กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 294 คลายความสงสัยของกุ่ยกู๋จื่อ
“ข้าผู้อาวุโสออกมาท่องหล้ากับเว่ยเต้าจื่อ มาถึงที่นี่เมื่อครึ่งเดือนก่อน วันพรุ่งนี้ก็จะไปที่ทะเลสาบอวิ๋นเมิ่ง” กุ่ยกู๋จื่อ
กล่าว
ซ่งชูอีหยุดเดิน นางจำได้เป็นอย่างดีว่ากุ่ยกู๋จื่อป่วยและเสียชีวิตไม่นานหลังจากไปถึงทะเลสาบอวิ๋นเมิ่ง
“จากที่นี่ไปถึงทะเลสาบอวิ๋นเมิ่งยาวไกล ผู้อาวุโสคิดจะไปทำอะไรที่นั่น?” ซ่งชูอีเดินเร่งฝีเท้าให้ทัน
ทะเลสาบอวิ๋นเมิ่งหรือเรียกว่าอวิ๋นเมิ่งเจ๋อ พื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในดินแดนของรัฐฉู่ เป็นกลุ่มทะเลสาบที่ยังคงหลงเหลืออยู่ตั้งแต่สมัยโบราณ มีแม่น้ำ (แยงซีเกียง) เป็นชายแดน ปกคลุมไปด้วยทะเลหมอกไพศาลไร้ขอบเขต เป็นหนึ่งในทิวทัศน์อันงดงามที่หาได้ยากยิ่งในช่วงชีวิตนี้
กุ่ยกู๋จื่อพลางเดินพลางเอ่ยว่า “ข้าผู้อาวุโสพยายามดิ้นรนเพื่อหาทางยุติสงครามทั้งชีวิต ทว่าเส้นทางแห่งสวรรค์ทอดยาว ไม่สามารถมองเห็นจุดสิ้นสุด แปดสิบนี้สั้นนัก ไม่คิดที่จะแย่งแก่งชิงดีแล้ว” เขาพูดพลางหันหน้ามายิ้ม “เพลิงสงครามในโลกลุกลาม ข้าผู้อาวุโสต้องการจะไปยังอวิ๋นเมิ่งเพื่อตามหาความสงบชั่วนิรันดร์”
หัวใจของซ่งชูอีบีบแน่น ที่แท้เขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าเวลาของตนเหลือน้อย
ความเป็นความตายคือเรื่องธรรมดา เสียใจอยู่อย่างเดียวที่ไม่อาจมองไม่เห็นความสงบสุขด้วยตาตัวเอง! ซ่งชูอีรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง อดที่จะเอ่ยปลอบใจมิได้ “แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งคือสิ่งที่ทุกคนใฝ่หา บัดนี้ผู้อาวุโสก็แปดสิบปีแล้ว ในโลกนี้มีผู้อาวุโสวัยแปดสิบไม่กี่คนที่เดินตามรอยเท้าของท่านและยาวพอๆ กับเส้นทางแห่งสวรรค์!”
“เจ้าหนูน้อยเยี่ยงเจ้า ช่างสามารถพูดจาได้ถึงก้นบึ้งหัวใจของคนจริงๆ” กุ่ยกู๋จื่อหัวเราะด้วยความอิสระยิ่ง
เมื่อเห็นว่ามีร่องอยู่ข้างหน้า ซ่งชูอีก็ประคองเขา ยิ้มเอ่ย “นอกจากนี้แปดสิบปีของท่านยังมีค่าเท่ากับแปดร้อยปีของคนอื่นแล้ว”
กุ่ยกู๋จื่อเชี่ยวชาญด้านการรักษาร่างกายและจิตวิญญาญรวมถึงทักษะจ้งเหิง รู้เรื่องยุทธพิชัยสงคราม ศิลปะการต่อสู้และวิชาดูดวงอย่างถ่องแท้ ทั้งยังแต่หนังสือสงคราม “กุ่ยกู๋จื่อ” ถึงสิบสี่บทที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ไม่เพียงเท่านี้ ลูกศิษย์แต่ละคนล้วนโดดเด่น บ้างเป็นนักปราชญ์ บ้างมีความสามารถทางหาร บ้างเป็นจอมยุทธ์ บ้างก็สามารถขโมยความลับแห่งสวรรค์ บ้างก็สามารถช่วยโลกไว้ได้…
หากบอกว่าเขามีอิทธิพลต่อยุคสมัยก็ไม่เกินจริงเลย
“ช่างพูดจายกยอเก่งเหลือเกิน มิน่าเล่าจื่อซิว (ชื่อรองของจวงจื่อ) จึงรับเจ้าได้ ถึงแล้ว!” กุ่ยกู๋จื่อกล่าว
ในป่ายังคงมีหมอกจางๆ ต้นบ๊วยห้าหกต้นคลอเคล้าอยู่ด้วยกัน ลูกบ๊วยเขียวกลมๆ สองสามลูกห้อยต่องแต่งอยู่ระหว่างกิ่งไม้และใบไม้ที่อุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจำนวนไม่มากทว่าแต่ละลูกล้วนอวบอิ่ม แน่นอนว่าดูดีว่าต้นเมื่อครู่เยอะมาก
