือ ก็จะสามารถขุดเอาประโยชน์จากเว่ย์โหวได้ไม่มากก็น้อย ซ่งทีเฉิงจวินไม่ได้ลิ้มรสการกดขี่ผู้อื่นมานานแล้ว ครานี้จะปล่อยไปได้เยี่ยงไร?
ซ่งชูอีเปิดโปงแผนการชั่วร้ายของรัฐเว่ย มีหรือเถาติ้งจะไม่ร้อนใจ
“ซ่งจื่อมีวาทะศิลป์ยิ่งนัก” อู๋ฉือหันกลับมาขณะเดินถึงหน้าประตู
ซ่งชูอีมิว่าได้อะไร ได้แต่ยิ้มน้อยๆ ให้เขา
หลังจากอู๋ฉือออกไปแล้ว ไม่นานก็มีสาวใช้พานางไปยังที่พัก จวนของเถาติ้งนั้นดูจากภายนอกแล้วธรรมดายิ่ง แต่ว่าภายในจวนล้วนใช้แต่ของชั้นดี
ซ่งชูอีเอนกายอยู่ในอ่างอาบน้ำ หรี่ตาลงอย่างผ่อนคลาย นางไม่ได้เพลิดเพลินเช่นนี้มานานแค่ไหนกันนะ…ดูเหมือนว่าเวลาผ่านไปไม่นาน แต่เมื่อผ่านความเป็นความตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้รู้สึกราวกับผ่านไปแล้วหลายสิบปี
ความง่วงถาโถมสู่ซ่งชูอี ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ระหว่างที่กำลังสะลืมสะลือนั้น รู้สึกถึงมือเล็กๆ ที่อบอุ่นและอ่อนโยนคู่หนึ่งกำลังลูบไล้อยู่บนร่างกายส่วนบนของนาง สบายเหลือเกิน…
มือ?
ซ่งชูอีเบิกตาโพลง จ้องเจ้าของมือคู่นั้นอย่างเย็นชา
“ข้า…ข้าน้อยมาปรนนิบัตินายท่านระหว่างอาบน้ำเจ้าค่ะ” เด็กสาวเห็นว่าแววตาที่เยือกเย็นของซ่งชูอีมีความโหดเหี้ยมปนอยู่ ตกใจจนทรุดตัวลงไปคุกเข่ากับพื้น
“เจ้าลุกขึ้นมา” ซ่งชูอีกล่าว
เด็กสาวลุกโงนเงนขึ้นมาจากพื้น แต่กลับไม่กล้ายืนตัวตรง งอเข่าเล็กน้อยอยู่ข้างอ่าง ความสูงไม่ต่างจากซ่งชูอีเท่าไรนัก
ซ่งชูอียื่นมือออกมาจากน้ำ คว้ากรามของเด็กสาวอย่างแรง เชิดหน้าของนางขึ้น มองสำรวจอย่างละเอียด
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดแจง เด็กสาวดูอายุใกล้เคียงกับซ่งชูอีในปัจจุบันมาก ใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารัก สวมเพียงเสื้อคลุมสีขาวธรรมดา ขอบเสื้อเผยอเปิดเล็กน้อย เผยให้เห็นผิวพรรณอวบอิ่ม
ซ่งชูอีบีบกรามของนางแรงมาก ราวกับใช้พละกำลังทั้งตัว เด็กสาวคนนั้นเจ็บจนน้ำตาเปื้อนขนตา แต่ซ่งชูอียังคงสงบนิ่งเป็นอย่างยิ่งเหมือนไม่ตั้งใจออกแรง
“เงยหน้ามองข้า” น้ำเสียงของซ่งชูอีเย็นเยียบดุจน้ำแข็ง
เด็กสาวไม่กล้าขัดคำสั่ง เงยหน้าขึ้นเชื่องช้า เมื่อสบตาชั่วร้ายของซ่งชูอี ก็สั่นกลัวจนต้องหลบสายตา
โชคดี…ซ่งชูอีตั้งใจทำเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อไม่ให้สถานะผู้หญิงถูกเปิดเผย โชคดีที่เป็นเพียงเด็กสาวที่อ่อนต่อโลกคนหนึ่ง ดูจากท่าทางของนางแล้ว ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ
เด็กสาวรู้สึกว่าซ่งชูอีจ้องมองนางเนิ่นนาน บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงมากเช่นกัน จึงรวบรวมความกล้าเอ่ยเสียงเบา “นายท่านบอกว่า หากท่านต้องการให้คนรับใช้ก็อนุญาตเจ้าค่ะ”
ซ่งชูอีปล่อยนาง เด็กสาวเห็นว่าซ่งชูอีไม่ได้อยู่นาน เอ่ยต่อ “ข้าน้อยยังเป็นสาวพรมจรรย์”
“ไสหัวไป!” ซ่งชูอีกล่าวเย็นชา
เด็กสาวใบหน้าซีดเผือก ไม่รู้ว่าทำผิดตรงไหน แต่ก็ไม่กล้าพูดมากอีก รีบออกไปโดยเร็วแล้ว
ซ่งชูอีนิ่งเงียบอยู่สักพัก ก่อนยกมือขึ้นลูบหน้าอกของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะด่า “ให้ตายเถอะ! ลูบมาครึ่งค่อนวันยังไม่รู้อีกหรือ? ข้าน่าสมเพช หรือว่าเจ้าน่าสมเพชกันแน่?”
