กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 282 หัวใจไม่อาจแยกแยะ
“ที่ใดเกิดสงครามรึ เหตุใดข้าไม่ได้ยินข่าวเลย?” ซ่งชูอีถามด้วยความอดทนยิ่ง
จางอี๋สงวนท่าทีเล็กน้อย นั่งตัวตรง มิได้มีท่าทางเกียจคร้านอีก หลังจากเงียบอยู่นานก็เหลือบมองซ่งชูอีอีกครั้ง เห็นนางยิ้มกว้างรอ แต่มันกลับทำให้ดูรู้สึกดื้อรั้นอย่างอธิบายไม่ถูก
“เฮ้อ!” จางอี๋ถอนหายใจ เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อพร้อมจ้องมองนางด้วยสีหน้าจนปัญญา “ช่างเถิดๆ ถึงไม่พูดช้าเร็วเจ้าก็ต้องรู้! บัดนี้ฉินและรัฐเจ้าจะทำสงครามกัน คราวนี้ท่านแม่ทัพเจ้าเค่อจะโจมตีท่านแม่ทัพแห่งรัฐเจ้า”
หัวใจของซ่งชูอีเต้นระรัวด้วยความเจ็บปวดทันใด ก้มหน้าซ่อนความรู้สึก “ฝ่าบาทบอกให้ท่านปิดบังข้า?”
หากไม่ได้จงใจปิดบัง ซ่งชูอีในฐานะกั๋วเว่ย กิจการทางทหารที่ใหญ่เพียงนี้นางควรจะรู้เป็นคนแรกๆ สุดท้ายแล้วเรื่องการระดมเสบียงอาหารและกำลังพลล้วนต้องผ่านนาง ทันใดนั้นซ่งชูอีรู้สึกโมโหเล็กน้อย “แม่ทัพรัฐฉินมิได้มีเขาเพียงคนเดียว เหตุใดถึงให้เขาเป็นผู้นำทัพเล่า!”
“แค่ก หวยจิน เจ้าอย่าวู่วามสิ เรื่องประเภทนี้ก็มิได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นที่เว่ยอั๋งอยู่ในรัฐฉิน ก็นำทัพโจมตีรัฐเว่ยมิใช่รึ?” จางอี๋เอ่ยปลอบโยน
“ในเมื่อคราวนี้ปิดบังข้า ก็แสดงว่าสงครามไม่เล็กเลยใช่หรือไม่? ฝ่าบาทต้องการให้ทั้งรัฐเจ้าเคียดแค้นอี่โหลวรึไง?” โทสะในใจของซ่งชูอีสงบนิ่งในไม่กี่อึดใจ น้ำเสียงก็ไม่เฉียบคมเหมือนเมื่อครู่แล้ว
ครั้นจางอี๋เห็นว่านางคิดได้ก็สบายใจขึ้นมาก “ฝ่าบาทมองเห็นความอาจหาญในตัวท่านแม่ทัพเจ้าเป็นอย่างมาก ทั้งยังชื่นชมคุณลักษณะของเขา ต้องการให้เขาเป็นขุนนางคนสำคัญ ทว่าสุดท้ายเขาก็เป็นองค์ชายแห่งรัฐเจ้า ทั้งยังเคยเป็นเจ้าจวินอีกด้วย หากไม่ตัดขาดอย่างสมบูรณ์ ฝ่าบาทจะวางพระทัยได้อย่างไร?”
สายตาในการมองคนของอิ๋งซื่อนั้นแม่นยำยิ่ง หากสามารถเป็นที่ถูกใจเขาได้ก็แสดงว่าเจ้าอี่โหลวมีความสามารถอย่างแท้จริง นี่ทำให้ซ่งชูอีทั้งมีความสุขและเป็นกังวล
ผ่านไปสักพัก ซ่งชูอีจึงพ่นลมหายใจออกมาเชื่องช้า “พี่ใหญ่เล่าเรื่องสงครามของรัฐเจ้าให้เจ้าฟังเถิด ฉินเจ้ามิได้มีชายแดนติดกัน รัฐเจ้าจะส่งกองกำลังไปที่ใด?”
