กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 285 ดีใจอะไรโง่ๆ
ไม่เคยมีสันติภาพระหว่างรัฐมากนัก แทบจะมีสงครามในทุกๆ สองสามวัน อย่างไรก็ดีนี่กลับเป็นสงครามครั้งใหญ่ที่สุดในรอบห้าปีของจงหยวน ทั้งเจ็ดมหานครรัฐไม่สามารถตัดขาดการเชื่อมโยงต่อกันได้ เพียงหนึ่งรัฐออกโรงก็สะเทือนอย่างทั่วถึงและสงครามโค่นรัฐอาจจะปะทุขึ้นได้ทุกเมื่อ
สถานการณ์ของนานารัฐสั่นสะเทือนด้วยความพยายามของกงซุนเหยี่ยนเพียงคนเดียว
……
พลบค่ำของวันรุ่งขึ้น เมื่อซ่งชูอีมาถึงนอกนครลี่หยางก็รีบสั่งให้กองทัพออกเดินทางไปยังหลีสือทันที
ลี่หยางเป็นนครหลวงเก่าของรัฐฉินแต่กลับเสื่อมโทรมเป็นอย่างมาก บ้านรกร้างว่างเปล่าที่กำลังอาบแสงพระอาทิตย์ตกดินนั้นคล้ายชายชรา มองไม่เห็นความมีชีวิตชีวาแม้แต่น้อย คนเดินเท้าก็ดูไม่กะตือรือร้นเหมือนในเสียนหยาง สามารถมองเห็นเพียงบรรยากาศเมืองหลวงของทั่วทั้งเมืองได้อย่างคลุมเครือจากแผนผังขนาดใหญ่
ซ่งชูอีพักอยู่ในจวนที่ลี่หยาง ทันทีที่นั่งลง ข่าวสงครามเบื้องหน้าก็ถูกส่งเข้ามา
ภายใต้การจู่โจมอย่างเต็มกำลังของทหารรัฐเจ้า ภายในห้าวันกองทัพอี้ฉวียังสามารถเหลือทหารอยู่เก้าหมื่นนายจากหนึ่งแสนห้าหมื่นนายเพื่อปกป้องเมืองสุดท้าย ทั้งยังส่งสารไปยังหลีสือ ต้องการยืมเส้นทางเพื่อถอยกลับไปยังเหอซี
ซ่งชูอีเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแล้วยื่นให้กับกู่หานทันที “นำจดหมายฉบับนี้ไปให้เจ้ารัฐอี้ฉวีในเหอตงอย่างลับๆ บอกให้พวกเขายื้ออย่างสุดความสามารถอีกสามวัน ทันทีที่กองทัพฉินมาถึง ระดมทหารรักษาการณ์หนึ่งแสนห้าหมื่นนายในเหอซีทันที เพื่อช่วยพวกเขากู้คืนดินแดนที่เสียไป!”
“ขอรับ!”
กู่หานรับคำสั่งออกไป กู่จิงถามเสียงเบา “กั๋วเว่ย คิดจะช่วยอี้ฉวีจริงหรือ?”
