กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 250 ผู้ไร้เดียงสาประสบเหตุร้าย
ทำอย่างไรดี?
ปกติแล้วมักจะมีใครบางคนยืนขวางหน้าเจินอวี๋เสมอ นางโตจนป่านนี้ยังไม่เคยประสบกับอันตรายจริงๆ มาก่อน บัดนี้สมองของนางสับสน ต่อให้มีไหวพริบเพียงใด ก็คิดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะเหมือนกัน
“ข้าน้อยซือหม่า…”
เขากล่าวไปเพียงครึ่งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงดังมาจากในลานบ้านของหลี่ว์เต๋อเฉิง “มีคนตาย! มีคนตาย!”
เจินอวี๋ยังไม่ทันจะตอบสนอง คอก็ถูกบีบไว้ ซือหม่าหวยอี้ข่มขู่เสียงต่ำ “ห้ามส่งเสียง!”
ในขณะนี้สมองของเจินอวี๋ว่างเปล่าแล้ว ทำได้เพียงพยักหน้าทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย
รถม้าคันนี้เล็กมาก คนที่ขับรถอยู่ภายนอกสามารถรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวภายในได้อย่างง่ายดาย ทว่าคนขับรถไม่กล้ามีปฏิกิริยาใดๆ เกรงว่าหากไม่ระวังคนนั้นอาจฆ่าเจินอวี๋ตาย ถึงตอนนั้นเขาเองก็ไม่รอด…ดังนั้นคราวนี้เขาจึงขับรถไปทางถนนใหญ่แทนที่จะไปทางตรอกเล็กร้างผู้คน ที่นั่นมีโรงสุราหนาแน่น มีบัณฑิตผู้เที่ยงธรรมมากมาย ไม่แน่ว่าอาจหาโอกาสหยุดยั้งวายร้ายคนนี้ได้
สถานการณ์เลวร้ายที่สุดก็พาคนคนนี้กลับไปที่จวน ในจวนมีผู้อารักขามากมาย อีกทั้งยังมีหมาป่าตัวหนึ่ง อีกทั้งยังอยู่ใกล้พระราชวังเสียนหยางมาก เขาไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าลงมือฆ่าคนที่นั่น!
เจินอวี๋เล่าเรียนมีความรู้ ส่วนคนขับรถเป็นเพียงพวกไร้การศึกษา ทว่าคนหลังก็นับว่าเป็นคนที่มีประสบการณ์โชกโชน เมื่อเผชิญกับชีวิตและความตาย ความสามารถในการอยู่รอดของพวกเขานั้นต่างกันชัดเจน
อย่างไรก็ดี บัดนี้เจินอวี๋ก็บังคับให้ตัวเองสงบสติลงแล้ว ครั้นเห็นว่ารถม้าเดินทางโดยถนนใหญ่ก็เข้าใจจุดประสงค์ของคนขับรถทันใด
“เจ้าฆ่าคนรึ?” เจินอวี๋เห็นว่าซือหม่าหวยอี้มองออกไปข้างนอก จึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อเบี่ยงเบนความสนใจเขา
ใบหน้าของซือหม่าหวยอี้ซีดขาวเล็กน้อย มือที่บีบเจินอวี๋ไว้ผ่อนคลายลง ความเจ็บปวดเผยให้เห็นอยู่บนใบหน้า “ข้าก็ไม่อยากฆ่าเขา…”
อันที่จริงหลี่ว์เต๋อเฉิงมิได้เมามายเท่าไร นอนอยู่บนพื้นท่ามกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บเพียงครู่หนึ่งก็ฟื้นสติขึ้นมาบ้างแล้ว บัดนั้นยังงุนงง เขาได้ยินไม่ถนัดว่าซือหม่าหวยอี้กับซ่งชูอีคุยอะไรกันบ้าง ทว่าเสียงคำรามสุดท้ายของซ่งชูอีราวกับดังก้องอยู่ในหูของเขา ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
รวบรวมสติอยู่บนพื้นครู่หนึ่ง หลี่ว์เต๋อเฉิงก็ลุกขึ้นมา
ซือหม่าหวยอี้ตกตะลึงกับท่าทีของซ่งชูอี อีกทั้งเมื่อเห็นพลังเช่นนั้น ความคิดในใจก็หวั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง – ถ้าหากซ่งชูอีมิใช่ซ่งเจ้าจริงๆ หากมันเป็นเพียงความอ่อนแอที่รับของแสลงไม่ได้ แล้วเป็นอะไรไปเพราะถูกเขาโจมตีรุนแรงเช่นนี้…เช่นนั้นเขายังจะมีหนทางรอดหรือ?