จางอี๋ตอบ “อี้ฉวี”
“เกรงว่านี่จะเป็นความตั้งใจของกงซุนเหยี่ยน!” เปลือกตาของซ่งชูอีเต้นกระตุก
ตั้งแต่เซี่ยวกงปีที่สิบสาม อี้ฉวีก็เป็นกลายเป็นรัฐขุนนางของฉิน ทว่ารัฐฉินในเวลานั้นไม่มีอำนาจการปกครองอี้ฉวี จึงได้แต่เอาใจเพื่อมิให้มันเปิดสงครามกับฉิน ในความเป็นจริงแล้ว อี้ฉวียังเป็นรัฐอิสระรัฐหนึ่งและไม่เคยยึดติดกับฉินอย่างจริงใจ
ครั้งนี้อี้ฉวีขอความช่วยเหลือ หากรัฐฉินไม่สนับสนุน เช่นนั้นเกรงว่าสองรัฐก็ถึงคราวแตกหักแล้ว
ทว่าเมื่อทหารฉินออกไปสนับสนุน หากอี้ฉวีได้รับผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่งจะทำเยี่ยงไรเล่า?
จางอี๋เห็นว่านางเป็นกังวล จึงเล่าเรื่องสงครามครั้งนี้ด้วยความจริงจัง “หลายวันก่อน รัฐเจ้าสูญเสียครั้งใหญ่ในมือของรัฐฉีและรัฐเว่ย บัดนี้กลยุทธ์เหอจ้งถูกกำหนดแล้ว ทั้งกงซุนเหยี่ยนยังสานสัมพันธ์กับรัฐฉี แม้ว่าในใจของเจ้าโหวโกรธแค้นเพียงใดก็ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม ทว่าการสูญเสียดินที่อุดมสมบูรณ์ไปหกร้อยลี้ ความแข็งแกร่งของรัฐเจ้าก็ลดลงฮวบฮาบ หากไม่ค้นหาดินแดนใหม่อีก ไม่ช้าเสบียงอาหารก็จะไม่เพียงพอต่อกองทัพ กำลังของรัฐจะเสื่อมถอยอย่างรวดเร็ว เนื่องจากรัฐฉินเพิ่งขยายดินแดนเมื่อเร็วๆ นี้ กองทหารขาดแคลน การป้องกันชายแดนคลายตัวกว่าปกติมาก รัฐเจ้าจึงหาโอกาสอันเหมาะสม ทุ่มสุดตัวเพื่อรวบรวมกำลังรัฐโจมตีอี้ฉวี เนื่องจากรัฐโดยรอบจะไม่โจมตีมันตามกลยุทธ์จ้งเหิง”
“ต่อให้อี้ฉวีกล้าหาญและโหดร้ายเพียงใด ก็ยากที่จะต้านทานพลังโจมตีฉับพลันของรัฐเจ้าได้ จึงสูญเสียสี่เมืองติดต่อกันภายในเวลาสามวัน” จางอี๋กล่าวด้วยอารมณ์ “ร้อยปีมานี้รัฐเจ้าสู้รบกับอี้ฉวีและพ่ายแพ้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าครั้นเดือดดาลขึ้นมาก็สามารถมีชัยชนะอันยิ่งใหญ่ เห็นได้ชัดว่าแมวที่ถูกกระตุกหนวดก็กลายเป็นเสือได้เหมือนกัน!”
