กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 297 เลือดเย็นเหลือเกิน
แสงไฟวูบไหว อิ๋งซื่อนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ฟังบ่าวรับใช้รายงานบทสนทนาระหว่างกั๋วโฮ่วและฮูหยินเว่ยในห้องนอนเมื่อครู่ เนื่องจากมีการกระซิบบ้าง ผู้ที่แอบฟังจึงไม่ได้ยิน ทว่าก็ไม่เป็นอุปสรรคให้อิ๋งซื่อเข้าใจความหมายโดยรวม
“ทำได้ดีมาก ไปเถิด” อิ๋งซื่อเอ่ย
บ่าวรับใช้ผู้นั้นตื่นเต้นยิ่ง การได้รับคำว่า “ดี” จากองค์จวิน จะกังวลอนาคตไปใย! พลันรับคำด้วยความดีใจแล้วถอยออกมา
ขันทีเถาเห็นอิ๋งซื่อเอนหลังพิงพนัก ก็เข้าไปรินชาถ้วยหนึ่ง “ฝ่าบาท ดื่มชาให้ชุ่มคอเสียหน่อยเถิด?”
อิ๋งซื่อยกถ้วยชาขึ้นจรดปากแล้วหยุดชะงัก “เว่นหวานผู้นั้น หาข้ออ้างกักบริเวณเสีย อีกอย่างจับตาดูกั๋วโฮ่วอย่างใกล้ชิดทุกย่างก้าว ก่อนที่นางจะคลอดลูก ห้ามให้นางจับได้เป็นอันขาด”
ขันทีเถารีบตอบคำ “พ่ะย่ะค่ะ”
อิ๋งซื่อไม่พอใจที่เว่ยหวานสอนไม่จำนานแล้ว เขาเกลียดชังผู้หญิงที่ไม่รู้ความมาโดยตลอด ฉะนั้นแม้ว่าคราวนี้นางไม่ได้ทำอะไรผิดก็ยังพลอยติดร่างแหไปด้วย
ในวังหลัง หากไม่ได้รับความเห็นใจขององค์จวินก็ไม่ต่างอะไรจากต้นหญ้า
“ฝ่าบาท ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาต้องการเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ” ทหารรักษาการณ์ที่อยู่ข้างนอกเอ่ย
“เชิญ” อิ๋งซื่อยืดตัวตรง
ทหารรักษาการณ์ถอยออกไปครู่หนึ่ง ชูหลี่จี๋ก็ก้าวเท้าฉับๆ เข้ามา
“ฝ่าบาท” เขาสะบัดแขนเสื้อคำนับ
“นั่ง” อิ๋งซื่อเอ่ย
ชูหลี่จี๋นั่งคุกเข่าลง “ฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งจะได้รับข่าวจากม้าเร็วที่ส่งมาจากเหอซี สงครามในหลีสือเร่งด่วน กั๋วเว่ยไปที่ค่ายของศัตรูตามลำพังเป็นเวลาเก้าวันแล้ว…”
“อืม” อิ๋งซื่อเหลือบมองเขา เอ่ยอย่างเฉยเมย “เสื้อผ้าผมเผ้ายุ่งเหยิง เสียบุคลิกของมหาเสนาบดี”
ชูหลี่จี๋รีบก้มหน้าลง สางๆ ผม จัดกระชับเสื้อผ้า “กระหม่อมเสียมารยาทแล้ว”
“มหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็เสี่ยงอันตรายตามลำพัง เหตุใดท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจึงเป็นห่วงเพียงกั๋วเว่ย?” ในดวงตาของอิ๋งซื่อมีแววเย้าเล่นเล็กน้อย
“กระหม่อม…” ชูหลี่จี๋ไม่มีข้อโต้แย้ง
อิ๋งซื่อพูดต่อ “เจ้ากับนางมีความสัมพันธ์ฉันท์พี่ชายน้องสาว ทว่าอย่าลืมหน้าที่ของตน”
สีหน้าของชูหลี่จี๋แข็งค้าง “ที่แท้…ที่แท้ฝ่าบาทก็รู้เรื่องนี้”
“มีเพียงองค์จวินโง่เขลาที่จะหูหนวกตาบอด กว่าเหรินไม่เพียงรู้ว่าเจ้ากับกั๋วเว่ยมีความสัมพันธ์ฉันท์พี่ชายน้องสาว ทั้งยังรู้ว่ากั๋วเว่ยกับมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันอีกด้วย” มุมปากอิ๋งซื่อยกยิ้มเล็กน้อย “เรื่องนี้เจ้าคงไม่รู้กระมัง?”
