กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 275 วางอุบายโตกลับอย่างเปิดเผย (2)
“ความแค้นระหว่างข้ากับหมิ่นฉือนั้นทุกคนต่างรู้ดี เขาวางแผนลับหลังข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ผลักให้ข้าเกือบตายทุกครั้ง แค้นนี้จะไม่ให้ชำระได้เยี่ยงไร!” ซ่งชูอีพูดด้วยความสงบเป็นอย่างมาก ดวงตาสงบนิ่งไร้คลื่นคู่นั้นชัดเจนเป็นอย่างมาก “อย่างไรก็ดีข้าจะไม่ใช้แผนการลับ ข้าช่วยท่านให้ไปที่รัฐเว่ย เพียงแค่ต้องการให้ท่านบีบให้เขาไปรักษานครใกล้หลีสือ ข้าจะนำทหารไปแข่งกับเขาเอง”
หากปล่อยให้คนที่รู้จักซ่งชูอีเป็นอย่างดีได้ยินเข้า คาดว่าคงจะหัวเราะฟันร่วงแน่ๆ แต่สวีจ่างหนิงมิได้อยู่ในกลุ่มคนที่รู้จักนาง ความแค้นระหว่างซ่งชูอีและหมิ่นฉือใหญ่โตเพียงนี้ แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินมาบ้าง ด้วยเหตุนี้แม้ว่าจะเชื่อเจ็ดถึงแปดส่วน ทว่าเข้าก็ยังมีความสงสัยเล็กน้อย “ข้า…เกรงว่าคงไม่มีวิธีบีบให้หมิ่นจื๋อห่วนออกไปกระมัง!”
สวีจ่างหนิงก็มีความซื่อสัตย์ รู้ว่าหมิ่นจื๋อห่วนมีวิธีอันเก่งกาจ เขารู้สึกต่ำต้อยกว่า
“ท่านเขยิบเข้ามา” ซ่งชูอีกวักๆ มือ
สวีจ่างหนิงลุกขึ้นเข้าไปใกล้ ซ่งชูอีเอนตัวเล็กน้อย เอ่ยด้วยน้ำเสียงเชื่องช้าและแผ่วเบา “มิใช่เจ้าสู้กับหมิ่นฉือ ทว่าเป็นข้าผู้แซ่ซ่ง”
ดวงตาของสวีจ่างหนิงเป็นประกาย เขาเคยได้ยินข่าวจากชมรมป๋ออี้มาบ้างว่าที่จริงแล้วซ่งชูอีเป็นคนวางแผนเรื่องดินแดนปาสู่ให้กับรัฐฉิน และฉินกงปฏิเสธนางเพื่อปกป้องนางจากการถูกใต้หล้าประณาม ข่าวนี้ไร้ซึ่งหลักฐานที่จับต้องได้ ทว่าทุกคนกล่าวว่ามันน่าเชื่อถือเป็นอย่างมาก เพราะหากซ่งชูอีเพียงแค่ศึกษาลัทธิเต๋าจริงๆ ฉินกงจะลงแรงเสียหน่อยเพื่อร้องขอให้จวงจื่อเข้ารัฐฉินแทนไม่ดีกว่าหรือ? เหตุใดยังต้องเก็บซ่งชูอีไว้ อีกทั้งยังแต่งตั้งให้นางเป็นกั๋วเว่ยอีกด้วย!
เขามั่นใจว่าวิธีของซ่งชูอีต้องไม่ธรรมดาแน่ ในใจจึงสงบลงมามากทันใด จากนั้นก็เอ่ยถามว่า “กั๋วเว่ยไม่กลัวว่าข้าจะทรยศรึ?”
