กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 259 นางก็อยากชน
แม่ทัพใหญ่เป็นเป็นข้าราชการสูงสุดในบังคับบัญชาของสามเหล่าทัพ เทียบเท่ามหาเสนาบดี ไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งค่าเบี้ยที่สูงลิ่ว อย่างไรก็ดีหากกงซุนเหยี่ยนกล่าวว่าจะปล่อยก็ปล่อย แสดงให้เห็นว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งเหล่านี้เลย หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขามั่นใจในความสามารถของตนว่าจะไม่เลวร้ายไปกว่านี้ไม่ว่าจะไปที่รัฐใด
ซ่งชูอีพิจารณาก่อนเอ่ยว่า “ฝ่าบาทสั่งให้คนสังหารเขาเถิด”
อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว ชูหลี่จี๋กับจางอี๋มองนางด้วยความงุนงง เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล บัณฑิตไปมาได้อย่างอิสระ หากกงซุนเหยี่ยนออกจากรัฐฉินแล้วถูกสังหาร อย่าว่าแต่นานารัฐจะขุดคุ้ยเรื่องนี้เลย บัณฑิตใต้หล้าก็จะยิ่งหวาดกลัว ภายภาคหน้าใครจะกล้าเข้ามารับราชการในฉินง่ายๆ?
บัดนั้นเว่ยอ๋องกล้าสังหารซ่งชูอีอย่างเปิดเผย เป็นเพราะว่านางมีความผิดในขณะที่ไปเจรจาหว่านล้อมก่อน บัดนี้กงซุนเหยี่ยนอยู่ในรัฐฉิน ไม่เพียงไม่มีความผิดทั้งยังเป็นขุนนางผู้ยิ่งใหญ่ รัฐฉินไม่เพียงไม่สามารถสังหารกงซุนเหยี่ยนได้ ทั้งยังต้องรับประกันความปลอดภัยของเขาในอาณาเขตฉิน ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถสะท้อนความใจกว้างของต้าฉินได้
“นิสัยของซีโส่วดื้อรั้น หากรัฐฉินไม่ใช้เขา ก็เป็นได้เพียงศพเท่านั้น” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าการปล่อยเขาไปอาจไม่ใช่เรื่องดี”
อิ๋งซื่อขมวดคิ้ว ทันใดนั้นในใจก็มีนัยแห่งความชัดเจน
ซ่งชูอีเอ่ย “กลุยทธ์ของกงซุนเหยี่ยนมีเป้าหมายในการยึดครองใต้หล้า แม้ว่าเขาเปี่ยมด้วยความสามารถแล้วอย่างไรเล่า? บัดนั้นฉีอ๋องครองราชย์ตั้งแต่ยังพระเยาว์ เฉลียวฉลาดกล้าหาญ ทั้งยังมีความสามารถในการอ่านคนและใช้คน ทำให้รัฐฉีแข็งแกร่งขึ้นจวบจนปัจจุบันภายในระยะเวลาหลายสิบปี เรียกได้ว่าเป็นยุคแห่งวีรบุรุษ ทว่าบัดนี้ ฉีอ๋องหยุดความปรารถนาในชีวิตแล้ว ลูกหลานตายจาก ความรุ่งเรืองของรัฐฉีเกรงว่ามาถึงจุดจบแล้ว ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่ายุทธศาสตร์ของรัฐหนึ่งไม่เพียง แต่เป็นแนวทางปฏิบัติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระยะยาวด้วย”
ฉีอ๋องต้องการที่จะยึดครองใต้หล้า ไม่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่กว่านี้แล้ว มิฉะนั้นความสามารถของเขาคงจะไม่หยุดเพียงแค่นั้น
“เซ่าซ่างเจ้ากล่าวมีเหตุผล” อิ๋งซื่อพยักหน้า แม้กงซุนเหยี่ยนจากไปจะน่าเสียดาย ทว่าเขาไม่สามารถรวบรวมผู้ที่มีความสามารถทั้งหมดมาใช้ที่รัฐฉินได้ เพียงแต่นิ่งไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยด้วยความกังวล “แม่ทัพใหญ่คนใหม่ของรัฐเว่ยจิ้นปี่เป็นนายพลผู้กล้าคนหนึ่ง รวมกับกงซุนเหยี่ยน…”
เมื่อจิ้นปี่ยังหนุ่มเขาได้ปกป้องเหอซีกับแม่ทัพหลงเหล่าผู้ล่วงลับ ทำสงครามกับชาวฉินบ่อยครั้ง เขาไม่เพียงกล้าหาญทั้งยังเก่งกาจด้านการวางกลยุทธ์ เป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งบุ๋นและบู๊คนหนึ่ง เนื่องจากสุดท้ายแม่ทัพหลงเหล่าเสียชีวิตในสงคราม เหอซีจึงถูกฉินยึดกลับมา เขาจึงถูกศัตรูทางการเมืองปราบปรามเป็นเวลาเจ็ดถึงแปดปี ไม่กี่เดือนก่อน แม่ทัพก่อนคนถูกกงซุนเหยี่ยนจับเป็นเชลย ฆ่าตัวตายจากความอัปยศอดสู เว่ยอ๋องจึงนึกถึงความดีของเขาขึ้นมา
“หากกล่าวถึงการนำทัพต่อสู้เพียงอย่างเดียว กงซุนเหยี่ยนสู้กั๋วเว่ยไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ” จางอี๋กล่าวประเมิน มิใช่ว่าเขาจงใจพูดเช่นนี้ต่อหน้าอิ๋งซื่อ กงซุนเหยี่ยนมาจากสำนักจ้งเหิง แน่นอนว่าความแข็งแกร่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่การต่อสู้
ชูหลี่จี๋ยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “หากกั๋วเว่ยยังไม่สามารถทำให้ฝ่าบาทวางพระทัยได้ ก็ยังมีอีกคนมิใช่หรือ?”