ซ่งชูอีหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็น
กู่จิงไม่เข้าใจความหมายของนาง บ่นพึมพำกับตัวเอง “ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายกล่าวว่า อี้ฉวีก็เป็นเหมือนหญิงปากร้ายในลานหลังบ้านของต้าฉินข้า ไม่โบยสามวันก็ปีนหลังคารื้อแผ่นกระเบื้อง พวกเราจะช่วยไม่ได้”
“คำพูดนี้น่าสนใจจริง!” ซ่งชูอียกแก้วน้ำขึ้น จิบมันพร้อมรอยยิ้ม
“แน่อยู่แล้ว ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเป็นผู้มีความรู้” กู่จิงมีท่าทีเป็นเกียรติอย่างมาก และเสริมอีกหนึ่งประโยคในตอนท้าย “มีความรู้เหมือนกับกั๋วเว่ย”
ซ่งชูอีหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง นางไม่ต้องการตอบคำถามของกู่จิงเมื่อครู่ กำลังคิดจะเปลี่ยนหัวข้อ คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนเปลี่ยนหัวข้อก่อนเสียเอง
กู่จิงนึกว่านางมีความสุข ดังนั้นจึงหัวเราะตามอย่างมีความสุขมากไปด้วย
ครั้นคุยธุระจบแล้ว ซ่งชูอีก็กินยาแล้วไปนอนบนเตียง
พระอาทิตย์ยามเย็นข้างนอกค่อยๆ ลาลับ ยามพลบค่ำมืดสลัว
เช้าตรู่ หลังจากที่ซ่งชูอีล้างหน้าล้างตาง่ายๆ แล้วก็พาผู้อารักขาลับเร่งเดินทางต่อ
การต่อสู้แนวหน้าที่ตึงเครียดตลอดเส้นทาง ทางอี้ฉวีถูกซ่งชูอีหยุดไว้ชั่วคราวและต่อต้านอย่างเต็มกำลังสามวัน เพียงพริบตาเดียวทหารเก้าหมื่นนายลดเหลือห้าหมื่น ซ่งชูอียื้อแล้วยื้ออีกจนเจ้ารัฐอี้ฉวีเริ่มทนไม่ไหว ขอยืมเส้นทางหลีสือครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่ากลับถูกกองทัพรัฐฉินปฏิเสธโดยกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพไม่อยู่ที่นี่ ไม่อาจกระทำการโดยพลการ”
ความหมายที่กองทัพรักษาการณ์มีอยู่ก็เพื่อรักษาป้อมปราการ เหล่าแม่ทัพล้วนพร้อมรบ สงครามเร่งด่วน มีเหตุผลใดที่จะต้องส่งแม่ทัพมาอีกคนเล่า? ในที่สุดเจ้ารัฐอี้ฉวีเกรี้ยวกราด ส่งกองทัพโจมตีเสียนหยางทันที เตรียมเลียนแบบกลยุทธ์ “ล้อมเว่ยช่วยเจ้า” ของซุนปิ้น
ซ่งชูอีไม่ใครสนใจข่าวนี้สักเท่าไร เจ้าอี่โหลวออกศึกครั้งนี้ เป็นที่รู้กันว่านำกองกำลังไปหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย แต่ที่จริงแล้วนำไปเพียงห้าหมื่นนาย กองกำลังรักษาการณ์เสียนหยางนั้นแข็งแกร่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีองค์จวินและแม่ทัพใหญ่กำกับดูแล หากสามารถบีบอี้ฉวีถึงทางตันจริงๆ ต่างหากนางจึงจะแปลกใจ สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของนางก็คือ ทัศนคติคลุมเครือของรัฐฉู่ที่มีต่อกลยุทธ์เหอจ้ง ไม่แสดงจุดยืนแต่ก็ไม่ปฏิเสธด้วยคำพูดที่รุนแรง ส่วนจางอี๋ก็ออกจากเสียนหยางแทบจะเวลาเดียวกันกับนางเพื่อล่วงหน้าไปพบมหาเสนาบดีแห่งฉีและฉู่ก่อน
