กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 267 ศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว!
ซ่งชูอีเอ่ย “ผลงานอันยิ่งใหญ่เป็นผลมาจากความพยายามนับสิบหรือร้อยปี ฝ่าบาทควรรักษาสุขภาพก่อน”
อิ๋งซื่อพยักหน้า เปลี่ยนหัวข้อ “ทั้งสองท่านมีเรื่องอะไร?”
ชูหลี่จี๋เอ่ย “บัดนี้ต้าฉินยึดครองปาสู่ได้ร่วมครึ่งปีแล้ว อีกทั้งยังดำเนินการกำกับดูแล ทว่าน่าเสียดายที่กำลังไม่พอ จึงไม่สามารถหล่อหลอมปาสู่เข้ากับรัฐฉิน เรื่องนี้มิใช่ความพยายามเพียงหนึ่งหรือสองวัน กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยลงทุนแก้ไขปาสู่โดยเร็วที่สุด”
“กั๋วเว่ยมีแผนใด?” อิ๋งซื่อมองตรงไปที่ซ่งชูอี
บัดนี้เว่ยฉู่สองรัฐกำลังเตรียมจับมือกันเพื่อต่อต้านฉิน แม้ซ่งชูอีจะรู้ว่าเรื่องนี้ไม่มีทางประสบความสำเร็จ ทว่าหลังจากนี้ไม่นาน รัฐเว่ยก็จะยกทัพโจมตีฉิน แนวป้องกันฉินจะต้องไม่มีช่องว่าง อย่างไรก็ดีตามที่ชูหลี่จี๋กล่าว การแก้ไขปาสู่ใช่ว่าเป็นความพยายามเพียงสั้นๆ ทว่าก็ไม่สามารถยื้อต่อไปได้ ยิ่งยื้อจะยิ่งวุ่นวาย
“กระหม่อมได้เริ่มดำเนินการระบบทหารใหม่กับบรรดาทหารที่ได้รับคัดเลือกใหม่ในปีนี้แล้ว จำต้องดำเนินการไประยะหนึ่งก่อนที่จะปล่อยพวกเขาไปเจอประสบการณ์ที่ปาสู่ กระหม่อมขออนุญาตไปกำกับดูแลเอง” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย
ชูหลี่จี๋เผยสีหน้าประหลาดใจ เขาไม่เคยได้ยินซ่งชูอีเอ่ยถึงเรื่องนี้เลย
อิ๋งซื่อเอ่ย “ว่ามาให้ละเอียด”
“รัฐฉู่ยึดครองดินแดนของรัฐปา การอยู่ต่อจะเป็นหายนะ อย่างไรก็ดีเวลาสู้รบยังมาไม่ถึง สามารถพาทหารใหม่ไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมก่อน เพื่อช่วยในการแก้ไขกิจการของรัฐบาลปาสู่ รอโอกาสขับไล่กองทัพฉู่” ซ่งชูอีกล่าว
ชูหลี่จี๋ครุ่นคิดครู่หนึ่ง รู้สึกว่าการพิจารณาของซ่งชูอีมีเหตุผลมาก “ทหารคัดเลือกใหม่จะไม่ดึงดูดการระวังตัวของรัฐฉู่มากนัก เพียงแต่หวยจินจะไปไม่ได้ ผู้ที่รัฐฉู่ส่งมาประจำการในรัฐปาคือศิษย์ของเจ้าหลงกู่ปู้วั่ง นับว่าเป็นคนที่เจ้ารู้จักเป็นอย่างดี หากเจ้านำทัพด้วยตัวเอง เขาจะไม่ระวังตัวได้อย่างไร?”
“ตามแต่ฝ่าบาทตัดสินใจพระทัย” ซ่งชูอีกับชูหลี่จี๋ก็เห็นพ้องกันอยู่บ้าง
“ให้ข้าคิดก่อน” หากปล่อยให้ซ่งชูอีไปปาสู่ ในขณะนี้อิ๋งซื่อก็ไม่พบคนที่เหมาะสมในการดูแลกิจการทหารแล้วจริงๆ
“ฝ่าบาทพักผ่อนให้มากๆ ด้วย” ชูหลี่จี๋เอ่ยกำชับ
“อืม” อิ๋งซื่อตอบรับ ส่งสัญญาณให้พวกเขาออกไปได้แล้ว
ทั้งสองคนออกไปจากหอคอย ชูหลี่จี๋อดที่จะถามซ่งชูอีไม่ได้ “จะไปปาสู่เรื่องใหญ่เช่นนี้ เหตุใดถึงไม่บอกข้าก่อนเล่า”
“ก็หาโอกาสอยู่ตลอดมิใช่รึ?” ซ่งชูอียิ้มพลางเปลี่ยนหัวข้อ “สุขภาพของฝ่าบาทไม่เป็นไรจริงหรือ?”
