กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 280 ความขัดแย้งครั้งใหญ่ของนานารัฐ (1)
เจ้าอี่โหลวเห็นนางก็หยุดยืนอยู่นอกศาลา
ซ่งชูอีจ้องมองและยิ้ม “รักษาตัวด้วย”
“เจ้าก็เช่นกัน” รอยยิ้มสดใสของเจ้าอี่โหลวเจือจางลมหายใจชั่วร้ายของเขาเล็กน้อย
คำสั่งฉุกเฉิน รอช้าไม่ได้ เจ้าอี่โหลวเก็บความรู้สึกกลับมา รีบออกไปทันที
ขณะที่ซ่งชูอีเดินไปตามเส้นทางคดเคี้ยวก็หันกลับมาโดยไม่ได้ตั้งใจ และเจ้าอี่โหลวก็หันกลับมาพอดี
สายตาทั้งคู่ประสานกัน เพียงรอยยิ้ม ร่างของเจ้าอี่โหลวก็ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพันธุ์หนาแน่นขณะที่เลี้ยวตัว
นางกำลังจะหมุนตัว กลับเห็นทหารคุ้มกันผู้หนึ่งวิ่งเข้ามา “กั๋วเว่ย! มีรายงานด่วนขอรับ”
ไผ่ม้วนหนึ่งถูกยกเข้ามา ซ่งชูอีคลี่ออกมาเพื่ออ่านอย่างละเอียด ทันใดนั้นก็ยิ้มออกมา มีความชื่นชมอย่างไม่แอบซ่อนเจือปนในน้ำเสียง “ซีโส่วตัวดี!”
กงซุนเหยี่ยนผู้นี้เป็นนักการเมืองที่เยี่ยมยอดคนหนึ่ง ภายในระยะเวลาไม่กี่วัน เขากลับบีบเถียนซวีลงจากเวทีได้อย่างรวดเร็ว! เขารักษาความสม่ำเสมอในรูปแบบการทำงานของเขา รวดเร็ว แม่นยำ โหดเหี้ยม และคมกริบราวกับดาบ สมกับชื่อ “ซีโส่ว” ของเขาจริงๆ!
ที่แท้ กงซุนเหยี่ยนรออยู่ที่ต้าเหลียงนานกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดเขาก็คว้าโอกาสครั้งใหญ่มาได้ เถียนซวีเป็นผู้ริเริ่มสานความสัมพันธ์กับรัฐฉู่เพื่อร่วมมือต่อต้านรัฐฉิน ในขณะที่ทั้งสองรัฐกำลังแลกเปลี่ยนทูตเพื่อหารือเกี่ยวกับพันธมิตรอยู่นั้น กงซุนเหยี่ยนก็ขอเข้าเฝ้าเว่ยอ๋อง ก่อนหน้านี้กงซุนเหยี่ยนเข้ารัฐฉิน รัฐเว่ยสูญเสียอย่างใหญ่หลวงในมือของเขา ทว่าเว่ยอ๋องไม่เพียงไม่เกลียดชัง ในทางตรงข้ามกลับรีบเชิญเขาเข้ามารับตำแหน่งในเว่ยทันที
กงซุนเหยี่ยนกล่าวว่า: เหยี่ยนเป็นชาวเว่ย การไปทำงานในต่างรัฐ ในความจริงแล้วเป็นเพราะรัฐเว่ยไม่ชอบเหยี่ยน กินข้าวบ้านใครก็ต้องภักดีต่อบ้านนั้น การนำกองทัพฉินเพื่อเอาชนะมาตุภูมิถือเป็นทางเลือกสุดท้าย บัดนี้กลับมาตุภูมิแล้ว ฝ่าบาทมีจิตใจกว้างขวาง อีกทั้งยังยอมรับเหยี่ยน เหยี่ยนไม่อาจตอบสนองความต้องการได้ หากไม่ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อมาตุภูมิแล้ว การรับตำแหน่งขุนนางระดับสูงเป็นเรื่องไร้ยางอายอย่างแท้จริง
คำพูดเหล่านี้ตรงจุดที่คันของเว่ยอ๋อง ปกติแล้วสิ่งที่เขาชอบฟังที่สุดก็คือคำสวามิภักดิ์ของผู้ที่มีพรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็เคยเห็นความสามารถของกงซุนเหยี่ยนแล้ว ครั้งนี้จะไม่ให้ปลาบปลื้มได้เยี่ยงไร!