รัฐฉู่เพิ่งแสดงท่าทีแข็งกร้าวต่อรัฐเว่ยเนื่องจากเหอจ้ง ฉู่อ๋องนึกว่าตัวเองถูกหลอกและกำลังโมโหนัก มหาเสนาบดีเว่ยเถียนซวีลงจากตำแหน่ง ด้านบนมีกงซุนเหยี่ยน ยังจะดำเนินการเหอจ้งอะไรอีกเล่า! ฉู่อ๋องได้ยินก็บันดาลโทสะ ความโมโหของเขายังไม่ทันจะทุเลา ใครอยากคุยเรื่องพันธมิตรก็ไปรบเร้าผู้นั้นสิ! เดิมทีฉู่อ๋องต้องการปฏิเสธ แต่เห็นว่าสงครามครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก และดูเหมือนว่าต้องการจะทำให้รัฐฉินแตกหักจริงๆ เขากลัวว่าหลังจากทำให้ผู้อื่นล่มสลายแล้ว เหล่าขุนนางจะมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป เขาฟังแล้วก็ปวดหัว จึงให้ลิ่งอิ่น (ชื่อตำแหน่งขุนนาง เช่นเดียวกันมหาเสนาบดี) ไปจัดการทั้งหมด
กงซุนเหยี่ยนเพราะต้องการกำจัดเถียนซวีจึงเริ่มลงมือจากรัฐฉู่ ท้ายที่สุดก็สูญเสียตัวละครสำคัญตัวหนึ่งในการแผนการเหอจ้งไป รู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ในวันนั้น จางอี๋ออกจากเสียนหยางเร็วกว่าซ่งชูอีครึ่งชั่วยาม กลยุทธ์เหลียนเหิงของเขา จำต้องผูกมิตรกับฉู่และฉี สามรัฐที่แข็งแกร่งจับมือกัน ต้อนจากทิศใต้ไปยังทิศเหนือ ทำลายเว่ย หาน เจ้า เยียน ตามลำดับก่อนหลังเหมือนการดึงร่างแห
จางอี๋เริ่มเคลื่อนไหวตั้งแต่ตอนที่กงซุนเหยี่ยนยังอยู่ในรัฐฉินแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถปลีกตัวเพื่อไปหารัฐฉู่และฉีด้วยตัวเองได้ เดิมทีพวกเขาเป็นพันธมิตรที่เข้มเข็งและสามารถเอ่ยโน้มน้าวองค์จวินทั้งสองรัฐได้อย่างง่ายดาย ทว่าบัดนี้รัฐฉินประสบปัญหา สองรัฐนั้นมีทัศนคติที่จะมองไฟข้ามฝั่งเสียมากกว่า คิดที่จะลากพวกเขามาเอี่ยวด้วยนั้นจะต้องมีเหตุผลเพียงพอ
ครั้งนี้ จางอี๋ออกเดินทางลับๆ ผ่านรัฐฉู่ไปยังรัฐฉีก่อนเพื่อพบมหาเสนาบดีแห่งรัฐฉีโจวจี้
ครั้นนึกถึงมหาเสนาบดีฉีและฉู่สองรัฐนี้แล้ว ซ่งชูอีก็ทอดถอนใจแทนจางอี๋
มหาเสนาบดีทั้งสองคนนี้ ยากที่จะแยกแยะว่าภักดีหรือทรยศ จะบอกว่าพวกเขาทรยศ พวกเขาก็มีพรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อวางแผนให้บ้านเมืองด้วยความภักดี จะบอกว่าพวกเขาภักดี พวกเขาก็ยังระดมทุนและฆ่าคนที่คุกคามสถานะของพวกเขา…มหาเสนาบดีแห่งรัฐฉีโจวจี้ เมื่ออ่อนเยาว์หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงโปร่ง เป็นหนุ่มรูปงามผู้มีชื่อเสียงของรัฐฉี นอกเหนือจากรูปลักษณ์หน้าตาแล้ว บุคคลนี้มีความสามารถทางการเมือง ทว่าเป็นคนขี้อิจฉา วิธีควบคุมผู้อื่นนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก ตอนนั้นที่จางอี๋ไปยังรัฐฉีแล้วคุกคามตำแหน่งของเขาก็ถูกเขาปราบปรามไปไม่น้อย ส่วนลิ่งอิ่นแห่งรัฐฉู่เจาหยาง ก็เกือบทำให้จางอี๋ถึงตาย…