ในบรรดาซานจิ้น บัดนี้รัฐเจ้ามีกำลังอ่อนแอที่สุด ในสิบปีที่ผ่านมาจำนวนครั้งที่ชนะสงครามน้อยที่สุด หากบ้านเมืองเช่นนี้ต้องสูญเสียดินแดนและกำลังทหารอ่อนแอลงไปอีก การล่มสลายก็อยู่ไม่ไกลแล้ว ในจุดที่สิ้นหวัง ใครๆ ก็สามารถระเบิดพลังอันน่าทึ่งได้
“ข้าจะกลับไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท!” จู่ๆ ซ่งชูอีก็เอ่ยขึ้น
จางอี๋มองไปยังดวงตาที่ชัดเจนของนางและดูตกใจเล็กน้อย
“พี่ใหญ่ ท่านลงจากรถเถิด ข้ามีเรื่องด่วน” ซ่งชูอีผลักไสเขา
จางอี๋ทำตามการผลักไสของนาง ลุกขึ้นลงจากรถ เมื่อยืนอยู่บนถนนแล้วยังไม่ทันจะเอ่ยปากพูดอะไร ก็เห็นรถม้าของซ่งชูอีเลี้ยวเปลี่ยนทิศจากไปอย่างรวดเร็วแล้ว
รถม้าทำให้ฝุ่นบนถนนลอยคลุ้งราวกับอีกาสีทองที่โผปีกบิน ฉากที่ปรากฏสู่สายตานั้นบิดเบี้ยวเล็กน้อย
จางอี๋มองไปรอบพลันกระโดดโหยงเหยง “นี่! นี่! อย่างน้อยเจ้าก็ทิ้งม้าให้ข้าหน่อยสิ! ข้ายังมีงานต้องทำนะ!”
จากนี่จนถึงจวนมหาเสนาบดีเป็นระยะทางพอสมควร เนื่องจากมีพระราชวังล้อมรอบ จึงไม่มีราษฎร เบื้องหน้าพระราชวังกว้างใหญ่เป็นพื้นที่ว่างเปล่า มีเพียงเขายืนอ้างว้างอยู่ผู้เดียว สามารถมองเห็นพระราชวังเสียนหยางตั้งตระหง่านจากที่ไกลๆ แต่ต่อให้ตะโกนเสียงดังเพียงใดทางนั้นก็คงไม่ได้ยิน
“ข้าจางอี๋ช่างน่าสงสารนัก อยู่ใต้หนึ่งคนอยู่เหนือคนนับหมื่น แต่กลับมีชีวิตที่ยากลำบากเหลือเกิน!” จางอี๋ตัดพ้อ เขาเพียงยืนใต้พระอาทิตย์เพียงครู่หนึ่งก็ถูกแดดเลียจนศีรษะบวมเป่ง รีบยกแขนเสื้อขึ้นบังแสงแดดแล้วเดินไปยังจวนอย่างรวดเร็ว
ซ่งชูอีที่อยู่ในรถม้ากำลังใคร่ครวญถึงสิ่งต่างๆ พลันได้ยินเสียงตะโกนของจางอี๋ดังขึ้นข้างหู ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ เมื่อนางดึงสติกลับมาได้จึงเลิกผ้าม่านมองออกไปข้างนอก เห็นจางอี๋วิ่งไปยังทิศทางฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางสะบักสะบอมเข้าพอดี ก็ระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไร้ยางอาย
ครั้นถึงประตูพระราชวัง ซ่งชูอีลงจากรถแล้วเรียกให้คนขับรถรีบไปส่งจางอี๋ทันที
นางพาร่างกายที่บาดเจ็บไปยังหน้าท้องพระโรง ขณะที่ขอให้คนไปทูลว่าต้องการเข้าเฝ้ากลับรู้มาว่าอิ๋งซื่อไปที่หอคอยแล้ว ลอบด่าอยู่ในใจว่าเดินไวจริงเชียว! จากนั้นก็ไปที่หอคอยด้วยความยากลำบาก
เมื่ออิ๋งซื่อได้ยินว่าซ่งชูอีจากไปแล้วแต่กลับมาอีกครั้งก็ประหลาดใจเล็กน้อย ครั้นเห็นซ่งชูอีที่ตัวชุมไปด้วยเหงื่อ คิ้วก็ผูกปมกัน
“กั๋วเว่ยมีเรื่องด่วนใด” อิ๋งซื่อละสายตากลับมา และไม่เชิญนางนั่ง พลางอ่านเอกสาร พลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น ในเมื่อตัวนางเองยังไม่หวงแหนร่างกายของตัวเอง แล้วเขามีความจำเป็นอะไรต้องหวงแหนแทนนาง!
