กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 28 ไม่อาจอยู่ที่นี่ได้
ภายในท้องพระโรงเงียบสนิท คำขอพวกนี้ก็มากพออยู่แล้ว ยังจะเพิ่มอะไรอีก? ประเด็นคือรัฐเว่ย์ยังจะสามารถให้อะไรได้อีก?
“เขา” เถาติ้งมองหมิ่นฉือพร้อมเอ่ย “ท่านราชทูตส่งสารไปกราบทูลเว่ย์โหวที ว่าพวกเรารัฐซ่งต้องการซ่งหวยจิน”
“เอ่อ…” ซ่งชูอียกมือขึ้นลูบคิ้ว ส่งสารย่อมได้และนางก็ไม่กลัวว่าจะถูกเปิดโปงด้วย ถึงอย่างไรก็เป็นการช่วยรัฐเว่ย์ มิใช่การทำร้ายพวกเขา แต่บัดนี้ไม่มีความจำเป็นนี้เลย นางสามารถรับปากเองได้ อย่างไรก็ดีการอยู่ที่รัฐซ่งหาใช่ความประสงค์ของนางไม่ ร่างนี้เป็นชาวซ่ง อีกทั้งดูจากชุดเจ้าสาวแล้ว มิใช้ผู้ที่มีสถานะต่ำต้อย หากมีคนจำได้ก็จะเกิดเรื่องวุ่นวายเป็นแน่
ในบรรดารัฐต่างๆ รัฐซ่งมีขนบธรรมเนียมที่เคร่งครัดที่สุด ถ้าหากพบว่านางเป็นสตรีเพศ จะต้องไม่ยอมรับเป็นแน่ และจะไม่ปล่อยให้นางอยู่ต่อนานนัก
ซ่งทีเฉิงจวินชื่นชมซ่งชูอีมากที่อายุยังน้อยแต่กลับมีความรู้เพียงนี้ “ว่าเยี่ยงไร ท่านไม่พูดก็คือไม่เต็มใจมารัฐซ่ง?”
คำพูดของพระองค์เช่นนี้แสดงว่าเห็นพ้องกับความคิดของเถาติ้ง ตราบเท่าที่เว่ย์โหวตกลงที่จะมอบตัวซ่งชูอี รัฐซ่งก็จะยอมร่วมเป็นพันธมิตร
ในอดีตซ่งชูอีอยู่ในหยางเฉิงเมืองเล็กมาโดยตลอด ครั้งนี้กลับค้นพบว่าที่แท้ตัวเองยังมีอนาคตอีกยาวไกล!
“กราบทูลตามตรง แม้นหวยจินจะทำงานเพื่อรัฐเว่ย์ แต่กลับไม่เคยมีตำแหน่งทางการใดๆ ในรัฐเว่ย์ ไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ เพียงแต่มีคำพูดนึงหากเอ่ยออกมาแล้ว ฝ่าบาทจะต้องลงโทษกระหม่อมเป็นแน่” ซ่งชูอีประสานมือคารวะ
ครั้นซ่งทีเฉินจวินได้ยินว่านางไม่เคยมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการในรัฐเว่ย์ ในใจรู้สึกยินดี ตรัสว่า “ท่านพูดเถิด กว่าเหรินไม่โทษท่านหรอก”
เมื่อได้รับการรับประกันจากซ่งทีเฉิงจวิน ซ่งชูอีจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาททรงเคยดำริหรือไม่ ว่าเหตุใดซางยางจึงไม่ยินยอมทำงานให้รัฐซ่ง?”
คำพูดนี้ดูเหมือนจะกระตุ้นความเจ็บปวด ไม่เพียงแต่ซางยาง แต่บัณฑิตผู้มากความรู้ภายในรัฐของตนยังคงเดินทางไปรัฐอื่นอย่างต่อเนื่อง เหตุใดซ่งชูอีจึงหยิบยกซางยางขึ้นมาเพียงผู้เดียว?