ชูหลี่จี๋ถอนหายใจ “เพราะว่าเหนื่อยไม่ใช่รึ? บัดนี้มีสี่คนแบ่งปันกิจการของรัฐ กิจการที่พวกเรารับมาล้วนกองสุมดุจภูเขา กดทับจนแทบหายใจไม่ออก จินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าหลายปีก่อนหน้านี้ฝ่าบาทผ่านมาได้อย่างไร”
โดยเฉพาะหลังจากที่อิ๋งซื่อจัดการตระกูลเก่าแก่ด้วยความเฉียบขาดแล้ว พระราชสำนักก็ว่างเปล่าทันใด ร่างกายของเขาจึงเหนื่อยล้าในช่วงเวลานั้น
“การจัดการกับตระกูลเก่าแก่ เมื่อถึงเวลาแล้วก็ต้องเฉือนความวุ่นวาย นี่เป็นสิ่งที่ไม่มีทางเลือก ต่อไปพวกเราก็แบ่งหน้าที่กันเยอะหน่อย ให้ฝ่าบาทได้มีเวลาพักผ่อนบ้าง” ซ่งชูอีเอ่ย
ชูหลี่จี๋ค่อนข้างเห็นด้วย “ใช่ ควรพักผ่อนเสียหน่อย จนป่านนี้แล้วฝ่าบาทยังไร้ผู้สืบทอดก็ไม่ใช่ทางออก”
ในสมัยนี้ อายุขัยเฉลี่ยของคนอยู่ที่สี่สิบกว่าปี ไม่รวมผู้ที่ตายในสนามรบ เพียงตระกูลสูงศักดิ์ที่กินหรูอยู่สบาย อายุหกเจ็ดสิบก็นับว่ามีอายุยืนยาวขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อแล้ว เหล่าจวินในรัฐต่างๆ ที่ขยันทรงงานล้วนไม่มีใครอยู่เกินหกสิบห้าปี
“พี่ใหญ่ก็เหมือนกัน! รีบแต่งพี่สะใภ้ให้ข้าได้แล้วกระมัง ทว่าหากเป็นผู้หญิงทั่วไปข้าไม่เห็นด้วย” ซ่งชูอีเย้าเล่น
เมื่อเห็นว่าออกจากประตูวังแล้ว ชูหลี่จี๋ก็หัวเราะเสียงดัง “ข้าจะไปหาคนไม่ธรรมดาให้เจ้าได้ที่ไหนกัน! ว่าแต่เจ้า…”
แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่รังเกียจที่ซ่งชูอีเป็นผู้หญิง ทว่าก็สิ้นเปลืองพลังงานไปกับความวุ่นวายอันไม่จำเป็นเพื่อปกปิดมัน นางทำได้เพียงเลือกที่จะซ่อนเร้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้จึงหมดหวังในการออกเรือนมีลูกแล้ว ครั้นคิดว่าซ่งชูอีเสียสละมากเหลือเกิน หัวใจของชูหลี่จี๋ก็ปวดร้าวเป็นอย่างมาก กระซิบเสียงเบา “วันหน้า พี่ใหญ่จะจัดพิธีจี๋จีให้เจ้าก็แล้วกัน หรือไม่ก็เชิญจวงจื่อทำพิธีจี๋จีให้เจ้า เจ้าเกิดวันไหน?”