ซ่งชูอีสะบัดแขนเสื้อโค้งคำนับยาวนาน “กระหม่อมขออาสากำกับงานสงครามฉินเจ้าพ่ะย่ะค่ะ”
พู่กันในมือของอิ๋งซื่อหยุดชะงัก เอ่ยโดยไม่เงยหน้า “สงครามครั้งนี้มีกว่าเหรินกำกับดูแลเอง กั๋วเว่ยกลับไปพักผ่อนเถิด”
“ฝ่าบาททรงงานยุ่งทุกวัน ห้ารัฐเข้าร่วมกลยุทธ์เหอจ้งเพื่อต่อต้านรัฐฉินมีความสำคัญลำดับต้นๆ กระหม่อมขอให้ฝ่าบาทมองภาพรวมด้วย” ซ่งชูอีเอ่ย
อิ๋งซื่อเงยหน้า สายตาคมกริบราวกับมีด “กั๋วเว่ยสงสัยในความสามารถของกว่าเหรินรึ!?”
ซ่งชูอีรู้สึกได้ว่าเขาโมโห รีบค้อมตัวพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ความสามารถของฝ่าบาทเป็นที่ประจักษ์ทั่วหล้า แต่ถ้าทุกเรื่องใหญ่เล็กล้วนมีฝ่าบาทแบกรับไว้เพียงผู้เดียว จะมีกระหม่อมไว้ทำไม!”
เพี๊ยะ!
ซ่งชูอีได้ยินเสียงก็เหลือบตาขึ้น เห็นพู่กันในมือของอิ๋งซื่อหักเป็นสองท่อนพอดี หยดหมึกกระจัดกระจายเต็มโต๊ะ
“แผนสงครามโดยรวมมีท่านแม่ทัพอยู่แล้ว ไม่ต้องให้กั๋วเว่ยเช่นเจ้าออกโรงเองดอก!” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อเยือกเย็นแต่เชื่องช้า มองไม่เห็นความโกรธทว่ากลับทำให้ก้นบึ้งหัวใจเย็นวาบ
หน้าที่ความรับผิดชอบของแม่ทัพใหญ่และกั๋วเว่ยไม่ต่างจากมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายละฝ่ายขวาเท่าใดนัก คนหนึ่งดูแลเรื่องภายนอก อีกคนหนึ่งดูแลเรื่องภายใน สิ่งที่ต่างกันก็คือมหาเสาบดีทั้งสองฝ่ายมีระดับเท่ากัน ทว่ากั๋วเว่ยกลับต่ำกว่าแม่ทัพใหญ่หนึ่งขั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือการดำรงอยู่ของกั๋วเว่ยส่วนใหญ่เพื่อช่วยเหลือแม่ทัพใหญ่ในการทำสงครามนอกรัฐ ปกติแล้วต่างคนต่างมีหน้าที่ของตัวเอง ทันทีที่มีสงครามภายนอก กั๋วเว่ยต้องฟังคำสั่งแม่ทัพใหญ่ ให้ความร่วมมือในการทำสงคราม
ลมพัดม่านไม้ไผ่บางๆ ส่งเสียงเล็กละเอียด องค์จวินและขุนนางสองคนภายในหอคอยอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ขันทีเถาเงียบงันราวกับรูปปั้นแกะสลัก ไม่กล้าหายใจแรง พยายามลดความมีตัวตนอย่างสุดความสามารถ
นี่เป็นครั้งแรกที่สองคนมีความเห็นไม่ตรงกัน ต่างฝ่ายต่างไม่มีท่าทีจะโอนอ่อนต่อกันเลย