อิ๋งซื่อแสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย “เซ่าซ่างเจ้าก็เชี่ยวชาญด้านพิชัยยุทธรึ?”
หากไม่เชี่ยวชาญ ชูหลี่จี๋ก็คงไม่กล้าเอ่ยออกมา บัดนั้นซ่งชูอีเดินทางหว่านล้อมให้ห้ารัฐโจมตีเว่ย เรียบเรียงกลยุทธ์ถวายแด่องค์จักรพรรดิและยังวางแผนปั่นป่วนปาสู่ ดังนั้นอิ๋งซื่อคิดว่านางเก่งในด้านสำนักจ้งเหิงมากกว่า
ซ่งชูอีเห็นอาการของอิ๋งซื่อก็รู้แล้วว่าเขาไม่เคยสอดแนมจวนของนาง ในใจคิดว่าโชคดีที่เขาเพียงแค่ชอบถือวิสาสะเดินเข้าไปในจวนเท่านั้น มิได้ถ้ำมองแต่อย่างใด
“ไม่ปิดบังฝ่าบาท กระหม่อมกำลังร่างตำราพิชัยยุทธที่เหมาะสมกับรัฐฉิน ไม่ช้าก็จะสมบูรณ์แล้ว” ครั้นถึงเวลาที่นางออกโรง แน่นอนว่านางก็ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ
“เยี่ยมมาก!” ทันใดนั้นรอยยิ้มร่าเริงก็ผลิบานบนใบหน้าของอิ๋งซื่อ สีหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อยก็มีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
บรรยากาศภายในห้องอบอุ่นขึ้นทันใด จางอี๋กล่าวขึ้นอย่างเอาใจใส่ “สีหน้าฝ่าบาทไม่สู้ดี ต้องถนอมพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ!”
จางอี๋เอ่ยความคิดที่จะอาจทำให้ผู้บังคับบัญชาขุ่นเคือง เขาเริ่มแสดงผลงานได้อย่างยากลำบาก ย่อมไม่ต้องการให้องค์จวินผู้กล้าหาญนี้เป็นอะไรไปเสียก่อน
อิ๋งซื่อดูผ่อนคลายเป็นอย่างมาก มองจางอี๋และชูหลี่จี๋อย่างมีนัยยะแอบแฝงพร้อมเอ่ยว่า “อืม ในที่สุดก็จะได้เป็นอิสระสักที! ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองทำได้ดีมาก กว่าเหรินจะไปแช่น้ำร้อนที่จวนซ่งจื่อเสียหน่อย”
พูดพลางก็ลุกขึ้น
ทั้งสามคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยา อิ๋งซื่อก็ล้อเล่นเสียแล้ว! หลังจากตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นยืน และออกจากหออักษรพร้อมกับเขา
ซ่งชูอีไม่มีงานพอดี ดังนั้นจึงออกจากวังและกลับจวนไปพร้อมกับอิ๋งซื่อ
นั่งอยู่ในรถม้าที่กว้างขวาง อิ๋งซื่อกึ่งพิงอยู่บนที่พักแขนโดยมือข้างหนึ่งหนุนศีรษะ ไม่ช้าก็หลับไป ซ่งชูอีละสายตากลับมาจากนอกหน้าต่าง จ้องมองเขาอย่างไร้ยางอาย
หลังจากหลับไปแล้ว ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชานั้นอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าไร้ความสง่างาม ใต้ตามีรอยคล้ำเล็กน้อย ความรู้สึกเปราะบางเช่นนี้ถูกคิ้วคมกริบคู่นั้นและริมฝีปากบอบบางทำลายจนหมดสิ้น
จนกระทั่งรถม้าหยุดลง ร่างกายไหวเอน อิ๋งซื่อจึงลืมตาขึ้นช้าๆ
ความสะลึมสะลืมหลังตื่นนอนผ่านวูบไป ดวงตาดุจนกอินทรีกลับมากระจ่างใสขึ้นในทันที “ถึงแล้วรึ?”