บัดนี้จางอี๋ดูน่าเกรงขาม ทว่าก่อนหน้านี้ เขาถูกข่มเหงเกือบทุกครั้งที่ไปรัฐใดรัฐหนึ่ง จึงรู้สึกหดหู่ใจมาก
ชาติก่อนของซ่งชูอีก็เป็นเช่นนี้ แม้กระทั่งสุดท้ายก็ไม่ได้มีตำแหน่งขุนนางดีๆ เหมือนจางอี๋ด้วยซ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกซาบซึ้งกับอดีตของบุคคลผู้นี้นัก “พี่ใหญ่ผู้น่าสงสารของข้า”
ในฐานะมหาเสนาบดีของรัฐฉินก็ไม่สามารถแสดงท่าทีโอหังต่อหน้าอดีตศัตรูได้ สุดท้ายแล้วมีเรื่องจะขอร้องก็ไม่สามารถประจบประแจงอย่างไร้ยางอาย ทว่าก็ไม่สามารถหยิ่งทะนง ต้องไม่ถ่อมตัวหรือโอหังจนเกินไปซึ่งทำได้ยากยิ่ง
ดวงอาทิตย์นอกหน้าต่างรถแผดจ้า ต้นไม้ใบหญ้ารอบทิศเขียวชอุ่ม ไอน้ำที่ระเหยออกมาส่งกลิ่นหญ้าเขียวอบอวลอยู่ในอากาศ แม้ว่ารถม้าจะจอดพักอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ทว่ากลับร้อนอบอ้าวเหมือนภายนอก ไม่มีความเย็นสบายเลย ซ่งชูอีลงจากรถมายืดเส้นยืดสายแล้วกลับเข้าไปบนรถเพื่อเตรียมตัวงีบครู่หนึ่ง
“ท่านขอรับ เบื้องหลังเป็นกองทัพที่นำโดยแม่ทัพเจ้า” กู่จิงเอ่ยอยู่นอกรถ
กองทัพออกเดินทางหลังซ่งชูอี ทว่าเนื่องจากนางยังมีบาดแผล ไม่สามารถขี่ม้าได้ ความเร็วย่อมเทียบไม่เท่ากองทัพที่เร่งเดินทางเป็นธรรมดา การที่พวกเขาตามทันจึงเป็นเรื่องปกติ ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถในการเอาชีวิตรอดในป่าของเจ้าอี่โหลวนั้นแข็งแกร่งมาก รู้วิธีเก็บพลังงานในฤดูร้อนที่แผดเผา และสามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน
ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง “จับตามองความเคลื่อนไหวของพวกเขา หากสามารถมาพบกันได้จะดีที่สุด”
“กั๋วเว่ย” กู่จิงลำบากใจเล็กน้อย แต่ในน้ำเสียงก็เจือปนความชื่นชม “แม่ทัพเจ้าเป็นคนสั่งให้คนส่งข่าวนี้ พวกเราต้องใช้เวลาสักหน่อยจึงจะสามารถหาตำแหน่งของกองทัพได้”
“หืม?” ซ่งชูอีไม่เข้าใจ
กู่หานเอ่ย “แม่ทัพเจ้าซ่อนตำแหน่งของทหารม้าห้าหมื่นนายไว้!”
เป็นที่รู้กันว่ากองทัพฉินมีทหารหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีห้าหมื่นนายและจำต้องซ่อนเร้นบางส่วน ทว่าเจ้าอี่โหลวสามารถซ่อนทหารม้าห้าหมื่นนายในป่าเขาได้ ทำให้กู่หานผู้ที่เก่งกาจในการติดตามคนบอกว่าต้องใช้เวลามากหน่อยจึงจะหาเจอ จะต้องไม่ใช่วิธีการทั่วไปอย่างแน่นอน
“เก่งมาก!” น้ำเสียงของซ่งชูอีเจือปนรอยยิ้ม มีความภูมิใจที่ซ่อนไว้ไม่อยู่
กู่หานได้ยินแล้วลอบคิดในใจ ต่อให้เก่งเพียงใดก็มิใช่ความสามารถของท่าน ดีใจอะไรโง่ๆ!