ในท้องพระโรงไม่มีใครกล่าวอันใด บรรยากาศตึงเครียด
ซ่งทีเฉิงจวินกลับไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรเสียรัฐซ่งก็มิได้ล่มสลายจากห้าอาณาจักรแห่งชุนชิวในยุคของเขา เขาเพียงขึ้นครองบังลังค์เพื่อรับช่วงปกครองรัฐซ่งต่อ นอกเหนือจากการเป็นคนเจ้าสำราญแล้ว เขาก็ต้องการแสดงให้เห็นว่าตนฉลาดหลักแหลมกว่าจวินองค์ก่อนๆ “กำลังรัฐซ่งของข้าสู้ฉี ฉู่ หาน เจ้า ฉิน เว่ย เยียน ไม่ได้ รัฐซ่งย่อมรั้งนักปราชญ์ผู้สูงส่งไม่ได้เป็นธรรมดา”
“หามิได้” ซ่งชูอีมองไปรอบๆ สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่นาง “หลังจากฉินมู่กงอยู่ในอำนาจแล้วก็เกิดการสู้รบนับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยหยุดทำสงครามกับรัฐเว่ยตลอดระยะเวลาสองร้อยกว่าปี จนกระทั่งยุคของฉินเซี่ยวกง บัดนี้เหลือเพียงซากภูเขาและแม่น้ำพังทลาย จะแข็งแกร่งกว่ารัฐซ่งสักเท่าไรเชียว? แต่ซางยางกลับตั้งรกรากในรัฐฉินโดยไม่กลับหลังหัน นั่นเป็นเพราะฉินมีความกล้าที่จะเปลี่ยนแปลงและกล้าที่จะยอมรับกฎหมายใหม่!”
คำพูดของซ่งชูอีแรงกล้ายิ่ง จากนั้นก็เอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนลง “การจะช่วยรัฐซ่ง จำต้องมีความสามารถในการปฏิรูปทางการเมืองเช่นซางยาง หวยจินไร้ความสามารถนี้ หากอยู่ที่รัฐซ่งต่อไป เกรงใจในอนาคตอาจไร้ประโยชน์ ทำให้ฝ่าบาทผิดหวัง”
“ฉินเป็นเพียงกลุ่มชนป่าเถื่อน รัฐซ่งของข้าทุกคนรู้กฎหมายตั้งแต่ยุคชุนชิว!” มีคนกล่าวอย่างไม่พอใจ
ซ่งชูอียิ้ม มิได้วิพากย์วิจารณ์ ผู้เอ่ยวาจาจักต้องเป็นตระกูลเก่าแก่ของรัฐซ่งเป็นแน่ การที่ซางยางเปลี่ยนกฎหมายก็ทำลายผลประโยชน์ตระกูลเก่าแก่ของรัฐฉินไม่น้อย พวกเขารู้เป็นอย่างดี ไหนเลยจะยอมให้วิถีของซางยางมาทำลายผลประโยชน์ของพวกเขา
“กฏหมายของรัฐที่แข็งแกร่ง หนึ่งวันก่อกบฏ สองวันปฏิรูป การจะเป็นรัฐที่แข็งแกร่ง ไหนเลยจะหลีกหนีสองข้อนี้ไปได้? บัดนี้ศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในใต้หล้าได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ยุคแห่งการก่อกบฏได้ผ่านพ้น หากต้องการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่รัฐ การปฏิรูปทางการเมืองคือหนทางเดียว” ที่จริงแล้วซ่งชูอีไม่เคยคิดว่าซ่งทีเฉิงจวินจะเห็นด้วยกับการปฏิรูปทางการเมืองจริงๆ นับตั้งแต่ยุคของซ่งเซียงกง รัฐซ่งกลายเป็นพวกชอบอวดภูมิมาโดยตลอด ความคิดของตระกูลเก่าแก่ก็ดื้อรั้นเป็นที่สุด
เป็นดังเช่นที่ผู้นั้นกล่าวเมื่อครู่ พลเมืองในรัฐซ่งล้วนได้รับการศึกษา ไม่เหมือนพลเมืองรัฐฉินที่ยอมรับกฎหมายใหม่ได้โดยง่าย