ยังไม่สาแก่ใจเลยสักนิด ซ่งชูอีแอบสบถ ทว่าปากกลับกล่าวอย่างนอบน้อม “ถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองคนลงจากรถม้า เดินตามกันเข้าไปในจวน
ท่าทางตรงไปตรงมาของอิ๋งซื่อนั้นทำให้ผู้เฝ้าประตูหลักตะลึงจนไม่กล้าส่งเสียง ซ่งชูอีเดินตามอยู่ข้างหลัง คิดในใจว่า เขามาแช่น้ำร้อนที่จวนของข้าที่ไหนกันเล่า มันตรงกันข้ามกันต่างหาก
โชคดีที่อิ๋งซื่อเป็นคนสบายๆ เดินทางมาคราวนี้ก็พาแค่ขันทีเถามาเท่านั้น และมิได้เรียกคนในจวนของซ่งชูอีปรนนิบัติ
หลังจากที่เจินอวี๋ย้ายออก หมี่จีก็สั่งให้คนเก็บกวาดจวนหลักอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ข้าวของเครื่องใช้ในห้องนอนกับห้องหนังสือล้วนเปลี่ยนใหม่ และเชิญซ่งชูอีไปพักที่ลานหลัก
การตกแต่งในห้องนอนเรียบง่ายและสงบ ไม่มีความหรูหราเลยแม้แต่น้อย ห้องหนังสือใหญ่กว่าลานด้านหน้าเท่าตัว มองจากภายนอกก็เหมือนการตกแต่งธรรมดา เพียงแต่หลังจากซ่งชูอีอยู่ที่นั่นสองวันก็สังเกตเห็นข้อดี ทุกอย่างที่นี่ถูกจัดสรรอย่างลงตัว หยิบใช้ได้สะดวกยิ่ง สำหรับซ่งชูอีแล้ว จุดสำคัญของห้องหนังสือคือการใช้งานได้จริง
จากการทำงานคราวนี้ ซ่งชูอีพึงพอใจหมี่จีมาก
อิ๋งซื่อไปแช่น้ำ ซ่งชีเข้าไปในห้องหนังสือ วางกระดานหมากรุกไว้ที่ระเบียงในลานบ้าน จัดเรียงกระดานเหมือนที่เล่นกับเจ้าอี่โหลวเมื่อวานอีกครั้ง บ้านหลังนี้มีประตูสองด้าน ด้านหนึ่งหันไปทางลานด้านหลังซึ่งมีทิวทัศน์งดงาม อีกด้านหนึ่งหันไปลานด้านหน้าซึ่งสบายที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่ตอนนี้หนาวเป็นอย่างยิ่ง
“ท่านเจ้าคะ!” หนิงยาวิ่งเข้ามาด้วยความเร่งรีบ กล่าวด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่หมี่จีไม่ระวังชนกับฝ่าบาทเข้า”
“เกิดเรื่องอะไร?” ซ่งชูอีวางตัวหมากลง เอ่ยถามเรียบๆ
“พี่หมี่จีกำลังตรวจนับของอยู่ในห้องเก็บของ เป็นไปได้ว่าตอนที่ออกมาก็ไปที่ห้องน้ำเพื่อตักน้ำมาอาบ…สุดท้าย…” ฟันของหนิงยาสั่นเทา นางกลัวอิ๋งซื่อเป็นที่สุด
หนิงยายังพูดไม่ทันไร ด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังตึ่งๆๆ
“หมี่จีขอพบท่านเจ้าค่ะ” น้ำเสียงของนางเผยความไม่สบายใจเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ
“เข้ามาเถิด” ซ่งชูอีโยนตัวหมากทั้งหมดลงกลับไปในถ้วย
หมี่จีเข้ามา คุกเข่าลงตรงหน้าซ่งชูอี ปกติแล้วเพื่อทำงานได้สะดวกขึ้น นางจะสวมเสื้อผ้าที่คล่องตัวของผู้ชาย ทว่าเพียงแวบเดียวก็ยังมองออกว่าเป็นผู้หญิงที่หน้าตางดงามมาก
“เชี่ยไม่รู้ว่ามีแขกอยู่ในห้องอาบน้ำ ชนกับแขกผู้สูงส่งเข้า ได้โปรดท่านลงโทษด้วย” หมี่จีก้มหน้าเอ่ย
ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อ ฝืนยิ้ม “เขาไม่ได้ใส่เสื้อผ้า เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็นผู้สูงส่ง”
ในเวลานี้ นางผู้แซ่ซ่งก็อยากเข้าไปชนกับเขาสักหน่อยเหมือนกัน!