เขาหวาดกลัวยิ่ง เมื่อเห็นว่าหลี่ว์เต๋อเฉิงตื่นขึ้นมาพอดี จึงรีบขอความช่วยเหลือจากเขา
บัดนั้นหลี่ว์เต๋อเฉิงยังควบคุมร่างกายไม่ใคร่ได้ ทว่าสติครบถ้วนสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง คว้าตัวซือหม่าหวยอี้แล้วกล่าวทันที “รีบไปเชิญท่านหมอด้วยกันกับข้า รอจนวินิจฉัยให้มั่นใจว่าซ่งจื่อไม่เป็นอะไร แล้วเจ้ากับข้าค่อยไปขอขมาเขา”
หลี่ว์เต๋อเฉิงรู้เพียงด้านเดียวทว่าไม่รู้อีกด้านหนึ่ง นึกว่าเพราะพ่อครัวไม่ได้ทำความสะอาดเนื้อกวาง แล้วให้ซ่งชูอีกินโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป็นเพราะความจงใจของซือหม่าหวยอี้
แววตาโหดเหี้ยมของซ่งชูอีก่อนที่นางจะจากไปประทับอยู่ในสมองส่วนลึกของซือหม่าหวยอี้ ในใจของเขารู้ดีว่าซ่งชูอีไม่มีทางปล่อยตนไปง่ายๆ เช่นนี้อย่างแน่นอน เห็นทีก็มีเพียงหลี่ว์เต๋อเฉิงสหายคนสนิทที่สามารถเชื่อถือได้ จึงเล่าการกระทำของตัวเองทั้งหมดให้ฟัง ขอร้องให้เขาคิดหาวิธี
ใครจะรู้ว่าทันทีที่หลี่ว์เต๋อเฉิงได้ฟังก็โมโหรุนแรงราวกับสายฟ้าฟาด สีหน้าเปลี่ยนไปทันใด กล่าวว่าเขากระทำเรื่องต่ำช้าเพียงนี้ ต่อให้ต้องขอขมาถึงตายก็ยากที่จะลบคราบมนทินทางศีลธรรมได้ อาจเป็นเพราะฤทธิ์สุรายังคงหลงเหลือ หลี่ว์เฉิงเต๋อหุนหันพลันแล่นยิ่ง หยิบดาบขึ้นมาต้องการที่จะลากซือหม่าหวยอี้ไปเฉือนคอตัวเองที่หน้าประตูจวนซ่งด้วยกัน
แน่นอนว่าซือหม่าหวยอี้ไม่ยินยอม ทั้งสองคนต่อสู้กัน ซือหม่าหวยอี้กลัวว่าเสียงโวยวายของของหลี่ว์เต๋อเฉิงจะดึงดูดพวกคนใช้ จึงใช้มือปิดปากของเขา ทว่าภายใต้ความตื่นตระหนกก็ปิดทั้งจมูกและปากโดยไม่ได้ตั้งใจ และเพราะออกแรงมากเกินไป ทำให้หลี่ว์เต๋อเฉิงสิ้นใจคาที่
เขาวิ่งออกมาจากจวนด้วยความตื่นตกใจ คิดจะหนีไปที่เสียนหยาง คิดไม่ถึงว่าจะพบกับเจินอวี๋เข้าพอดี วันนั้นเขาเห็นซ่งชูอีในโรงสุรา เจินอวี๋ก็อยู่ด้วย แม้ว่าบัดนั้นความสนใจส่วนใหญ่ของเขาจะอยู่ที่ซ่งชูอี แต่เพราะว่ารูปร่างและบุคลิกของเจินอวี๋ต่างจากหญิงชาวฉิน อีกทั้งยังชอบใส่สีฟ้า เขามองเพียงแวบเดียวก็จำได้แล้ว
หิมะและน้ำแข็งที่ปกคลุมภายนอกก็ทำให้สมองของเขาสดชื่นขึ้น เขาคิดอย่างรวดเร็ว แล้วตัดสินใจฉวยโอกาสนี้เข้าจวนซ่ง เพื่อให้มั่นใจว่าซ่งชูอีเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ หากเป็นผู้หญิง เขาก็จะใช้เรื่องนี้ข่มขู่ ไม่เพียงแต่รักษาชีวิตนี้ไว้ได้ บางทีอาจได้รับความรุ่งเรืองและความมั่งคั่งด้วย หากโชคไม่ดีเดิมพันผิด เขาหนีได้ก็จะหนี หนีก็ไม่ได้ก็ทำได้เพียงยอมรับความผิด
แสวงหาความมั่งคั่งภายใต้ความเสี่ยง ที่น่าเสียดายคือเจินอวี๋ไร้เดียงสามาก เพียงแค่ประโยคสองประโยคก็ถูกหลอกเสียแล้ว ทว่าเขายังไม่ทันได้ดีใจก็มีคนพบศพของหลี่ว์เต๋อเฉิงในจวน ส่งเสียงเอะอะโวยวาย
บัดนี้หากคิดจะโกหกต่อไปก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ซือหม่าหวยอี้ดึงเจินอวี๋เข้ามาแล้วบีบคอไว้แน่น เหลือบมองไปที่ถนนด้านนอก เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “อย่าคิดเล่นตุกติก พาข้าไปที่จวนซ่งเสียโดยดี มิฉะนั้นข้าจะบีบคอนางให้ตาย!”
