กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 283 ข้าอยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่
“เหตุใดต้องเดินทางเร็วเพียงนี้เชียวรึ?” ซ่งชูอีลุกขึ้นนั่ง
“อืม” เจ้าอี่โหลวนั่งลงบนเตียง เงียบงันไม่พูดจา
“อี่โหลว หากเจ้าไม่อยากเป็นแม่ทัพก็ไม่ต้องเป็น ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองทำเรื่องใดๆ ทั้งนั้น” ซ่งชูอีก็นับว่าพอคาดเดาจิตใจของคนได้บ้าง ทว่าทุกครั้งที่เจ้าอี่โหลวมีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ นางกลับเดาไม่ออก
ซ่งชูอียอมรับว่าตนไม่เข้าใจเขา แต่เจ้าอี่โหลวก็ไม่จำเป็นต้องเข้าใจนาง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาไม่จำเป็นต้องอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจและความอดทนอดกลั้นซึ่งกันและกัน ต้องการเพียงความจริงใจมาแลกกันเท่านั้น
“ไม่” เจ้าอี่โหลวเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ชาตินี้หากมีโอกาส ข้าจะนำทัพไปที่หานตานให้ได้”
ในวินาทีนี้เอง แสงอาทิตย์อบอุ่นยามเย็นส่องกระทบใบหน้าอันหล่อเหลาและอ่อนเยาว์ของเขา แสงไฟหลอมละลายอยู่ในดวงตาที่ยาวเรียวนั้นแผดเผาทันใดราวกับไฟแห่งสงครามที่เจือปนความโหดร้ายแห่งการนองเลือด มันไม่อบอุ่น ในทางตรงกันข้ามกลับเยือกเย็นอย่างประหลาด โครงร่างที่แข็งแกร่งของเขาชัดเจนยิ่งขึ้นซึ่งแปลกแยกกับความอ่อนโยนภายในห้องโดยสิ้นเชิง
เขาเกลียดรัฐเจ้า เกลียดคนเหล่านั้นที่บีบให้มารดาของเขาตายเพื่ออำนาจ
หลังจากซ่งชูอีตระหนักถึงจุดนี้ได้อย่างชัดเจน ทันใดนั้นก็รู้สึกผิด เพราะว่าว่านางไม่แม้แต่จะเข้าใจเจ้าอี่โหลวเหมือนอิ๋งซื่อด้วยซ้ำ นางละเลยคนที่พร้อมจะร่วมเรียงเคียงหมอนกับนางไปจนแก่ชราผู้นี้เกินไปแล้ว
อิ๋งซื่อมอบหมายให้เจ้าอี่โหลวโจมตีรัฐเจ้าในฐานะองค์จวินผู้โหดร้าย แต่ก็เป็นการเติมเต็มประเภทหนึ่ง เพราะอิ๋งซื่อให้ความสำคัญกับความกล้าหาญของเจ้าอี่โหลว เขารู้จักชนะใจผู้คนเพียงนั้น จะไม่ดึงดันบังคับให้เจ้าอี่โหลวทำในสิ่งที่ไม่เต็มใจทำ เดิมทีก็เป็นความปรารถนาของทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว
อย่างไรก็ดี ซ่งชูอีไม่เชื่อว่าเจ้าอี่โหลวจะไม่มีความรู้สึกต่อรัฐเจ้าเลยสักนิด สุดท้ายแล้วเขาก็ยังใช้ชีวิตที่นั่นสิบกว่าปี มารดาของเขาก็เป็นที่โปรดปราน เกรงว่าชีวิตในวัยเด็กจะต้องเป็นไปตามปรารถนายิ่ง เนื่องจากความสมบูรณ์แบบถูกความจริงอันโหดร้ายทำลายจึงทำให้ยิ่งปวดใจกระมัง ความคิดถึงและความเกลียดชังเป็นสิ่งที่ทรมานที่สุด
ครั้นนึกถึงตอนนั้นอีกครา องค์ชายผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคนหนึ่ง จู่ๆ ก็ถูกความอัปลักษณ์และความเย็นชาของโลกใบนี้จมเขาราวกับกระแสน้ำ ต้องสูญเสียบิดามารดาไปเพราะอำนาจเพียงชั่วพริบตา ลิ้มรสกับความทรมานแสนสาหัส จนต้องตกไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสัตว์ร้าย การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ราวฟ้ากับเหวครั้งนี้ ควรจะเป็นอารมณ์แบบไหนกัน?