“ท่านจะทำรึ?” ซ่งชูอีหัวเราะ พิงตัวกลับไปที่พักแขน กล่าวเรียบๆ “หากหมิ่นฉือสามารถให้เงื่อนไขเดียวกันกับท่านได้ หากยังมีคนอื่นที่สนับสนุนท่านได้ ก็ทรยศได้เลย”
สวีจ่างหนิงอึ้งไป ใช่แล้ว ความสามารถของเขาไม่เพียงพอที่จะขึ้นสู่ตำแหน่งสูง ทั้งยังไม่ชำนาญด้านการประจบสอพลอ ยังจะมีใครที่ลงแรงสนับสนุนเขาได้? สำหรับหมิ่นฉือแล้ว หากไม่รู้ว่าซ่งชูอีส่งเขามาก็ยังจะควบคุมได้ง่าย หากรู้ความจริงแล้วล่ะก็ การกำจัดเขาอย่างถอนรากถอนโคนจะต้องง่ายและสบายใจกว่าการส่งเสริมเขาอย่างแน่นอน ความเป็นไปได้เดียวคือเขาเป็นสายลับให้กับหมิ่นฉือเสียเอง ทว่า…เกรงว่าถึงตอนนั้นซ่งชูอีคงจะจัดการเขาอย่างรวดเร็วไปแล้ว
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาพิจารณามาพอสมควรแล้ว ก็โยนเหยื่อลงไปอีกชิ้น “ข้าผู้แซ่ซ่งไม่เคยปฏิบัติต่อคนกันเองด้วยความรุนแรง หากเจ้าให้ความร่วมมืออย่างดี เจ้าไม่เพียงแต่จะได้เป็นขุนนางระดับสูง ทั้งยังได้คู่ที่เพรียบพร้อมอีกด้วย” นางยิ้มคลุมเครือ “เจินอวี๋งามหรือไม่?”
“จริงรึ?” สวีจ่างหนิงนั่งตัวตรง ดวงตาเป็นประกาย
แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่มักมากในกาม ท่าทางตื่นเต้นเช่นนี้ว่าไม่ใช่เป็นเพราะความงาม ใครบ้างที่ไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสกุลเจินและซ่งชูอี? หากสามารถแต่งกับเจินอวี๋ได้ ก็เท่ากับว่ามีทางเลือก ต่อไปเมื่อประสบความสำเร็จแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าตนจะถูกเขี่ยทิ้ง ดังนั้นต่อให้เจินอวี๋มีหน้าตาธรรมดาเขาก็แต่งงานได้อย่างมีความสุขยิ่ง นับประสาอะไรกับเด็กหญิงหน้าตาหมดจดคนหนึ่งเล่า!
สวรรค์ให้โอกาสแล้ว!
คำนี้ผุดขึ้นในสมองของสวีจ่างหนิง เขาคนนี้เป็นคนที่รู้ตัวเองเสมอมา แม้ว่าปากจะร้องเสียงสูง ทว่าในใจรู้เป็นอย่างดีว่าพรสวรรค์ของตนจะสามารถรับผลตอบแทนแบบใด สิ่งที่ซ่งชูอีให้เขาคือสิ่งที่ความสามารถของเขาไม่สามารถไขว่คว้าได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ภายในหนึ่งปี ขอเพียงท่านให้ความร่วมมืออย่างดี ตำแหน่งขุนนางสูงส่งและภรรยางดงาม รับรองว่าหนีไปไหนไม่พ้น” ซ่งชูอีเอื้อมมือหยิบกระบอกไม้ไผ่หนาจากบนโต๊ะแล้วยื่นให้สวีจ่างหนิง “ในนี้มีทฏษฎีกลยุทธ์บทหนึ่ง ท่านบอกว่าตัวเองเป็นศิษย์ของกุ่ยกู๋ นำทฏษฎีกลยุทธ์นี้ไปขอเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง จำไว้ว่าอย่าสนิทกับฮุ่ยซือและเถียนซวี”