“สุราใหม่ในปัจจุบันดื่มคู่กับบ๊วยเขียว คลายร้อนได้ดีนัก” ซ่งชูอีเด็ดผลกลมสิบกว่าลูกด้วยมือของตัวเอง แล้วเชิญกุ่ยกู๋จื่อกลับไปดื่มสุราด้วยกัน
หลังจากรับประทานอาหารเช้าอย่างเรียบง่าย แสงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณกำลังดี ซ่งชูอีก็สั่งให้คนจัดที่นั่งและไหสุราใต้ต้นไม้แก่ในลาน ล้างผลบ๊วยแล้วก็นั่งลงเท้าเปล่า ต้มสุราพลางคุยสัพเพเหระ
เสียงเข่นฆ่าในนครดังติดต่อกันหลายวัน มุมในลานกลับเงียบสงบ
กุ่ยกู๋จื่อรู้ว่าซ่งชูอีเป็นกั๋วเว่ยแห่งรัฐฉิน จึงเย้านางเล่นว่า “เจ้าหนูใจกว้างมากจริงๆ ยังมีอารมณ์คุยเรื่องสัพเพเหระกับชายชราเยี่ยงข้า”
ซ่งชูอีหัวเราะเสียงดัง “ท่านผู้อาวุโสเย้าเล่นแล้ว ใครจะมีอารมณ์เรียบราบจนเฆี่ยนม้าห้อเหยียดได้เล่า อารมณ์นั้นผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่เหลือความไม่สบายใจไว้เลยสักนิด”
ครั้นได้ยินดังนี้ กุ่ยกู๋จื่อจึงนึกที่จะมองหน้านางอย่างละเอียดอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เมื่อครู่บอกว่าเจ้าหน้าตาไม่ดี ทว่าข้าผู้อาวุโสมองผิดไปแล้ว หน้าตาดีทีเดียว! งดงามนัก”
“ผู้อาวุโสอวยพร ผู้น้อยก็สบายใจ” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย
กุ่ยกู๋จื่อพยักหน้า กล่าวถึงประโยคก่อนหน้าของนาง “หัวใจของมนุษย์ลดเลี้ยวเคี้ยวคดจึงจะน่าสนใจ ต่อให้อาจารย์ของเจ้าเป็นผู้ที่มีอิสระเสรีทว่าในใจก็ยังมีซอกหลืบซ่อนอยู่ เจ้าเรียนรู้จากเขาก็ดีแล้ว หากปล่อยวางมิได้ก็ไม่จำเป็นต้องปล่อยวาง จงเลือกใช้ชีวิตที่มีความสุข”
“ถ้อยคำชี้ทางสว่างของท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยจดจำไว้แล้ว” สองมือของซ่งชูอียื่นจอกสุราให้เจา “ผู้น้อยมีเรื่องต้องการคำแนะนำ”
กุ่ยกู๋จื่อรินสุรา “ว่ามา”
“ผู้น้อยฝัน ในความฝันเหมือนจริงมาก…” ซ่งชูอีเล่าเรื่องที่นางเกิดใหม่เป็นความฝันและเล่าให้กุ่ยกู๋จื่อฟังอย่างละเอียด
หลังจากฟังจบแล้ว กุ่ยกู๋จื่อวางจอกสุราลง ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็ประสานมือคำนับซ่งชูอี
“ไม่ได้เด็ดขาด ผู้น้อยไม่คู่ควรกับท่านอาวุโส” ซ่งชูอีรีบยื่นมืออออกไปประคองเขา
“ข้าผู้อาวุโสจมอยู่กับวิชาลึกลับมาสิบหกปี ทั้งเคยสืบความลับแห่งสวรรค์มาก่อน จากการอนุมานจนบัดนี้ ข้านึกมาตลอดว่าโลกเรานี้มีหลายฝั่ง แต่ละฝั่งดำรงอยู่เพื่อเป็นกระจกสะท้อนกันและกันหรือมีความแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่ทั้งหมดล้วนนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน “ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่” ที่จื่อซิวแต่งขึ้นกล่าวว่า ‘นอกเหนือจากอีกฝั่งย่อมมีอีกฝั่ง’ สิ่งที่เรียกว่า ‘อีกฝั่ง’ ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น” กุ่ยกู๋จื่อไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นไว้ได้ ในดวงตามีน้ำตาเป็นประกาย “การอนุมานเหล่านี้ไร้หลักฐานที่จับต้องได้ ความฝันของเจ้านี้คลายความสงสัยของข้า ข้าผู้อาวุโสตายตาหลับแล้ว!”