“ฝ่าบาท คำพูดของผู้นี้ไม่ตรงประเด็น มีเพียงความรู้ ใช่ว่าจะมีประโยชน์!” ในที่สุดก็มีคนทนไม่ไหวโพล่งออกมา
ซ่งชูอีสอดมือเข้าไปในแขนเสื้อยืนตัวตรง ได้ยินดังนี้แล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
หมิ่นฉือกลับมองเห็นอย่างชัดเจน ในใจเข้าใจได้ทันที การที่นางพูดเรื่องเปลี่ยนแปลงกฎหมาย อันที่จริงแล้วมิได้ต้องการเกลี้ยกล่อมให้ซ่งทีเฉิงจวินเปลี่ยนแปลงกฎหมายจริงๆ แต่เพื่อกระตุ้นความรู้สึกไม่ปลอดภัยของเหล่าตระกูลเก่าแก่ แม้นนางกล่าวว่าไร้ความสามารถในการปฏิรูป แต่ไม่ได้หมายความว่านางไม่สามารถโน้มน้าวให้ซ่งทีเฉิงจวินปฏิรูปได้
ตระกูลเก่าแก่เกรงว่าหากนางอยู่ต่อก็จะส่งเสริมการปฏิรูปทางการเมืองต่อไป ทำลายผลประโยชน์ของพวกเขา จึงต้องขัดขวางมิให้นางอยู่ในรัฐซ่ง
แม้นว่าหลายคนมีข้อกังขา แต่ทุกประโยคที่นางพูดล้วนเป็นความจริง หากรัฐซ่งอยากจะแข็งแกร่ง ต้องเดินสู่เส้นทางของการปฏิรูปเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะหมิ่นฉืออยู่ห่างจากนางเพียงก้าวเดียวและเห็นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ นี้ ก็คงไม่รู้ว่านางจริงใจหรือว่าหลอกลวงกันแน่
หมิ่นฉือไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเป็นราชทูตในต่างแดนเป็นครั้งแรก ก็ได้เจอกับบุคคลที่เก่งกาจถึงเพียงนี้
ทันทีที่มีเสียงคัดค้านหลุดออกไป ไม่ช้าก็มีเสียงสะท้อนมากมาย
เถาติ้งถอนหายใจเล็กน้อย เขาก็มาจากตระกูลเก่าแก่เช่นกัน! แม้นเขาไม่คัดค้านเรื่องการปฏิรูป แต่ถ้าหากสนับสนุนอย่างเปิดเผยจริงๆ ครอบครัวจะต้องขับไล่เขาอย่างแน่นอน เขาได้รับอิทธิพลจากลัทธิขงจื้อตั้งแต่เด็ก มีแนวคิดของตระกูลอันแรงกล้า และไม่ได้มีความห้าวหาญประเภทนั้น
ซ่งทีเฉิงจวินเองก็ปวดเศียรเวียนเกล้า เขาต้องการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่รัฐเป็นอย่างยิ่ง แต่ว่าเขาเองก็มาจากตระกูลเก่าแก่ แม้แต่ครอบครัวของตนเองก็ต่างไม่สนับสนุน
“ไม่ทราบว่าท่านถนัดในด้านใด?” ซ่งทีเฉิงจวินก็ทำได้เพียงเริ่มจากอีกฝ่ายก่อน เพื่อหาเหตุผลที่ดีที่จะทำให้ซ่งชูอีอยู่ต่อได้
ซ่งชูอีครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยตอบ “ทำสงครามพะย่ะค่ะ”
ในท้องพระโรงต่างเงียบเสียงลง ซ่งทีเฉิงจวินประหลาดใจ เขานึกว่าซ่งชูอีจะเอ่ยว่า “การทูต” ซึ่งการทูตก็คือการสื่อสารระหว่างรัฐสู่รัฐ
ซ่งชูอีประสานมือคำนับพร้อมกล่าว “หวยจินไร้ความสามารถ ถนัดด้านการวางแผนการต่อสู้ที่สุด”