ซ่งชูอีเป็นคนที่รู้จักกาลเทศะเป็นอย่างดีเสมอมา หากไม่มีความจำเป็นจะไม่เสี่ยงเผชิญหน้ากับองค์จวินเป็นอันขาด นางก็หาคำอธิบายไม่ได้สำหรับการเผชิญหน้าครั้งนี้ คล้ายว่าอารมณ์ของอิ๋งซื่อก็ไม่ใคร่ดีนับตั้งแต่วินาทีที่นางก้าวเข้ามาแล้ว ตามที่นางรู้จักอิ๋งซื่อ เขารู้สึกว่าคำขอนี้ของนางเป็นการกระทำที่เกินหน้าที่ของตัวเอง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนี้ก็ได้นี่นา? อิ๋งซื่อเป็นคนเย็นชาและดื้อรั้น แต่เขาไม่ใช่คนโกรธง่าย
โชคดีที่อิ๋งซื่อควบคุมตนเองได้ดีมาก หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เห็นว่าซ่งชูอียังคงไม่มีท่าทีจะขยับเขยื้อน ก็เอ่ยเสียงดัง “เด็กๆ เชิญกั๋วเว่ยออกไป”
ทหารองครักษ์หู่เปินสองนายตอบรับแล้วเข้ามา ประสานหมัดคำนับซ่งชูอี “กั๋วเว่ยเชิญ!”
“ฝ่าบาท!” ซ่งชูอีมีเหตุผลมากมายที่จะโน้มน้าวเขา ทว่าช่วยไม่ได้ที่อีกฝ่ายไม่ยินยอมรับฟัง
ขืนตอนนี้ยังไม่ไปอีก มีหวังถูกโยนออกไปเป็นแน่ ไม่ว่าซ่งชูอีหน้าด้านเพียงใดก็ไม่อาจสูญเสียบุคคลนี้ไปได้ จากนั้นก็ถอนหายใจแล้วเดินออกไป
อิ๋งซื่อเหลือบมองแผ่นหลังของนางที่เดินโขยกเขยก รับผ้าเช็ดหน้าที่ขันทีเถายื่นให้เพื่อเช็ดคราบหมึกบนมือ ก้มหน้าลงเอ่ยว่า “สั่งรถม้าส่งกั๋วเว่ยกลับจวน”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาตอบรับด้วยความนอบน้อม ทว่ากลับประหลาดใจเล็กน้อย โมโหถึงเพียงนี้ยังสั่งรถให้ไปส่ง เห็นทีจะให้ความสำคัญกับกั๋วเว่ยจริงๆ!
ซ่งชูอีเดินมาถึงทางเดินจึงรู้สึกว่าเจ็บแผล ยืนพิงเสาอยู่ครู่หนึ่ง
สายลมเอื่อยพัดกลิ่นหอมโชยมา เสียงกระดิ่งดังกรุ๊งกริ๊ง ซ่งชูอีหันไปก็เห็นหญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านบุปผาและต้นหลิวมาทางนี้ราวกับหมู่เทพธิดา และผู้หญิงท่าทางสง่างามที่นำหน้าก็คือเว่ยหว่าน
ซ่งชูอีรีบสงวนท่าที คำนับนาง “ถวายบังคมกั๋วโฮ่ว”
“กั๋วเว่ยไม่ต้องมากพิธี” เว่ยหว่านเดินขึ้นมาบนทางเดิน ครั้นเห็นลักษณะของซ่งชูอี ความประหลาดใจก็วูบผ่านใบหน้า “เหตุใดกั๋วเว่ยถึงสะบัมสะบอมเพียงนี้?”