คนขับรถกล่าวด้วยน้ำเสียงแหลมสูง “ขอรับ ขอรับ ได้โปรดท่านผู้แข็งแรงเมตตา!”
กฎหมายเสียนหยางเข้มงวด มีทหารรักษาการณ์หนาแน่น แขกที่ปรึกษาของชูหลี่จี๋ถูกฆ่า คาดว่าไม่ถึงสองเค่อทั้งนครก็มีการเฝ้าระวังแล้ว อย่างไรเขาก็หนีไม่รอด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ โอกาสรอดชีวิตก็อยู่ที่ซ่งชูอีที่นั่นทีเดียว! หากซ่งชูอีไม่มีเจ้าโลกจริงๆ อย่างเลวร้ายที่สุดก็สามารถจับนางเป็นตัวประกันได้
บัดนี้ซือหม่าหวยอี้กำลังมีความคิดเยี่ยงผู้ร้ายที่กำลังหลบหนีโดยสมบูรณ์
อากาศหนาวเหน็บ ผู้คนที่สัญจรบนถนนมีน้อยยิ่ง ตามประตูและหน้าต่างของโรงสุราแต่ละแห่งล้วนแขวนม่านกันลมหนาเตอะไว้แล้ว อีกทั้งข้างในก็เสียงดัง แม้จะมีโอกาสร้องขอความช่วยเหลือก็ใช่ว่าจะมีคนได้ยิน ภายใต้สถานการณ์จนปัญญานี้ คนขับรถทำได้เพียงเดินทางต่อ
ภายในจวน ซ่งชูอีรู้สึกเวียนศีรษะ หลังจากกินยาแล้วก็นอนลง
“ฟ้ามืดแล้วรึ?” ซ่งชูอีลืมตามอง “เหตุใดจึงไม่จุดตะเกียง?”
หนิงยากำลังร้อนใจว่าเหตุใดเจียนยังไม่กลับมาสักที ครั้นได้ยินคำถามของซ่งชูอีก็มีสีหน้าตระหนกตกใจ รีบยื่นมือโบกๆ ตรงหน้าซ่งชูอี “ท่านเห็นแล้วหรือยังเจ้าคะ?!”
“ยัง” ซ่งชูอีตอบอย่างหมดแรง บัดนี้นางรู้สึกเวียนศีรษะ ปวดแสบปวดร้อนอยู่ในโพรงจมูก ราวกับว่าสามารถเลือดออกได้ทุกเมื่อ
“ข้างนอกเวลานี้มีหิมะตก เดิมทีก็มืดอยู่แล้ว อีกทั้งประตูก็ปิดไว้ บ่าวจะจุดตะเกียงเพิ่มเจ้าค่ะ” หนิงยาวิ่งเหยาะออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว จุดแท่งไฟแล้วจุดตะเกียงทุกดวงภายในบ้าน “ตอนนี้ท่านเห็นแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
ซ่งชูอีหรี่ตา แทบจะมองไม่เห็นสีที่ผสมอยู่ด้วยกันตรงหน้าเลย ดีกว่าคนตาบอดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าหนิงยาก็ช่วยอะไรไม่ได้ พูดออกมารังแต่จะทำให้นางเป็นกังวล “มองเห็นแล้ว”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” หนิงยาถอนหายใจแล้วกลับไปที่ข้างเตียง “ท่านนอนสักครู่เถิด เจียวเจียวกับเจียนต่างไปหาองค์ชายจี๋แล้ว รอหมอหลวงมาแล้วค่อยวินิจฉัยท่านอีกที”
ความยากลำบากทำให้คนขี้ขลาดหมดหวังและทำให้คนที่เข้มแข็งเติบโตขึ้น ซ่งชูอีดีใจมากที่ตัวเองมองคนไม่ผิด หนิงยาขี้ขลาดต่อหน้านาง ทว่าครั้นถึงช่วงเวลาสำคัญก็ไม่ต้องมีคำแนะนำแล้ว นางไม่พลาดโอกาสที่จะชื่นชม “ครั้งนี้เจ้าทำได้ดีมาก รู้จักจัดการกับเรื่องที่สำคัญก่อน ครั้นถึงเวลาที่เจ้าต้องตัดสินใจก็มีความแน่วแน่ไม่ต้องโลเล!”
“ท่านไม่ได้หลับหรือเจ้าคะ?” หนิงยาเอ่ยด้วยความประหลาดใจ
ซ่งชูอียิ้มน้อยๆ นางเพียงหมดสติไปชั่วครู่ ต่อมาเพราะว่าเสียเลือดมากไปจึงรู้สึกเวียนศีรษะราวกับโลกทั้งใบหมุนคว้าง ไม่ต้องการขยับตัวก็เท่านั้น