ฮุ่ยซือและเถียนซีเป็นพวกแก่เรียน ชื่อเสียงเป็นรองเพียงเมิ่งจื่อ ดังนั้นทั้งๆ ที่เว่ยอ๋องรู้ดีว่าทั้งสองไม่เก่งกาจด้านกลยุทธ์ ทว่าก็ยังไว้วางใจพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง หากสวีจ่างหนิงหลุดไต๋ต่อหน้าพวกเขาทั้งสองคน แล้วปล่อยให้พวกเขาทูลเว่ยอ๋องด้วยตัวเอง อนาคตของสวีจ่างหนิงในรัฐเว่ยก็พังทลายแล้ว
แม้มองไม่เห็นว่าจะถูกตบตายด้วยฝ่ามือเดียวจริงๆ ทว่าหากหลีกเลี่ยงได้ก็ควรหลีกเลี่ยง
“ท่านเจ้าคะ ทังปิ่งเสร็จแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาพูดอยู่ข้างนอก
“ยกเข้ามา” ซ่งชูอีเอ่ย
“เจ้าค่ะ” หนิงยาได้ยินแล้วก็สั่งให้สาวใช้สองคนยกบะหมี่และเนื้อตุ๋นเข้าไปวางลงตรงหน้าซ่งชูอีและสวีจ่างหนิง
สองวันนี้สวีจ่างหนิงกินเพียงหมั่นโถวแห้งๆ หนึ่งลูก รู้สึกหิวจนหน้าอกแนบติดแผ่นหลังแล้ว บัดนี้ทันทีที่ได้เห็นบะหมี่และเนื้อแม้แต่ดวงตาก็เขียวปั๊ด ท้องร้องดังจ๊อกๆ อย่างไม่ไว้หน้า ใบหน้าและหูของเขาแดงจากความอับอาย
“ชายผู้แข็งแกร่งก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบาก มีอะไรน่าอายกัน!” ซ่งชูอีกินอาหารค่ำเร็ว เวลานี้จึงรู้สึกหิวเล็กน้อย นางหยิบตะเกียบขึ้นมาและเริ่มกินทังปิ่ง “กินตอนยังร้อนเถิด”
สวีจ่างหนิงเห็นว่าซ่งชูอีไม่เคร่งพิธีรีตอง ก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก เก็บของใส่กระบอกไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง ยกชามขึ้นมากินเสียงดังซู้ดซ้าด
มื้อนี้อิ่มหนำสำราญนัก ทั้งสองคนกินจนตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อ
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว ซ่งชูอีก็ให้หนิงยาเตรียมรางวัลยี่สิบตำลึงทองให้สวีจ่างหนิงเพื่อช่วยเขาทำทุน
“เจ้าไปที่รัฐเว่ยให้สบายใจเถิด ข้าจะส่งคนไปติดต่อเจ้าเอง” ซ่งชูอีพูดพลางโยนผ้าขนหนูซับเหงื่อเข้าไปในถาดของสาวใช้ “ก่อนที่จะไปมีสองอย่างที่จะฝาก ประการแรก หากสิ่งที่พูดไม่ตรงประเด็นก็ควรที่จะเงียบไว้ดีกว่า ประการที่สอง หากไม่สามารถใช้กลอุบายที่ชาญฉลาด ก็อย่าทะนงตัวว่าฉลาด เพื่อป้องกันมิให้ถูกวางแผนซ้อนแผน”
คำพูดนี้มุ่งเป้าไปที่ข้อบกพร่องของเขาอย่างชัดเจน! สวีจ่างหนิงตื่นตระหนก จากนั้นก็มองแววตาตื้นเขินของซ่งชูอี รู้สึกว่ามองไม่เห็นเบื้องลึกของมันเลย จึงลุกขึ้นคำนับและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “จ่างหนิงจะจดจำไว้ในใจ”
ซ่งชูอีพยักหน้าน้อยๆ
สวีจ่างหนิงออกมาจากจวนกั๋วเว่ย บัดนี้ท้องฟ้าก็มืดครึ้มแล้ว ทว่าการเข้าออกเพียงครั้งเดียวนี้ เขารู้สึกว่าตนเหมือนอยู่ระหว่างโลกกับสวรรค์ เมื่อเช้ายังกลุ้มใจเรื่องการทำมาหากิน ตอนกลางคืนกลับมีทฤษฎีกลยุทธ์และยี่สิบตำลึงทอง หนทางข้างหน้าราบรื่นแล้ว!