“ทูลกั๋วโฮ่ว อากาศร้อน บวกกับรีบเดินทาง พบกั๋วโฮ่วในสภาพไม่สมบูรณ์ เสียมารยาทแล้ว กั๋วโฮ่วได้โปรดให้อภัย” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย
เว่ยหว่านยิ้มเอ่ยน้อยๆ “กิจการแห่งรัฐไม่ว่างเว้น กั๋วเว่ยลำบากแล้ว ไม่ทราบว่ากั๋วเว่ยจะไปที่ใด ข้าสั่งรถม้าไปส่งหรือไม่?”
ซ่งชูอีปฏิเสธเว่ยหว่าน “ขอบคุณน้ำใจของกั๋วโฮ่ว รถม้าในจวนของกระหม่อมกำลังรออยู่หน้าประตูพระราชวัง กระหม่อมทูลลาแล้ว”
“กั๋วเว่ยตามสบาย” เว่ยหว่านพยักหน้า จากนั้นก็นำเหล่าสาวใช้เข้าไปยังหอคอย
เดินออกมาไม่กี่ก้าวนางก็หยุดลงกะทันหัน หันหลังกลับมองซ่งชูอีผ่านช่องว่างที่มีสาวใช้สองสามคนยืนอยู่ นางเห็นซ่งชูอีเดินกะเผลกเข้าไปยังถนนสายเล็ก มีขันทีคนหนึ่งเข้ามาคุยอะไรกับนางสองสามคำ
เว่ยหว่านขมวดคิ้ว
ต้าเหลียงแห่งรัฐเว่ยเป็นหนึ่งในนครใหญ่ที่ดีที่สุดในหลายๆ รัฐ หรูหราอลังการ รูปแบบการเลี้ยงดูเด็กชายขายบริการในสภาพถูกจองจำนั้นสุดโต่งยิ่งกว่าที่อื่น แม้แต่เว่ยหว่านที่เติบโตอยู่ในส่วนลึกของพระราชวังก็ยังเคยเห็นมาบ้าง ตอนแรกมีคนส่งเด็กชายหน้าตาดีถวายแก่เว่ยอ๋อง ทว่าเว่ยอ๋องโปรดปรานเพียงสตรี หลังจากลิ้มรสเด็กหนุ่มเพียงคนหนึ่งก็ส่งไปให้คนอื่นเสียแล้ว เด็กชายที่ถูกรับเลือกในตอนนั้น หลังจากผ่านราตรีนั้นไปก็มีท่าเดินเหมือนกับซ่งชูอีไม่มีผิดเพี้ยน!
เว่ยหว่านนึกถึงไม่กี่วันก่อนที่อิ๋งซื่อกลับพระราชวังกลางดึก ในใจก็พลันเกิดความสงสัยขึ้นมา
รูปร่างของซ่งหวยจินบอบบางเกินไปแล้ว แม้ว่าหน้าตาไม่ดีนัก ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบุคลิกของบัณฑิตอันสง่างามนั้นยากที่จะมีผู้ใดเทียบเคียง
เว่ยหว่านส่ายหน้า สลัดความคิดน่าขันของตัวเองออกไป บอกกับตัวเองว่า อิ๋งซื่อผู้หล่อเหลาเย็นชานั้นราวกับเทพบุตร ไม่มีทางเป็นคนประเภทนั้นแน่! อีกทั้งรัฐฉินก็ไม่เคยมีวัฒนธรรมของรักร่วมเพศมาก่อน
ครั้นมาถึงหอคอย เว่ยหว่านก็เห็นเงาของอิ๋งซื่อผ่านม่านไม้ไผ่ รอยยิ้มอ่อนหวานผุดขึ้นบนใบหน้า “ฝ่าบาท”
ไม่มีเสียงตอบรับ แต่เป็นขันทีเถาที่เดินเข้ามาเลิกผ้าม่านให้นาง “กั๋วโฮ่วเชิญเข้ามาพ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาทเพคะ” รอยยิ้มของเว่ยหว่านนั้นงดงามยิ่ง นางนั่งลงที่ไม่ไกลจากอิ๋งซื่อมากนัก “หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งต้องการทูลฝ่าบาท”
อิ๋งซื่อวางพู่กันลง เหลือบตาขึ้นมองนาง
เว่ยหว่านไม่เคยสบตาเขาตรงๆ สักครั้ง ทว่าครั้งนี้นางไม่ต้องการพลาดการแสดงออกใดๆ ของเขา “หม่อมฉัน…ตั้งครรภ์แล้วเพคะ”
อิ๋งซื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าเคร่งขรึมก็มีรอยยิ้ม เหมือนสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิแรกในฤดูหนาวอันโหดร้าย ราวกับแสงอาทิตย์เจิดจ้า น่าหวั่นเกรงจนไม่กล้าสบสายตาโดยตรง