ชูหลี่จี๋อึ้งไป ขยับริมฝีปาก ผ่านไปครู่ใหญ่จึงกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชา”
เขาไม่รู้ว่าจางอี๋กับซ่งชูอีร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน และจางอี๋ก็ไม่รู้ว่าซ่งชูอีเป็นเด็กผู้หญิง ทว่าบุคคลเบื้องสูงตรงหน้าผู้นี้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเท่าไรกลับมองนางออกอย่างชัดเจน
ชูหลี่จี๋รู้ว่าซ่งชูอีชอบผูกมิตรเสมอมา นางมีนิสัยอิสระ การร่วมสาบานเป็นพี่น้องกับผู้อื่นเป็นเรื่องของจิตใจล้วนๆ ไม่มีเจตนาที่จะดึงเข้ามาเป็นพรรคพวก ซ่งชูอีกับจางอี๋ก็ไม่เคยเรียกกันและกันว่าพี่น้องต่อหน้าผู้อื่น เกรงว่าเพราะกังวลในข้อนี้ทว่าก็ไม่ได้ตั้งใจปกปิด แต่เขาก็รู้ดีว่าตนไม่สามารถหาอธิบายมาแก้ต่างได้แล้ว มิฉะนั้นจะยิ่งทำให้ฝ่าบาทหวาดระแวงมากกว่าเดิม
เงียบงันครู่หนึ่ง อิ๋งซื่อยกชาที่เย็นชืดจรดปาก เอ่ยเรียบๆ “นางเป็นกั๋วเว่ยแห่งต้าฉิน”
เพียงคำหนึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อใจ ทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของเขา
ซ่งชูอีเป็นกั๋วเว่ยแห่งต้าฉิน เป็นขุนนางที่เขาให้ความสำคัญ หากไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้ได้และต้องตายในค่ายทหารของศัตรูจริงก็เท่ากับนางไร้ความสามารถ!
“พ่ะย่ะค่ะ” บัดนี้ชูหลี่จี๋สงบจิตใจลงมาแล้ว รับคำเห็นด้วย แต่เขาไม่เคยสามารถละทิ้งความรู้สึกของตัวเองและว่าไปตามเนื้อผ้าได้เลย แม้ว่าในใจจะรู้เป็นอย่างดีก็ไม่สามารถวางตัวเฉยเมยเช่นอิ๋งซื่อได้
พวกเขาอิ๋งฉินให้ความสำคัญต่อความภักดีเป็นที่สุด มีความชอบความเกลียดชัดเจน แล้วเหตุใดพี่น้องสายเลือดเดียวกัน คนหนึ่งให้ความสำคัญต่อมิตรภาพและคุณธรรม แต่คนหนึ่งกลับเย็นชาไร้เมตตาไปได้?
เป็นไปได้ว่าบางคนอาจมีความเป็นองค์จวินตั้งแต่กำเนิดแล้วกระมัง
ชูหลี่จี๋ไม่มีความต้องการถึงขนาดถกเรื่องคุณธรรมของตระกูลอิ๋งฉิน เพียงแต่รู้สึกขมขื่นอยู่ในปากเป็นอย่างยิ่ง “เพราะกระหม่อมเสียมารยาท ได้โปรดฝ่าบาทให้อภัย”
อิ๋งซื่อตอบรับว่าอืมแผ่วเบา จากนั้นก็เอ่ยว่า “ตอนที่ซีโส่วยังเป็นต้าเหลียงเจ้า เขาเคยพยายามเกลี้ยกล่อมให้กว่าเหรินเป็นอ๋อง ทั้งยังเคยหารือกับกว่าเหรินถึงเรื่องนี้ก่อนที่จางอี๋จะเดินทางด้วย”
ชูหลี่จี๋สงวนท่าที กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “บัดนี้โอกาสมาถึงแล้ว กระหม่อมรู้ว่าควรทำอย่างไร”
“ไปเตรียมตัวเถิด” อิ๋งซื่อเอ่ย
“พ่ะย่ะค่ะ” ชูหลี่จี๋ลุกขึ้นคำนับ “เช่นนั้นกระหม่อมทูลลา”
ชูหลี่จี๋ออกไปจากหอคอย มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวพลางทอดถอนใจ นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่พบกับซ่งชูอีเป็นครั้งแรกก็อดที่จะยิ้มไม่ได้ บัดนั้นเขาออกเดินทางเพื่อศึกษาและเพิ่งมาถึงรัฐซ่งได้ไม่นาน เข้าไปในโรงสุราแห่งหนึ่ง ทันทีที่นั่งลงในห้องโถงหลักพลันได้ยินเสียงด่ามารดาที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินดังมาจากโอกงามที่ชั้นบน ยังไม่ทันเห็นคนทว่าได้ยินเสียงของเขาก่อนก็รู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้นี้น่าสนใจนัก จึงเรียกออกมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง คิดไม่ถึงว่าจะได้กลายเป็นสหายสนิทกัน