ซ่งชูอีหัวเราะร่า “ชื่อของข้าก็บอกไว้แล้วไม่ใช่รึ? อิ่นเยวี่ย (เดือนหนึ่ง) ชูอี (วันที่หนึ่ง)”
ชูหลี่จี๋กล่าวอย่างละอายใจ “เพราะพี่ใหญ่ละเลยแล้ว”
“อายุจี๋จีผ่านไปแล้ว จะทำตามคนอื่นไปทำไมกัน อาจารย์ก็ทำพิธีสวมเครื่องกวนให้ข้าแล้ว” ซ่งชูอีไม่ใส่ใจเลยสักนิด
“สวมเครื่องกวน?” ชูหลี่จี๋แปลกใจ คิดในใจว่าจวงจื่อเป็นคนที่ประหลาดจริงๆ ไม่เพียงเลี้ยงดูซ่งชูอีเหมือนเด็กผู้ชายคนหนึ่ง แม้แต่พิธีจี๋จีหรือสวมเครื่องกวนก็ทำตามอำเภอใจแล้ว
พิธีสวมเครื่องกวนเป็นพิธีที่แสดงว่าเด็กผู้ชายเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ โดยทั่วไปแล้วจะทำกันในช่วงอายุยี่สิบปี ทว่าก็มีข้อยกเว้น ตอนนั้นซ่งชูอีเข้าพิธีสวมกวนในวัยจี๋จี จากนั้นก็หอบสัมภาระใบเล็ก ลงจากเขาเพื่อไปทำมาหากินโดยไม่เกรงกลัวแล้ว
“ในเมื่อเป็นเรื่องของหลักธรรมนองคลองธรรม จะพลาดได้อย่างไร พี่ใหญ่หวังว่าเจ้าจะได้สัมผัสกับทุกอย่าง ได้ครอบครองทุกสิ่ง ไม่มีความเสียใจใด” ชูหลี่จี๋ตบๆ ไหล่ของนาง “งั้นตามนี้ก็แล้วกัน”
ซ่งชูอีโน้มศีรษะเข้าไปใกล้เขา กระซิบเสียงเบา “หากครอบครองทุกสิ่ง…ท่านว่าข้าแต่งกับภรรยาแสนสวยสักคนก่อน จากนั้นก็แต่งงานใหม่พร้อมภรรยาดีหรือไม่?”
ชูหลี่จี๋มองดูสีหน้าโหยหาของนาง ถามอย่างระมัดระวัง “หรือว่าหวยจินก็ชอบผู้หญิง?”
ชูหลี่จี๋ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้หญิงชอบผู้หญิง ทว่าในเมื่อมีเรื่องรักตัดแขนเสื้อ[1]…
ซ่งชูอีส่ายหน้า
ชูหลี่จี๋ถอนหายใจ กลับได้ยินนางกล่าวว่า “ข้าเพียงชอบผู้หญิงที่สวยงามและฉลาด”
ชูหลี่จี๋ตกตะลึง
“ฮ่าฮ่า!” ซ่งชูอีเห็นท่าทีงงงวยของชูหลี่จี๋ที่พบเห็นไม่ได้บ่อยนัก อดที่จะหัวเราะท้องแข็งมิได้
ชูหลี่จี๋ดึงสติกลับมา ยิ้มอย่างจนปัญญา หยิบกระบอกไม้ไผ่อันหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “ช่างเถิด ไม่ต่อปากต่อคำกับเจ้าแล้ว นี่เป็นข่าวล่าสุดจากรัฐเว่ย วันนี้ข้าได้พบกับมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย เขาฝากข้าเอามาให้เจ้า”
เนื่องจากเพิ่งมีการแต่งตั้งตำแหน่งมหาเสนาบดี โดยเฉพาะมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายที่ดูเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตภายนอกรัฐ ระบบการบริหารยังไม่สมบูรณ์แบบ จางอี๋จะต้องอ่านบันทึกทางการทูตของรัฐฉินย้อนกลับไปในสมัยมู่กงรวมถึงเทียบรัฐทั้งหมด งานยุ่งจนหัวหมุน ไม่มีเวลาพักผ่อนเลย
“ขอบคุณพี่ใหญ่” ซ่งชูอีรับกระบอกไผ่มาแล้วยัดเข้าไปในแขนเสื้อ
ทั้งสองคนต่างมีภารกิจยุ่งเหยิง จวนของพวกเขาตั้งอยู่ตรงข้ามกันจึงบอกลาตรงปากทางแยก
ตอนพลบค่ำ
ซ่งชูอีกลับมาถึงจวนก็เห็นบ่าวรับใช้เฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ พลิกตัวลงจากม้า โยนบังเหียนและแส้ให้เขาพลางเอ่ยถามว่า “มีอะไร?”