“มาใกล้ๆ ซิ” อิ๋งซื่อยกมือขึ้น
นี่เป็นครั้งแรกที่เว่ยหว่านเห็นรอยยิ้มของเขา เสียอาการไปเล็กน้อย ทว่าคำพูดของเขาดูเหมือนมีพลังวิเศษ และนางก็เดินไปหาเขาด้วยความงุนงง
อิ๋งซื่อออกแรงเพียงเล็กน้อยก็ดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมแขน เว่ยหว่านรู้สึกเพียงร่างกายของตัวเองบิดเอียง จากนั้นก็ถูกแขนอันทรงพลังจับไว้แน่น มันแรงมากแต่นางกลับไม่รู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
มือข้างหนึ่งของอิ๋งซื่อลูบท้องของนางแผ่วเบา น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน “กี่เดือนแล้ว?”
“หมอหลวงกล่าวว่าสองเดือนกว่าแล้วเพคะ” เว่ยหว่านเห็นใบหน้าของเขาใกล้ๆ เป็นครั้งแรก รู้สึกว่ามันหล่อเหลากว่าที่จินตนาการไว้ โดยเฉพาะดวงตาที่เจือปนรอยยิ้มในตอนนี้ ท่าทางที่อบอุ่นนั้นยิ่งชวนให้หลงใหลนัก
ขันทีเถากล่าวด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความปิติ “ขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาท ขอแสดงความยินดีกับกั๋วโฮ่วพ่ะย่ะค่ะ”
อิ๋งซื่อดีใจเป็นอย่างยิ่ง “ดูแลสุขภาพให้ดี ต่อไปไม่ต้องเดินไกลเพียงนี้ ไว้ข้ามีเวลาจะไปหาเจ้า”
“เพคะ” ใบหน้าของเว่ยหว่านถูกย้อมด้วยแสงยามเช้า ดวงตาสดใส พิงหน้าอกของอิ๋งซื่อพลางฟังเสียงเต้นของหัวใจอันทรงพลังของเขา รู้สึกพอใจมาก
ในหัวใจของอิ๋งซื่อดูเหมือนจะเต็มไปด้วยข่าวดีนี้ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด หลังจากความปีติอันแสนสั้นได้ผ่านไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกอ้างว้างกว่าเดิม เขากำชับเว่ยหว่านสองสามคำ จากนั้นก็ให้คนใช้เกี้ยวส่งนางกลับตำหนัก แล้วส่งแพทย์สองคนที่เชี่ยวชาญทางนี้ไปตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด
นี่เป็นลูกคนแรกของเขาย่อมให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ข่าวดีที่กั๋วโฮ่วทรงพระครรภ์แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ภายในหนึ่งวัน ขุนนางและแม่ทัพทุกคนล้วนรู้เรื่องนี้แล้ว
ครั้นซ่งชูอีรู้ข่าวนี้ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
นางเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เปลี่ยนเสื้อคลุมสีขาวแห้งสบาย นอนกินแตงหวานอยู่บนเตียง คนที่ชูหลี่จี๋ให้มาส่งข่าวรายงานข่าวนี้ผ่านม่านบางๆ นางเบะปากทว่ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “แหม ช่างเป็นข่าวดีจริงๆ พรุ่งนี้จะต้องแสดงความยินดีต่อฝ่าบาทระหว่างการประชุมราชสำนักเสียหน่อย! เจ้ากลับไปบอกท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาว่าข้ารู้แล้ว”
“ขอรับ”
ซ่งชูอีโยนเปลือกแตงลงไปในถาด เกี่ยวผ้าขนหนูขึ้นมาเช็ดมือ กล่าวอย่างมีความเห็น “เหตุใดเป็นถึงพ่อคนแล้ว อารมณ์ยิ่งแปรปรวนเล่า!”