จากลำบากไปสบายนั้นง่าย จากสบายมาลำบากนั้นยาก นับประสาอะไรกับการตกฟ้าฟากฟ้ามาสู่ดินเล่า? จิตใจของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง อีกทั้งไม่รู้จักวิธีเอาตัวรอด และยังมีใบหน้าที่ทำให้บ้านเมืองระส่ำระส่ายเช่นนี้ การจะอยู่รอดโดยลำพังต้องใช้ความเข้มแข็งและความเพียรมากกว่าคนธรรมดา
เจ้าอี่โหลวมิใช่สิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ซ่งชูอีเป็นคนที่ไร้หัวใจ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่สามารถทำให้นางหวั่นไหวได้ ทว่าในตอนนี้เพียงนึกย้อนไปตอนที่เจอกับเจ้าอี่โหลวครั้งแรก เขาขุดนางออกมาจากในดิน ถอดชุดแต่งงานด้วยความชำนิชำนาญ…ฉากเรียบง่ายเพียงนี้กลับทำให้นางปวดใจอย่างยิ่ง
ที่แท้ เขาเป็นคนที่เข้าใจง่ายมาโดยตลอด เพียงแต่นางมิเคยใช้หัวใจสัมผัส
“กลับมาอย่างปลอดภัย” ความรู้สึกนับร้อยพัวพันอยู่ในใจ ซ่งชูอีกลับกล่าวได้เพียงไม่กี่คำนี้ออกมา
เจ้าอี่โหลวยิ้มน้อยๆ สีหน้าดูอ่อนโยนขึ้น อ้าแขนกอดนาง เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นข้างหู “วางใจเถิด เจ้ารักษาตัวที่บ้านให้ดี อย่าหักโหมจนเกินไป เจ้าเคยรับปากข้าว่าจะอยู่กับข้าอย่างสันโดษในอีกยี่สิบปี ใครผิดสัญญาคนนั้นเป็นสารเลว”
“ชิ!” คางของซ่งชูอีวางอยู่บนเสื้อเกราะเย็นเยียบของเขา หัวเราะเสียงดัง “นี่เป็นคำพูดของเด็กน้อยขี้งอน มีแต่เจ้าที่ยอมพูดอย่างจริงจังเช่นนี้”
เจ้าอี่โหลวกอดนางแน่น ไม่ได้พูดอะไร
“สู้ไม่ได้ก็หนีเสีย ข้าต้องการให้เจ้ามีชีวิตอยู่” ซ่งชูอีเอ่ยเชื่องช้า
“อืม” เจ้าอี่โหลวยกมุมปากยิ้ม เขามีความสุขยิ่งที่ได้ยินคำพูดนี้ ทว่าหากต้องหนีจริงๆ เขาจะรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับซ่งชูอี
สายลมยามราตรีพัดเอื่อย โบกสะบัดผ้าสีควันเทาบางๆ แสงสีแดงทองชุบโครงร่างของทั้งสองด้วยรัศมีอันอบอุ่น
ใบหน้าทั้งสองคนสงบราวกับเป็นช่วงเวลาที่สงบสุข
จนกระทั่งภายในห้องมืดแล้ว เจ้าอี่โหลวจึงปล่อยนาง
ห่างกันไม่ถึงหนึ่งฉื่อ นิ้วเรียวยาวของเขาลูบคิ้วตาของนางแผ่วเบา ขณะที่นิ้วสัมผัสริมฝีปากที่อบอุ่นและนุ่มนวลก็หยุดลงครู่หนึ่ง เขาโน้มตัวเล็กน้อยจุมพิตอย่างละมุนละไม
ตามปกติแล้วต่อให้เป็นการจากลา ซ่งชูอีก็จะต้องยิ้มร่าหรือด่าทอ จะไม่ยอมที่จะเพิ่มความกังวลใด ทว่านางไม่เคยเห็นเจ้าอี่โหลวเงียบสงบเช่นนี้มาก่อน ในความมืดสลัวเขามีบุคลิกของความสงบนิ่งเยี่ยงผู้ใหญ่อย่างเห็นได้ชัด การจากลากับเขาครั้งนี้ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง จากกันครานี้อย่างน้อยก็ครึ่งปี ในอนาคตเขาจะมีหน้าตาอย่างไรอีก?