กงซุนเหยี่ยนจึงขอเว่ยอ๋องสั่งการทหารม้าห้าหมื่นนายเพื่อโจมตีรัฐเจ้าร่วมกับรัฐฉี
เว่ยอ๋องได้ยินว่าเขามีวิธีที่จะคว้าผลประโยชน์ด้วยราคาเล็กน้อยเพียงนี้ จะมีเหตุผลใดที่ไม่ตกลง
จากนั้นกงซุนเหยี่ยนจึงเดินทางมาถึงรัฐฉี เพื่อหารือเรื่องนี้กับท่านแม่ทัพเถียนเฝินแห่งรัฐฉี เถียนเฝินเป็นท่านแม่ทัพที่มีชื่อเสียงในรัฐฉี ผ่านศึกน้อยใหญ่นับไม่ถ้วน แน่นอนว่าไม่เชื่อว่าจะสามารถได้รับชัยชนะอย่างง่ายดายเพียงนี้
กงซุนเหยี่ยนสารภาพตามตรง: หากว่ามันยากเกินไป องค์จวินทั้งสองรัฐก็คงไม่เห็นพ้องที่จะออกรบ ทว่าทันทีที่กองทัพถูกส่งไป องค์จวินจะเสริมกำลังทันทีหากเขาเห็นอันตราย รัฐเจ้าประสบกับความวุ่นวายภายในได้ไม่นาน การสู้รบแม้ว่าไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากจนเกินไป ถึงตอนนั้นตราบใดที่ท่านชนะสงคราม ได้ผลประโยชน์มาแล้ว ฉีอ๋องจะเอาผิดกับท่านเชียวหรือ?
เถียนเฝินรู้สึกว่ามันมีเหตุผลยิ่ง เขาทำประโยชน์ให้กับรัฐฉีเป็นอย่างมาก ทว่าตั้งแต่รัฐฉีปกครองด้วยวิถีเผด็จการแล้ว สงครามก็น้อยลง ตำแหน่งทางการทหารก็ไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาต้องการต่อสู้อย่างมีเกียรติมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้กลยุทธ์นี้ รบเร้าฉีอ๋องเพื่อส่งกองกำลังไปโจมตีรัฐเจ้า
ผลสุดท้ายเป็นไปตามที่กงซุนเหยี่ยนกล่าว ทั้งสองรัฐตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบขณะที่โจมตีรัฐเจ้า รัฐฉีและเว่ยเสริมกำลังทันที กงซุนเหยี่ยนสั่งการได้อย่างเหมาะสม ใช้เวลาสั้นๆ เพียงครึ่งเดือน ฉีและเว่ยร่วมมือกันโจมตีรัฐเจ้าพ่ายแพ้ด้วยทหารหนึ่งแสนแปดหมื่นนาย ยึดครองดินแดนได้ทั้งหมดหกร้อยลี้
ทั้งสองรัฐใช้ทหารม้าเก้าหมื่นนายก็ต่างแบ่งดินแดนกันสามร้อยลี้ ฉีอ๋อง เว่ยอ๋องทั้งสองรัฐต่างมีความสุขมาก
กงซุนเหยี่ยนจึงฉวยโอกาสนี้ทูลเว่ยอ๋องว่า เขากับองค์จวินแห่งรัฐเยียนและรัฐเจ้ามีมิตรภาพอันดีต่อกัน ทั้งสองรัฐส่งราชทูตมาเจริญสัมพันธไมตรีบ่อยครั้ง ครั้งนี้ถือเป็นโอกาสพูดจาหว่านล้อมให้สองรัฐเข้าร่วมในการต่อต้านรัฐฉิน
บัดนี้เว่ยอ๋องเชื่อใจกงซุนเหยี่ยนเป็นอย่างยิ่งจึงตกลงทันที ทั้งยังมอบรถหกสิบคันและของล้ำค่าชุดผ้าไหมเพื่อช่วยเป็นแรงกระตุ้น
กงซุนเหยี่ยนได้ประโคมข่าวครั้งใหญ่ เผยแพร่ภารกิจที่กำลังจะไปเป็นราชทูตในรัฐเยียนและรัฐเจ้า