หลังจากซ่งชูอีได้สติกลับมาแล้วจึงรู้สึกว่าตนแช่น้ำนานเกินไป บริเวณขาที่แตกระแหงเริ่มเจ็บปวดเล็กน้อย จึงไม่ได้แช่ต่ออีก หลังจากล้างตัวสะอาดแล้วก็ปีนออกมา
เถาติ้งเตรียมชุดผ้าป่านธรรมดาที่ยังไม่ฟอกตัวหนึ่งให้นาง มันตัวใหญ่กว่าซ่งชูอีมาก แต่หลังจากใส่เสื้อคลุมแขนกว้างแล้วกลับไม่ได้ดูผ่อนคลายหรือไม่เป็นทางการแต่อย่างใด
จี้ฮ่วนกับอวิ่นรั่วชำระล้างร่างกายสะอาดแล้ว รออยู่หน้าห้องอาบน้ำ พวกเขาได้ยินประตูส่งเสียงดังเอี๊ยด เหลือบตาขึ้นมองกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คนที่อยู่เบื้องหน้ายังคงไม่สวยเช่นเดิม แต่ครั้นสวมชุดผ้าป่าน แขนเสื้อกว้างนั้นเคลื่อนไหวราวปุยเมฆในขณะเยื้อย่าง ผมเปียกถูกมัดอย่างหลวมๆ ด้วยสายผ้าไหมอยู่ด้านหลัง เผยให้เห็นหน้าผากอวบอิ่มและใบหน้าแสนธรรมดา ขณะที่แววตาอันสุขุมของนางมองมานั้น ชวนให้รู้สึกสงบอย่างไม่มีเหตุผล
“พวกเจ้ามันห่วยแตก!” ทันทีที่ซ่งชูอีเอ่ยปากก็ทำลายบุคลิกอันสูงส่งเสียสิ้น “ในฐานะผู้อารักขา กลับไม่รู้จักขวางแม่นางคนนั้น! ถ้าหากนางเอามีดมาแทงข้า พวกเจ้าจะทำเยี่ยงไร?!”
จี้ฮ่วนได้ยินนางก่นด่าแล้วก็นึกโมโห แต่ครั้นได้ยินประโยคหลัง ก็กลืนคำโต้แย้งกลับเข้าไปแล้ว พวกเขาสองคนทำหน้าที่อารักขาราชทูตเพื่อการเจรจาในต่างแดนเป็นครั้งแรก เห็นซ่งชูอีคุยกับเถาติ้งอย่างราบรื่นยิ่ง จึงไม่ทันระวังตัว แม่นางผู้นั้นกล่าวว่าจะปรนนิบัติซ่งชูอีขณะอาบน้ำ พวกเขาประมาทชั่วครู่และปล่อยให้นางเข้าไปแล้ว
บัดนี้จี้ฮ่วนนึกขึ้นได้ว่า แม้แต่ตอนที่เขาเองรู้ว่าซ่งชูอีเป็นสตรีก็ยังเกิดข้อกังขาเป็นที่สุด นับประสาอะไรกับท่านจวินและขุนนางชั้นสูงแห่งรัฐซ่ง? แม้แม่นางผู้นั้นไม่ใช่ฆาตกร แต่ก็อาจล่วงรู้ได้ว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง ถึงตอนนั้นความเชื่อถือที่นางสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบากก็จะพังทลายลงในพริบตา
“เช่นนั้นนาง…” ฝ่ามือของจี้ฮ่วนมีเหงื่อเย็นซึมออกมา ถ้าหากครานี้ชีวิตของทหารสามหมื่นนายต้องจบลงเพราะความประมาทของเขา แม้นเขาต้องตายเป็นหมื่นครั้งก็ยากที่จะหลุดพ้นจากความผิดได้
…………………………………