สุดท้ายแล้วเจ้าอี่โหลวก็มิได้กล่าวคำอำลาอะไร ในความมืดมิดนี้ ซ่งชูอีเห็นว่าย่างก้าวของเขาที่จากไปไม่ได้หยุดลงเลย อดที่จะยิ้มไม่ได้ ยกมือขึ้นปิดปาก หัวใจที่แข็งกร้าวค่อยๆ อ่อนโยนขึ้น
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว
หมอกลงจัดกลางดึก
บนหอคอยของพระราชวังเสียนหยาง ม่านไม้ไผ่บางๆ ทั้งสี่ด้านถูกม้วนขึ้น เงาของร่างสูงใหญ่โก้งโค้งเล็กน้อย พาดแขนไว้บนราวด้วยท่าทางผ่อนคลายที่หาได้ยากยิ่ง แสงจันทราส่องสว่างเสื้อสีดำ คิ้วผูกเป็นปม ริมฝีปากเม้มแน่น ในดวงตาดุจนกอินทรีราวกับมีชั้นหมอกบางๆ ซึ่งดูเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม
“ฝ่าบาท” หญิงสาวคนหนึ่งค้อมตัวอยู่ด้านหลังพลางเรียกเสียงเบา
อิ๋งซื่อหันต่ำไปมองนาง
หญิงสาวเหลือบมอง บนใบหน้าของเขามีเงามืด มองไม่เห็นอารมณ์ใด
หญิงสาวรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย หลุบตาลง เอ่ยด้วยความอึดอัด “พี่สาวเรียกให้เชี่ยปรนนิบัติฝ่าบาทเจ้าค่ะ”
“ออกไป” อิ๋งซื่อพ่นคำนี้ออกมาอย่างเฉยเมย
มีเพียงความเยือกเย็นแต่ไร้ไฟโทสะ เว่ยหวานโล่งใจเล็กน้อย นางรู้สึกว่าตนเข้าใจนิสัยของอิ๋งซื่อดี เขามักจะเย็นชาอยู่เสมอ วิธีการก็โหดร้าย ทว่ามิได้อารมณ์เสียง่ายๆ ขอเพียงไม่ทำให้เขาหมดความอดทน เขาก็จะไม่ลงโทษสุ่มสี่สุ่มห้า ครั้นคิดถึงตรงนี้ เว่ยหวานจึงรวบรวมความกล้าพร้อมเอ่ยว่า “พี่สาวแพ้ท้องหนัก นางไม่อยากให้ฝ่าบาทกังวลพระทัย ไม่ให้เชี่ยกราบทูล เชี่ยขอบังอาจเชิญฝ่าบาทไปเยี่ยมพี่สาวบ้างเมื่อมีเวลา…เชี่ยทูลลา”
หลังจากเว่ยหวานโค้งคำนับแล้วกำลังจะจากไปอยู่นั้น กลับเห็นอิ๋งซื่อพยุงตัวขึ้นมาจากราว “ขันทีเถา”
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถารีบค้อมตัวเข้ามา
“ส่งผู้ฝึกสักสองสามคน ไปสอนฮูหยินเว่ยให้ดีว่ากั๋วโฮ่วกับฮูหยินมีความแตกต่างกันอย่างไร” อิ๋งซื่อตบที่พักแขนเบาๆ เอ่ยออกมาแบบขอไปที ทว่าในสมองกลับกำลังคิดเรื่องอื่น
การจัดการกับสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้สมอง ในวังหลังของอิ๋งซื่อมีเพียงกั๋วโฮ่วเท่านั้นที่เป็นผู้หญิงของเขา ผู้หญิงคนอื่นเป็นเพียงเครื่องประดับ ตามปกติแล้วเขาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ แต่มีบางคนวิ่งเข้ามาหาเขาและทำตัวล้ำเส้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่ก็เป็นการรนหาที่ตายเอง
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถากล่าว
เว่ยหวานตาแดง รู้สึกว่าอิ๋งซื่อเย็นชาไร้หัวใจอย่างแท้จริง นางก็มิได้กล่าวอะไรที่ไม่ควรเสียหน่อย! หรือว่าจะต้องให้ผู้หญิงทุกคนเป็นเหมือนท่อนไม้ เขาจึงจะพอใจ!
ในใจเปี่ยมไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เว่ยหวานกัดฟันไม่ร้องขอความเมตตา ยืดตัวตรงเดินตามขันทีเถาออกไปแล้ว
อิ๋งซื่อหรี่ตา มองไปที่ห้องใต้หลังคาไกลๆ ท่ามกลางสายหมอก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
ครู่หนึ่ง เขากลับมานั่งลงหน้าโต๊ะ หยิบผ้าไหมสีขาวออกมาแผ่นหนึ่ง หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนราชโองการลงไป หลังจากกวาดตาอีกรอบก็ประทับตราจวินแห่งรัฐลงไป จากนั้นก็เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อเหม่อมองราชโองการนั้น
จนกระทั่งขันทีเถากลับมา เขาจึงม้วนหนังสือผ้าไหมแล้วใส่ลงในกระบอกไผ่ ก้มหน้าลงปิดฝากระบอก
“ไปเรียกผู้ส่งราชโองการเข้ามา” อิ๋งซื่อเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเถารีบออกไป ไม่นาน ชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำในชุดเกราะสีดำคนหนึ่งเดินเข้ามา กำหมัดโค้งคำนับ “ฝ่าบาท”
“ส่งไปที่จวนกั๋วเว่ยทันที” อิ๋งซื่อยื่นกระบอกไผ่ที่บรรจุหนังสือผ้าไหมอยู่ข้างในให้ผู้ส่งราชโองการกับมือ
“พ่ะย่ะค่ะ!” ผู้ส่งสารรับราชโองการลับมา ใส่มันเข้าไปในหน้าอก โค้งคำนับอีกครั้งแล้วค้อมตัวถอยออกไป
อิ๋งซื่อหยิบแถบไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วหมุนไส้ตะเกียงเบาๆ ความเยือกเย็นผุดขึ้นในดวงตา