เขาหมายความว่า ในโลกใบนี้มีพื้นที่แตกต่างกันมากมาย แต่ละพื้นที่เรียกว่าฝั่ง ซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันและดำรงอยู่เช่นเดียวกับกระจก อาจแตกต่างกันในบางสถานที่เนื่องจากสาเหตุหลายประการ แต่เส้นทางที่แตกต่างกันนำไปสู่เป้าหมายเดียวกัน
ซ่งชูอีพึมพำ “เป้าหมายเดียวกัน…”
ตามคำพูดของกุ่ยกู๋จื่อ ในโลกที่มีหลายฝั่งนี้ล้วนมีซ่งชูอีดำรงอยู่ พวกนางทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด เป็นไปได้ว่านิสัยหรือครอบครัวอาจจะต่างกันเล็กน้อย ทว่าโชคชะตาโดยรวมเดินไปในทิศทางเดียวกัน
ด้านหน้านครหลีสือ กองทัพเว่ยบีบเข้ามาราวกับกระแสน้ำสีแดงเข้ม ลูกศรเปรียบเสมือนตัวต่อที่มีอยู่อย่างหนาแน่น เสียงกรีดร้องดังขึ้นทุกที่ ผู้คนล้มลงไม่หยุด
นอกนครหลีสือมีเทือกเขาเตี้ยๆ ที่เรียงรายกันนับไม่ถ้วนป้องกันกองทัพเว่ยไว้ อย่างไรก็ดีกองกำลังของกองทัพฉินบนกำแพงเมืองนั้นยังมีไม่เพียงพอ ใช่ว่ากองทัพฉินไม่มีคน แต่ว่าแม้มีคนก็ไม่สามารถเติมเต็มบนกำแพงเมืองได้ ซึ่งทำให้มือธนูและมือธนูหน้าไม้ไม่สามารถสำแดงความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาอย่างเต็มที่
กองทัพสำรองเตรียมพร้อมอยู่แล้วทุกเมื่อ ทันทีที่มีคนล้มลงก็จะมีคนแทนที่ทันที
ไม่ถึงสองเค่อ กำแพงก็เปียกโชกไปด้วยเลือด แสงแดดส่องสีแดงสดเป็นประกาย กลองสงครามทั้งสองฝั่งดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง เมื่อรวมกับเสียงกีบม้าแล้วก็หวั่นไหวจนพื้นดินสะเทือน
แตรสงครามส่งเสียงต่ำและเคร่งขรึม บวกกับเสียงกลองสงครามที่ดังอย่างต่อเนื่องปลุกเร้าจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้
เจ้าอี่โหลวก้มหน้ามองกองทัพเว่ยที่ฆ่าไม่หมดอยู่เบื้องล่าง สีหน้าเยือกเย็น
สงครามครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเพิ่งเริ่มต้น
“ดูจากการโจมตีของกองทัพเว่ยแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้วางแผนที่จะทำสงครามระยะยาว” หานหู่รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ต่อให้ทหารรักษาการณ์หลีสือแข็งแกร่งเพียงใดก็หนีไม่พ้นกองทัพหลายแสนนายของรัฐเว่ยและเจ้า “เมื่อครู่สายสืบรายงานว่า ทหารเจ้าตั้งค่ายห่างออกไปสิบสองลี้ คิดว่าทันทีที่ทหารเว่ยถอยร่นไป ทหารเจ้าก็จะโจมตีทันที ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะยื้อต่อไปไม่ได้นานเท่าไร”
เหอซียังคงมีกองทัพใหญ่ ทว่าทันทีที่หลีสือสูญเสียการรักษาการณ์ ก็เท่ากับว่าครึ่งหนึ่งในสะพานตกอยู่ในมือของรัฐเว่ยแล้ว ดังนั้นสำหรับฉินแม้ว่าจะไม่ถึงแก่ชีวิต ทว่าถูกปิดกั้นเส้นทางสู่ทิศตะวันออกเช่นนี้ก็เท่ากับว่าจะเกิดปัญหาระยะยาวในภายหลังไม่รู้จบ