นางเก่งด้านการใช้กลยุทธ์เพื่อศึกชนะสงครามอย่างแท้จริง
รัฐซ่งยังไม่ต้องการผู้ที่เก่งกาจในด้านนี้อย่างเร่งด่วนนัก เนื่องด้วยรัฐซ่งมีบัณฑิตมาก ครั้นรัฐซ่งถูกโจมตี ก็จะมีเหล่าบัณฑิตวิ่งเต้นไปยังรัฐต่างๆ ไม่ก็โน้มน้าวให้ทหารถอยทัพ ไม่ก็เกลี้ยกล่อมให้รัฐอื่นยื่นมือเข้าช่วยเหลือ โดยมากแล้วจะไม่มีการสู้รบเกิดขึ้น ฉะนั้นแม้นกองทัพของรัฐซ่งอ่อนแอก็ยังไม่จำเป็นต้องมีบุคคลที่มีความสามารถเชิงกลยุทธ์
อย่างไรก็ดีนักยุทธศาสตร์การทหารกล่าวว่า ใช้กลยุธ์เอาชนะกลยุทธ์ สถานะสูงสุดของการใช้ทหารคือการใช้กลยุทธ์เอาชนะศัตรู
กลยุทธ์สงครามที่ซ่งชูอีเอ่ยมาทั้งหมด เป็นเรื่องราวของ “ผู่ผิงกงผู้ปรารถนาล้มรัฐฉี” ในยุคสมัยชุนชิว เขาส่งใต้เท้าฟั่นเจาไปสังเกตการณ์ว่าสามารถโจมตีรัฐฉีได้หรือไม่ ผลสรุปว่าถูกไท่ซือแห่งรัฐฉีและเยี่ยนจื่อคลี่คลายปัญหาและหลบเลี่ยงสงครามไปอย่างง่ายดาย
ฉะนั้น กลยุทธ์ทางสงครามอาจบำราบศัตรูโดยไม่ต้องต่อสู้ก็ได้
หลายคนล้วนคิดได้ แต่ทุกคนกลับลังเลต่อการปฏิวัติที่ซ่งชูอีกล่าวเมื่อครู่เป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ดีเมื่อชั่งน้ำหนักอีกครั้ง ตระกูลเก่าแก่ในรัฐซ่งก็ยังเลือกวิถีอนุรักษ์นิยม อีกทั้งในขณะนี้รัฐซ่งมิได้มีความเสี่ยงใหญ่หลวง พวกเขาสามารถหาคนเก่งที่ไม่สนับสนุนการปฏิรูปทางการเมืองได้โดยสิ้นเชิง
“พวกท่านสองคนไปพักผ่อนที่เรือนรับรองสักคืนเถิด ให้กว่าเหรินได้ทบทวนอย่างละเอียดอีกครั้ง” ในเวลานี้ซ่งทีเฉิงจวินทำได้เพียงเท่านี้
ทหารม้าสามหมื่นนายยังคงอยู่ที่เดิม แผ่นดินของรัฐเว่ย์อาจเหลืออยู่ไม่มากแล้ว แม้ว่าหมิ่นฉือจะร้อนใจ แต่ก็รู้ว่าไม่สามารถพูดอะไรได้อีก จึงออกไปจากท้องพระโรงพร้อมกับซ่งชูอี
ขณะที่ทั้งสองคนต่างกำลังจะขึ้นเกวียนของตน หมิ่นฉือหยุดเดิน เอ่ยถาม “ในเมื่อท่านกำลังช่วยเหลือรัฐเว่ย์ เหตุใดจึงทำผิดต่อรัฐเว่ย์เพียงเพราะความเห็นแก่ตัวเล่า”
ถ้าหากไม่มีซ่งชูอีเข้ามา เขามั่นใจว่าจะสามารถทำให้ซ่งทีเฉิงจวินรับปากเป็นพันธมิตรได้ทันที หรือหากซ่งชูอีรับปากว่าจะอยู่ที่รัฐซ่ง เรื่องนี้ก็จะประสบความสำเร็จได้เช่นกัน แต่นางกลับทำเช่นนี้! การอยู่ในรัฐซ่งแย่กว่าอยู่ในรัฐเว่ย์ตรงไหน?
“หา” ซ่งชูอีหยุดกึก เงยหน้าตบๆ หน้าผากที่ใสสะอาด ราวกับว่านึกอะไรบางอย่างได้ “ข้าจำได้ว่า…ข้าเพียงรับปากใครบางคนว่าจะช่วยเหลือทหารสามหมื่นนายออกมา แต่มิได้รับปากเรื่องอื่น”
พูดจบ ซ่งชูอียิ้มกว้างให้เขา เอ่ยขึ้นอย่างไร้ความจริงใจ “การชะลออนาคตของคนหนึ่งนั้นคือความผิดอันใหญ่หลวงเชียว”
………………………………