ฉู่อ๋องตกลงที่จะสร้างพันธมิตรกับรัฐเว่ยภายใต้การยุยงของเถียนซวี ทว่าในใจก็ยังเคลือบแคลงใจต่อเรื่องนี้ ทันทีที่มีข่าวว่ากงซุนเหยี่ยนกำลังจะเป็นทูตไปยังรัฐเยียนและรัฐเจ้า บรรดาขุนนางที่ไม่ต้องการเป็นพันธมิตรกับรัฐเว่ยก็ถือโอกาสยั่วยุ ฉู่อ๋องหูเบา ได้ยินลมก็คิดว่าเป็นฝน รู้สึกว่าตัวเองถูกเถียนซวีปั่นหัว อดที่จะบันดาลโทสะไม่ได้ ประกาศออกไปว่าจะต้องจัดการเถียนซวีให้ได้
เรื่องสัมพันธไมตรีระหว่างฉู่และเว่ยจึงไม่สำเร็จด้วยประการฉะนี้
ส่วนชื่อเสียงของกงซุนเหยี่ยนในเวลานี้ขจรขจาย หลังจากเขามาถึงรัฐเยียนแล้วก็เข้าเฝ้าเยียนจวินทันที
กงซุนเหยี่ยนถือโอกาสประกาศกลยุทธ์การร่วมมือครั้งใหญ่ของตน รัฐเยียนกับรัฐฉีเป็นศัตรูเก่า นับตั้งแต่รัฐฉีมีการปกครองวิถีเผด็จการก็ถูกกดดันจนไม่อาจฟื้นตัวได้ องค์จวินแห่งรัฐเยียนเห็นว่ากงซุนเหยี่ยนมีพรสวรรค์เพียงนี้ ก็มอบตราประทับและมอบหมายกิจการของรัฐให้เขาทันที
ความวุ่นวายภายในของรัฐเจ้าเพิ่งสงบไม่นาน ภารกิจมากมายในรัฐรอการจัดการ แต่ก็กลับมาพ่ายแพ้ครั้งใหญ่อยู่ในมือของกงซุนเหยี่ยน เจ้าโหวเกลียดชังเขายิ่งนัก ทว่ารัฐเจ้ายังคงมีความเสียหายหลงเหลือจากการต่อสู้อย่างช่วยไม่ได้ หากไม่ตกลงที่จะร่วมมือ เกรงว่าไม่นานรัฐก็ต้องล่มสลายเป็นแน่! ไม่ว่าจะเพื่อให้หายใจหายคอได้หรือเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้แก่รัฐ รัฐเจ้าจึงทำได้เพียงให้ความร่วมมือ ดังนั้นจึงมอบตราประทับและกิจการของรัฐให้แก่เขาเหมือนกับรัฐเยียนแล้ว
ข่าวสารแพร่ไปยังนานารัฐด้วยความรวดเร็ว ผู้ที่ได้ข่าวเร็วที่สุด แน่นอนว่าเป็นรัฐฉีที่เป็นทั้งเพื่อนบ้านและศัตรูของรัฐเยียน นับตั้งแต่ซุนปิ้นเสียชีวิต ฉีอ๋องก็ไม่เคยมีผู้มากพรสวรรค์ที่สามารถเทียบเคียงได้เลย เขารู้สึกว่าไม่อาจพลาดบุคคลที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ไปได้ ดังนั้นเขาจึงริเริ่มส่งราชทูตไปเชิญกงซุนเหยี่ยนเข้าสู่รัฐฉี และทำตามวิธีของรัฐเยียนและรัฐเจ้าในการมอบตราประทับ รวมถึงกิจการของรัฐให้เขา
ช่วงระยะเวลาสั้นๆ กงซุนเหยี่ยนมีตราประทับของสามรัฐติดตัว ยิ่งใหญ่ไม่มีผู้ใดเปรียบ! กลยุทธ์ร่วมมือของเขาเปรียบเสมือนสายลมอันบ้าคลั่งที่กวาดนานารัฐจนก่อให้เกิดความโกลาหลทั่วหล้า
ในบรรดาทั้งหมด ผู้ที่น่าตกใจที่สุดก็คือรัฐฉิน
เยียน เจ้า หาน เว่ย ฉู่ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือพอดี พันธมิตรแห่งห้ารัฐนี้มีชื่อเรียกว่าเหอจ้ง[1] หลังจากทั้งห้ารัฐร่วมมือกันแล้ว สามารถโจมตีรัฐฉีจอมเผด็จการทางทิศตะวันออก และสามารถโจมตีรัฐฉินที่กำลังเจริญรุ่งเรืองทางทิศตะวันตก ทว่าบัดนี้กงซุนเหยี่ยนมีตราประทับของรัฐฉีแล้ว ดังนั้นจะไม่นำทหารโจมตีฉี เช่นนั้นเป้าหมายของเขาก็มีเพียงฉินเท่านั้น!
นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย อิ๋งซื่อเรียกขุนนางคนสำคัญเข้าประชุมเพื่อรับมืออย่างแข็งขัน แม้แต่ซ่งชูอีที่กำลังพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บก็ถูกเรียกตัวเช่นกัน
ในหอประชุมเต็มไปด้วยบรรยากาศอาฆาต
“ฉีอ๋องช่างร้ายกาจจริงๆ” จางอี๋ทำลายความเงียบ
ผู้ที่ฉลาดที่สุดในกรณีนี้คงหนีไม่พ้นฉีอ๋อง เขาได้ตัดสินใจก่อนที่สิ่งต่างๆ จะเป็นรูปเป็นร่างเสียอีก เขาใช้ตราประทับเพื่อทดสอบกงซุนเหยี่ยน หากกงซุนเหยียนปฏิเสธ เช่นนั้นจุดประสงค์หลักของเหอจ้งก็คือต่อต้านรัฐฉี
ด้วยตำแน่งเผด็จการของรัฐฉี ไม่ว่าอย่างไรฉีอ๋องก็ต้องคิดยัดเยียดข้อหาอาชญากรรมให้กับกงซุยเหยี่ยนอยู่แล้ว และหากกงซุนเหยี่ยนรับตราประทับไป เขาในฐานะผู้ริเริ่มเหอจ้งจะต้องรักษาคำพูด ในเมื่อรับตราของรัฐไปแล้วก็ต้องคิดหาวิธีเพื่อบ้านเมือง มิฉะนั้นหากรับตราประทับของรัฐฉีไปแล้วแต่กลับหันมาแว้งกัดรัฐฉี แล้วจะให้รัฐอื่นไว้ใจเขาได้อย่างไร?
แน่นอนว่ากงซุนเหยี่ยนก็คิดถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามระหว่างรัฐฉีและรัฐฉิน เขาสามารถเลือกโจมตีได้เพียงรัฐเดียวเท่านั้น เขาจึงรับตราประทับนี้อย่างมีความสุขราวกับลายบุปผาที่ปักบนผ้าแพรงดงาม
การทำงานของฉีอ๋องดูเหมือนรักและหวงแหนผู้มีพรสวรรค์ ที่จริงแล้วเพียงเพราะต้องการบังคับให้กงซุนเหยี่ยนนำทั้งห้ารัฐเพื่อโจมตีฉินก็เท่านั้น รัฐฉีดูไฟข้ามฝั่ง[2] บางทีอาจรอจนทั้งสองฝ่ายสูญเสียแล้วยังสามารถฉวยโอกาสในการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์บางอย่างได้
ชูหลี่จี๋ขมวดคิ้ว “ก่อนหน้านี้รัฐฉินก็เคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ ทว่าเพราะไม่ได้เจรจาเพื่อแบ่งแยกผลประโยชน์ของฉิน พันธมิตรจึงล่มสลาย ครั้งนี้มีกงซุนเหยี่ยนริเริ่มเหอจ้ง เกรงว่ามันจะไม่จบลงง่ายๆ”
ดวงตาของจางอี๋เป็นประกายน่ากลัว หัวเราะเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “บัดนี้เป็นรัฐแห่งจูโหว คุยเรื่องคุณธรรมและความเชื่อใจที่ไหนกัน มีความเกลียดชังมากกว่า ตราบใดที่ทำงานอย่างถูกต้อง ก็แตกสลายได้ไม่ยาก”
“เยี่ยม!” อิ๋งซื่อมองไปยังจางอี๋ “มีมหาเสนาบดีกล่าวเช่นนี้ กว่าเหรินก็สบายใจ”
จางอี๋เป็นกุนซือคนหนึ่ง ทั้งยังมาจากสำนักจ้งเหิง เคยกล่าวเรื่องเหลียนเหิง[3]เมื่อนานมาแล้ว เมื่อเทียบกับกงุซนเหยี่ยนแล้วเขาเก่งกาจด้านจ้งเหิงกว่านัก
“เหตุใดท่านแม่ทัพกับกั๋วเว่ยจึงไม่พูดจาเล่า?” อิ๋งซื่อถามขึ้นกะทันหัน
[1] เหอจ้ง (ประสานแนวดิ่ง) คือการรวมกลุ่มประเทศเล็กหรืออ่อนแอเข้าด้วยกันเพื่อต่อต้านหนึ่งประเทศที่ยิ่งใหญ่และแข็งแกร่งกว่า
[2] ดูไฟข้ามฝั่ง การเห็นคนอื่นมีความทุกข์แล้วตนเองกลับมีความสุข อย่างเช่นเห็นบ้านคนอื่นกำลังเกิดเพลิงไหม้ แทนที่จะรีบเอาน้ำไปช่วยดับไฟ กลับยืนดูเฉย
[3] เหลียนเหิง (เชื่อมแนวขวาง) คือการเข้าร่วมกับผู้แข็งแกร่ง อาศัยบารมีเขา เพื่อไปขจัดกับพวกที่อ่อนแอกว่าให้หมดไป