เจ้าอี่โหลวไม่ได้พูดอะไร กำลังของทหารในขณะนี้เหลื่อมล้ำอย่างเห็นได้ชัด หากโจมตีก่อนก็ดูเป็นไปไม่ได้ ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ นอกเหนือจากการรักษาการณ์สุดชีวิตและรอจางอี๋คลี่คลายปัญหาแล้ว เกรงว่าก็ไร้กลยุทธ์อื่น
ผ่านไปสักพัก เขาเอ่ยปากว่า “ปกป้องสุดชีวิต”
“ขอรับ!” หานหู่ตอบรับ
หลังจากรุ่งสาง กองทัพจู่โจมแรกของกองทัพเว่ยก็ถอยร่นไป กองทัพเว่ยไม่สามารถเข้าใกล้กำแพงเมืองได้เลย อย่างไรก็ดีกองทัพเว่ยก็ได้โจมตีเป็นครั้งที่สองก่อนพลบค่ำ
ในช่วงแรกทหารรักษาการณ์ยังคงสามารถรับมือได้ ทว่าผ่านไปสามวันติดต่อกัน กองกำลังก็ค่อยๆ พร่องลงเมื่อรัฐเจ้าและเว่ยสองรัฐผลัดเปลี่ยนกันโจมตีจนแทบไม่หยุดพัก
รายงานสงครามบนโต๊ะซ่งชูอีกองพะเนินราวกับภูเขา นางสั่งให้ผู้อารักขาลับส่งกุ่ยกู๋จื่อออกจากนครเป็นการส่วนตัว เริ่มรวบรวมสมาธิจัดการเรื่องสำคัญ
ตลอดทั้งเช้า นางอ่านกองเอกสารบนโต๊ะอย่างละเอียดจนจบ
กู่หานที่อยู่ด้านข้างเห็นนางผ่อนคลายก็อดที่จะเอ่ยเสียงเบามิได้ “กั๋วเว่ย ขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป สถานการณ์ไม่ดีแน่”
ซ่งชูอีเอ่ย “เดิมทีก็เป็นสงครามที่ยากลำบากอยู่แล้ว การปกป้องสุดชีวิตเป็นวิธีที่ดีที่สุด”
แม้ว่ากองกำลังจากเหอซีมีมาก ทว่าจะเทียบกับกองทัพพันธมิตรของเจ้าเว่ยได้อย่างไร? การปะทะซึ่งหน้ามิใช่การเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดนัก ในทางตรงกันข้ามสือหลีกลับอยู่ในตำแหน่งที่อันตรายแต่กลับสามารถต้านกองทัพขนาดใหญ่ด้วยกำลังอันน้อยนิด ขอเพียงรักษาการณ์หลีสือไว้อย่างมั่นคง กองทหารพันธมิตรก็จะทนไม่ได้นาน
“มีข่าวจากต้าเหลียงบ้างไหม?” ซ่งชูอีเอ่ย
“ไม่มีขอรับ สงครามตึงเครียด สายสืบไม่สามารถส่งสารได้” กู่หานเอ่ย
ซ่งชูอีเคาะนิ้วที่ขอบโต๊ะเบาๆ “เสียนหยางล่ะ?”
กู่หานค้อมตัวน้อยๆ “อี้ฉวีบุกรุก ท่านแม่ทัพใหญ่พยายามเกณฑ์ทหารที่ได้รับการฝึกฝนโดยกั๋วเว่ย ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ”
นิ้วของซ่งชูอีหยุดลง หมุนตัวไปถามเขา “ไม่ได้ข่าวจากทางมหาสนาบดีฝ่ายซ้ายเช่นกันรึ?”
“ข่าวสุดท้ายที่ส่งมาคือเมื่อห้าวันก่อน กั๋วเว่ยได้อ่านแล้ว ท่านมหาเสนาบดีถึงรัฐฉีแล้ว ยังไม่มีข่าวอื่น” กู่หานกล่าว
ซ่งชูอีพยักหน้า “ข่าวของมหาเสนาบดีสำคัญที่สุด ต่อให้ต้องฝ่าอันตรายเพียงใดก็ต้องนำข่าวมาให้ข้าให้ได้! นอกจากนี้ไปบอกเหล่าท่านแม่ทัพว่าให้ปกป้องหลีสือยี่สิบวัน แล้วข้าจะมีวิธีทำให้กองทัพพันธมิตรถอยร่นไป”
กู่หานมีสีหน้าดีใจ ประสานมือเอ่ย “ขอรับ! กั๋วเว่ยวางใจ จะไม่มีข้อผิดพลาดเด็ดขาด!”