ซ่งชูอีงานยุ่ง เวลากลับจวนไม่แน่นอน โดยปกติแล้ว บ่าวรับใช้จะรออยู่ข้างใน
“เรียนนายท่าน มีแขกมาที่จวน ขณะนี้กำลังดื่มชาอยู่ในห้องโถงหลัก บอกว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของท่าน” บ่าวรับใช้ค้อมตัวกล่าว
ซ่งชูอีโซเซ บ่าวรับใช้รีบยื่นมือไปประคองนาง
“เจ้าว่าใครนะ?” ซ่งชูอีถามอย่างเหลือเชื่อ
“ศิษย์พี่ใหญ่ของท่าน เว่ยเต้าจื่อ” บ่าวรับใช้ตอบด้วยน้ำเสียงนอบน้อม
ซ่งชูอีสะบัดมือของเขา ก้าวเท้าเดินฉับๆ เข้าไปข้างใน ตรงไปยังห้องโถงหลัก
ครั้นมาถึงหน้าประตูก็อดไม่ได้ที่จะลดฝีเท้าลง ยืนอยู่ข้างประตูพลางมองคนในห้องคนนั้นที่กำลังคว้าตัวหนิงยาไม่ปล่อย เขาสวมเสื้อคลุมสีเทาเข้ม อายุราวๆ ยี่สิบสี่ยี่สิบห้าปี ผมยุ่งเหยิงถูกมัดเป็นมวย โดยใช้ปิ่นไม้จันทน์อันหนึ่งปักไว้ ปลายหนวดสองข้างตวัดขึ้น รูปลักษณ์สะอาดสะอ้าน ทว่าท่าทางหื่นกระหายนั้นไม่ได้ดูเป็นคนดีเลย
ซ่งชูอีข่มอารมณ์พุ่งพล่านไว้ในใจ กระแอมไอทีหนึ่งแล้วเดินเข้าไปในห้อง
เว่ยเต้าจื่อหันมา สำรวจซ่งชูอีเล็กน้อย เอ่ยด้วยความสนิทสนมเป็นอย่างยิ่ง “ศิษย์น้องเล็กสินะ มาๆๆ มาให้ศิษย์พี่ใหญ่ได้มองหน้าหน่อย”
พูดพลางไม่รอให้ซ่งชูอีเข้ามาก็ลุกขึ้นเดินไปหานาง โน้มดูใบหน้าของนางใกล้ๆ อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงจิ๊ออกมา “หน้าตาเช่นนี้ช่างเป็นที่ละอายแก่สำนักจริงๆ!”
ซ่งชูอีดึงยิ้มมุมปาก ผลักใบหน้าของเขาออกไปครึ่งฉื่อ “ท่านอย่ามองใกล้แบบนี้ ทุกคนในใต้หล้าเป็นหญิงงามหรืออย่างไรกัน มองแค่นี้ก็พอกระมัง”
สายตาของเว่ยเต้าจื่อมีปัญหาเล็กน้อย มองไกลๆ ไม่เห็น
“เอ๊ะ? เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไรกัน?” เว่ยเต้าจื่อเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “หรือว่ายิ่งอาจารย์อายุมากก็ยิ่งปากสว่าง?”
ซ่งชูอีมองค้อนเขา “มีคนไม่เคารพอาจารย์เช่นท่านด้วยรึ!”
เว่ยเต้าจื่อไม่สนใจเลยสักนิดว่านางกำลังพูดอะไรอยู่ หรี่ตาแล้วจุ๊ปาก “สาวใช้ในบ้านของเจ้าหน้าตาดีจริงๆ! อกใหญ่เอวบาง จุ๊จุ๊ ใบหน้าเล็กๆ นั้น…ใส่ชุดผู้ชายแล้วยิ่งให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป”
ซ่งชูอีนั่งลงบนที่นั่ง ยื่นมือเคาะๆ บนโต๊ะ ขัดจังหวะความคิดต่ำช้าของเขา “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้ามีอะไรรึ?”
เว่ยเต้าจื่อไอแห้งทีหนึ่ง จัดกระชับเสื้อผ้า นั่งลงด้วยความยับยั้งชั่งใจ ท่าทางที่แสร้งข่มขู่ผู้คนเช่นนั้น แม้แต่วาจาที่เอ่ยออกมาก็ยังเป็นคำที่ไร้อารยะ “เมื่อเดือนที่แล้วข้าทำนายดวงเพื่อติดตามกุ่ยกู๋จื่อ แล้วพบว่าเขาอยู่ในเสียนหยาง คิดตามหาเขาให้พบโดยเร็วที่สุด เจ้าก็รู้ว่าเขาอายุมากแล้ว นอกประสบเคราะห์ร้ายนอกสำนัก คนของสำนักกุ่ยกู่ไม่กินข้าหรอกหรือ? ข้าได้ยินมาว่ามีศิษย์น้องผู้หนึ่งได้เป็นถึงกั๋วเว่ยแห่งรัฐฉิน จึงตั้งใจมาหา อยากให้เจ้าช่วยข้าตามหาเขา”
“ฮ่า เวลานัดหมายคงใกล้เข้ามาแล้วสินะ?” ซ่งชูอีเอ่ยอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น
“อาจารย์บอกเจ้าแม้กระทั่งเรื่องนี้รึ?” เว่ยเต้าจื่องงเป็นไก่ตาแตก อาจารย์ไม่ใช่คนที่ขี้นินทาเช่นนี้เสียหน่อย!