“ท่านยังขุ่นเคืองอยู่รึเจ้าคะ” หนิงยาเอ่ยถาม
ซ่งชูอีเงียบไป คิดไปคิดมา ก็คิดว่าต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้…
“จริงสิคะท่าน สูตรสุราที่ท่านขอให้บ่าวนำไปมอบให้ท่านจอมยุทธ์ฉือคราวก่อนเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” หนิงยาเห็นว่านางดูอารมณ์ไม่ใคร่ดีจึงเปลี่ยนหัวข้อ
“พบเขาแล้วรึ?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
หนิงยายิ้มเอ่ย “เจ้าค่ะ ท่านจอมยุทธ์ฉือมีจวนหลังใหญ่อยู่ในนครเสียนหยาง บอกว่ากิจการดีมาก หากรวมทรัพย์สินทั้งหมดแล้ว มีถึงสามพันตำลึงทองเชียว!”
ฉือจวี้ทำเกษตรกรรมตามคำแนะนำของซ่งชูอีโดยปลูกต้นหม่อนทั้งหมด รับช่างทอผ้าฝีมือดีจำนวนหนึ่ง เลี้ยงชีพด้วยการขายผ้าไหม นอกจากนี้เขายังมีคอกม้าที่ลี่หยาง มักจะนำม้าชั้นดีมาจากอี้ฉวีเพื่อขายให้กับกองทัพในการทำสงครามซึ่งทำรายได้ไม่น้อย
ซ่งชูอีมักจะคิดถึงภูเขาลูกหนึ่งที่ฉือจวี้เคยกล่าวว่าเต็มไปด้วยต้นสนอยู่เสมอ ไม่สามารถเพาะปลูกอย่างอื่นได้เลย ลูกสนที่อยู่เต็มภูเขาจะถูกเก็บลงมา ปีหนึ่งก็ขายได้เพียงหนึ่งหรือสองตำลึงทองเท่านั้น
ซ่งชูอีลองบ่มสุราด้วยลูกสนและเมล็ดพืช ผลปรากฏว่าให้รสชาติที่ต่างออกไป จึงให้หนิงยาแอบส่งสูตรสุราไปให้เขา ดูว่าจะสามารถใช้วิธีนี้ทำเงินได้มากหน่อยหรือไม่
“อืม” ซ่งชูอีขาดความสนใจ “ให้ข้าสงบอารมณ์เสียหน่อย ไว้ค่อยคุยเรื่องนี้”
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน อุณหภูมิก็ค่อยๆ ลดลง มีความเย็นสบายอยู่ในสายลม
“หวยจิน?” เสียงของเจ้าอี่โหลวลอยมากะทันหัน
ซ่งชูอีพลิกตัวกลับมาก็เห็นมือยาวๆ ของเขากำลังเลิกผ้าม่านขึ้น เขาสวมเครื่องแบบสีดำ ผ้าไหมบางๆ สีควันเทาที่เหมือนน้ำหมึกบดบังใบหน้าคลุมเครือ มีเพียงคิ้วที่งดงามเท่านั้นที่ชัดเจนที่สุด
“ข้ามาลาเจ้า” เขาเอ่ย