การปกป้องสุดชีวิตเป็นเวลาครึ่งเดือนเกรงว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ายิ่ง แต่เมื่อในใจมีความหวังก็สามารถผ่อนคลายได้มากและยิ่งมีแรงจูงใจยิ่งขึ้น
หลีสือและด่านหานกู่มีอันตรายเหมือนกัน ด้วยที่ตั้งสูงชันของด่านหานกู่ ขอเพียงมีกำลังพลเพียงพอ ไม่ว่าทหารม้ามีมากเพียงใดก็ยากที่จะโจมตี ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พื้นที่ของหลีสือราบเรียบกว่ามาก หากถูกกองทัพกดดัน การรักษานครไว้ก็ไม่ง่าย
สงครามหลีสือยืดเยื้อไปถึงสิบวัน กองกำลังพันธมิตรเข้าใกล้กำแพงป้องกันสามครั้ง แต่ถูกกองทัพฉินขับไล่ ในกองทัพฉิน ทุกคนต่างเชื่อว่า…ตราบใดที่ครบยี่สิบวันก็จะชนะ!
ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ไม่อาจคาดเดาสถานการณ์ในรัฐต่างๆ ได้เลย
ท่าทีของรัฐฉู่ยังคงคลุมเครือและดูมีความต้องการที่จะส่งทหารไปยังปาสู่ สี่รัฐที่เหลือในกลยุทธ์เหอจ้งยังคงเคารพซึ่งกันและกันดุจอ๋อง จางอี๋ออกมาจากรัฐฉีแล้วทว่ายังไม่เข้ารัฐฉู่ ทว่าแอบเข้าไปยังรัฐจงซานอย่างลับๆ กระตุ้นให้รัฐจงซานเข้าร่วมเหอจ้ง ร่วมเป็นอ๋องกับอีกสี่รัฐ
สำหรับกลยุทธ์เหอจ้งนั้น ยิ่งกำลังมากก็ยิ่งดี ทว่าจุดบอดที่ใหญ่ที่สุดก็คือความปรารถนาที่จะเป็นอ๋องซึ่งเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดในใต้หล้าอย่างแท้จริง “ตำแหน่งอ๋อง” กลายเป็นเรื่องวุ่นวายในทันใด จิตใจของสี่รัฐจึงอ่อนแอลงเล็กน้อย
วันที่สิบเจ็ดมีข่าวส่งมาจากจางอี๋ ซ่งชูอีเตรียมตัวออกเดินทางไปที่ค่ายทหารรัฐเจ้าทันที
“อย่าบอกเรื่องนี้กับแม่ทัพเจ้าอี่โหลว” ซ่งชูอีเอ่ย
“กั๋วเว่ย การเข้าไปในค่ายของศัตรูในตอนนี้เป็นอันตรายมาก เหตุใดจึงไม่บอกท่านแม่ทัพเล่า!” ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกู่หานในการเดินทางครั้งนี้คือการปกป้องซ่งชูอีให้กลับสู่เสียนหยางอย่างปลอดภัย หากเกิดเรื่องใด การที่เขาตายในค่ายทหารรัฐเจ้านั้นเรื่องเล็กแต่ปกป้องซ่งชูอีไม่ได้นั้นเรื่องใหญ่
“หากบอกเขา ข้าจะไม่ก้าวออกไปจากประตูบานนี้แม้แต่ก้าวเดียว!” ซ่งชูอีครุ่นคิดเอ่ยว่า “เจ้าส่งคนไปบอกแม่ทัพจื่อถิงเป็นการส่วนตัว”
กู่หานตอบรับ “ขอรับ!”
การต่อสู้ยุติลงชั่วคราว ท้องฟ้าในตอนเช้ามืดครึ้ม ในอากาศมีความหนาวเย็นของต้นฤดูใบไม้ร่วงแล้ว
ซ่งชูอีลอบออกจากนครภายใต้การคุ้มกันของผู้อารักขาลับ ข้างนอกมีม้ารออยู่แล้ว
เงาของคนเจ็ดแปดคนพลิกตัวขึ้นขี่ม้าแล้วควบออกไปจากป่า กีบม้าถูกห่อด้วยผ้าซึ่งส่งเสียงดังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น