ซ่งชูอีพยักหน้า “ตอนที่ท่านกระทำเรื่องนั้นกับป้าชาวประมงในป่าเล็กๆ ของหมู่บ้านใต้หุบเขา เสื้อคลุมถูกลมพัดปลิวไป จากนั้นจึงหลบอยู่ในป่าสองชั่วยาม ก่อนที่จะอาศัยตอนกลางคืนกลับไปบนภูเขาด้วยร่างที่เปลือยเปล่า ที่จริงคืนนั้นแสงจันทร์สว่างไสว อาจารย์กับศิษย์คนอื่นล้วนเห็นกันหมดแล้ว ทุกคนล้วนคิดว่าท่านใจกว้างมากที่เปลือยกายในยามราตรี”
ที่จริงซ่งชูอีเป็นคนขโมยเสื้อคลุมนั้น และก็เป็นนางที่รวบรวมผู้คนเพื่อปีนขึ้นไปชมฉากนั้นบนหลังคา นางเพียงอยากรู้ว่า ในขณะที่โลกใบนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง เรื่องเหล่านี้จะยังมีอยู่หรือไม่
“เรื่องนี้…อาจารย์ยิ่งไร้กฎเกณฑ์ขึ้นทุกทีแล้ว” เว่ยเต้าจื่อหัวเราะเสียงดัง เปลี่ยนหัวข้อ “ข้าได้ยินว่าเจ้าฝังสุราดอกบ๊วยอยู่ในลาน ประเดี๋ยวตอนที่กินข้าวอย่าลืมเอาให้ข้าสองไหล่ะ”
ซ่งชูอีเหลือบมองหนิงยาแต่มิได้โทษนาง อันที่จริงผู้หญิงที่สามารถเก็บความลับได้ภายใต้การล่อลวงของเว่ยเต้าจื่อมีน้อยจนนับนิ้วได้
หนิงยาทำอะไรไม่ถูกไปนานแล้ว เมื่อครู่ยังเป็นปรมาจารย์ระดับเซียนอยู่เลย เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นพวกอันธพาลเสียแล้ว!
เว่ยเต้าจื่อแอบรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอซ่งชูอี วาจาและการกระทำต่างถูกจังหวะจะโคนราวกับรู้จักมาสิบกว่าปีแล้ว คนธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเข้าใจความหลุดโลกของเขาได้เลยนี่นา?!
“ศิษย์น้องเล็กไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่แม้หน้าตาจะดูไม่ได้ อาจารย์ก็ไม่เคยรังเกียจ” เว่ยเต้าจื่อยกย่องอย่างจริงใจ
ซ่งชูอีรู้สึกสลับซับซ้อนในใจ กล่าวได้ว่าจวงจื่อมีอิทธิพลต่อแนวคิดในชีวิตของนาง เว่ยเต้าจื่อก็มีอิทธิพลต่อนางจากทุกด้านของชีวิต ในอดีตไม่ว่าเขาจะไล่ตามหญิงงาม หรือทำเรื่องอย่างว่าในป่าเล็กๆ หรือได้ยินว่าที่ใดมีหญิงงามก็จะพานางเดินทางแปดลี้สิบลี้เพื่อให้เห็นสักครา…ความทรงจำในวัยเด็กของนางหกถึงเจ็ดส่วนล้วนมีแต่เรื่องเหล่านี้
[1] รักตัดแขนเสื้อ เป็นสำนวนของจีนสื่อถึงพฤติกรรมรักร่วมเพศ โดยมีเรื่องเล่าว่าฮ่องเต้ฮั่นอายกับหนุ่มคนรักต๋งเสี่ยนที่กำลังนอนหลับอยู่ด้วยกัน ต๋งเสี่ยนนอนทับแขนเสื้อของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ไม่อยากปลุกให้คนรักตื่นจึงทรงตัดชายเสื้อออกแล้วลุกขึ้น