เขาราวกับอยู่ในความฝัน ยื่นมือคลำกระบอกไผ่เย็นเยียบกับถุงทองคำหนักอึ้ง จึงรู้สึกว่ามันสมจริงอยู่ไม่น้อย ใช่ว่าเขาไม่สงสัยในแผนการของซ่งชูอี แต่ว่าหากคิดวางแผนต่อรัฐเว่ยจริง นางสามารถส่งผู้ที่น่าเชื่อถือกว่าและฉลาดกว่าไปได้อย่างแน่นอน หรือกระทั่งสามารถไปเป็นสายลับได้ด้วยตัวเองด้วยซ้ำ เหตุใดจึงปล่อยให้เขาไปเล่า? คิดไปคิดมา นอกเหนือจากเหตุผลที่นางให้แล้ว ก็ไม่มีคำอธิบายที่เหมาะสมไปกว่านี้แล้ว
เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่ไปคิดอีก สวีจ่างหนิงวางความสงสัยในใจลง อดที่จะดีใจไม่ได้ ไม่ว่าคำมั่นสัญญาของซ่งชูอีจะเป็นจริงหรือไม่ อย่างน้อยยี่สิบตำลึงทองคำในหน้าอกของเขาคือเรื่องจริง!
ครั้นกลับถึงที่พัก สวีจ่างหนิงก็จุดตะเกียงที่ทำใจจุดไม่ได้มาโดยตลอด นำทองคำออกมาดูอย่างละเอียดก่อน จากนั้นก็ยัดกลับเข้าไปในหน้าอกอีกครั้ง จากนั้นก็คลี่ทฏษฎีกลยุทธ์ โน้มตัวเข้าไปใกล้แล้วอ่านอย่างจริงจัง…
สายลมราตรีภายนอกหน้าต่างพัดต้นไม้ดังซู่ซ่า ต้นหญ้าไหวเอนแมลงส่งเสียงร้อง แสงจันทร์ปรากฏตัวและหายไปหลังจากที่เมฆเคลื่อนตัว
ค่ำคืนเงียบสงบเป็นพิเศษ
เนิ่นนาน เสียงถอนหายใจยาวเหยียดก็ดังขึ้นภายในห้อง
สวีจ่างหนิงไม่สามารถสงบสติอารมณ์ต่อแผ่นไผ่ที่กางอยู่บนโต๊ะเป็นเวลานาน ทฏษฎีกลยุทธ์นี้ใหม่มาก หนึ่งในนั้นเป็นสถานการณ์ปัจจุบันในช่วงหนึ่งหรือสองเดือนที่ผ่านมา สองพันคำนั้นคมคาย มีตราประทับเล็กๆ ของรัฐเว่ยอยู่ด้านบน มุ่งเน้นไปยังสถานการณ์ในปัจจุบัน ทฤษฎีถูกวางไว้สำหรับรัฐเว่ย ทุกคำพูดคมคาย ทุกอย่างล้วนจัดวางมาให้เขาอย่างชัดเจน นี่คือความแตกต่างระหว่างผู้คน
อย่างไรก็ดีเขาแปลกใจมาก และเห็นได้ชัดว่าแผนการเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อรัฐเว่ยมาก จนทำให้เขาคิดว่าซ่งชูอีเป็นสายสืบอยู่ในรัฐฉินเสียเองหรือเปล่า!
จวนกั๋วเว่ย
ซ่งชูอีนั่งอยู่ทั้งวัน เพราะว่าบาดเจ็บและไม่สะดวกจึงไม่สามารถเคลื่อนไหวส่งเดช ในเวลานี้ทั้งตัวเจ็บปวดรุนแรง
นางเดินออกมาจากห้องหนังสือ ยืนถูๆ เอวอยู่ที่ใต้ระเบียง ก็พลันเห็นชายในชุดคลุมสีดำยืนนิ่งเหมือนอนุสาวรีย์ในศาลาตรงข้าม นางตกใจจนสะดุ้งโหยง มองดูใกล้ๆ อีกที “ฝ่าบาท?”
“อืม” น้ำเสียงเย็นเยียบ นั่นก็คืออิ๋งซื่อไม่ใช่รึ!