บัดนี้รู้จักกันมากว่าสามปีแล้ว ซ่งชูอีสำหรับเขานั้นเป็นสหายที่ดี เป็นน้องสาวและเป็นเพื่อนร่วมงานด้วย นอกเหนือจากภรรยาที่เสียไปแล้วก็เป็นคนที่ไร้ความเกี่ยวข้องทางสายเลือดที่เขาให้ความสำคัญที่สุด ทว่าสำหรับองค์จวินแล้ว ซ่งชูอีกับจางอี๋อาจไม่มีอะไรแตกต่าง
แต่ต่อให้ปฎิบัติเยี่ยงขุนนางคนสำคัญในราชสำนัก ความเลือดเย็นขององค์จวินเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ดวงจันทร์เงียบเหงาสว่างไสว พระราชวังเสียนหยางทั้งเคร่งขรึมและซีดเซียว
ชูหลี่จี๋ทอดถอนหายใจยาวแล้วเร่งฝีเท้าจากไป ท่ามกลางความอบอ้าวของปลายฤดูร้อน บรรยากาศอันเยือกเย็นของพระราชวังแห่งนี้คล้ายอิ๋งซื่อเหลือเกิน…กันผู้คนห่างออกไปพันลี้ ไม่อนุญาตให้ย่างกรายได้
ทั้งยังอ้างว้างจับใจ
ป้อมปราการเสียนหยาง น้ำแม่เว่ยไหลลงสู่แม่น้ำใหญ่ เนินเขาทางทิศเหนืออันกว้างใหญ่ไพศาลที่โอบล้อมมันไว้กลายเป็นภาพวาดทิวทัศน์อันงดงาม
ทางน้ำที่ไหลไปสู่ต้นน้ำของแม่น้ำใหญ่แคบลงเรื่อยๆ สะพานหินทอดข้ามฝั่งตะวันออกและตะวันตก ดวงจันทร์และดวงดาวยามเช้าเปลี่ยนไป ขณะที่พระอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอีกครั้ง สะพานยาวพาดผ่านคลื่น แสงรำไรยามรุ่งอรุณลอยละล่อง ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางกกสีขาวซีด ความงามนั้นดูเบาบางห่างไกล
แควสาขาย่อยของแม่น้ำสายหนึ่งไหลผ่านบริเวณใกล้กับค่ายทหารรัฐเจ้า หมอกควันลอยคลุ้ง
ซ่งชูอีในเสื้อคลุมสีดำนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เหม่อมองใบไม้ร่วงที่กองหนาอยู่บนพื้น
“เหตุใดกั๋วเว่ยจึงไร้ความสนใจกับทิวทัศน์ยามเช้าอันงดงาม แต่กลับถูกใจใบไม้ที่ร่วงโรยเล่า?” ไม่รู้ว่ากงซุนหยวนยืนห่างออกไปสองจั้งตั้งแต่เมื่อไร
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้น เอ่ยว่า “มองดูทุ่งหญ้าเขียวขจี ไม่รู้ว่าฤดูใบไม้ร่วงได้มาถึงแล้ว”
“คำพูดของกั๋วเว่ยนี้คล้ายมีความหมายแอบแฝง?” กงซุนหยวนสนใจกับทุกคำพูดของซ่งชูอีมากและได้วางแผนอย่างลับๆ แล้ว ทว่าจนป่านนี้ยังไม่ได้รับข่าวของเหลียนเหอ ไม่สามารถนำแผนไปปฏิบัติได้เสียทีจึงค่อนข้างร้อนใจ
หลายวันนี้เขานอนอย่างกระสับกระส่าย พิจารณาคำพูดของซ่งชูอีในวันนั้นอย่างถี่ถ้วน หากสามารถดำเนินการได้เช่นนั้นจริงๆ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อสกุลกงซุน ต่อคนของเขา หรือแม้แต่ต่อรัฐเจ้าอย่างใหญ่หลวง!
ในวันเวลาแห่งการรอคอยเช่นนี้ ซ่งชูอีไม่ร้อนใจ แต่เขากลับโกรธอย่างลับๆ
“มีความหมายแอบแฝงหรือไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้ฟัง” ซ่งชูอียิ้มอย่างมีนัยยะ
ในสายตาของนาง กงซุนหยวนมีความอับอายเหมือนถูกคนจับแก้ผ้า เขานึกว่าตนเก็บซ่อนความรู้สึกได้อย่างแนบเนียน ใครจะรู้ว่าคนอื่นกลับมองเห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง
ซ่งชูอีเพียงต้องการค้นหาทัศนคติของเขา ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เขาโมโห “ท่านแม่ทัพ สะดวกคุยเป็นการส่วนตัวหรือไม่?”
“ได้” กงซุนหยวนตั้งสติ เอ่ยว่า “เชิญกั๋วเว่ยตามข้ามา”
ซ่งชูอีไม่ได้มัวแต่มีความสุขเมื่อรู้ว่ากงซุนหยวนร้อนใจ เพราะว่าหากเขาแบกความหวังอันยิ่งใหญ่และกระตือรือร้นที่จะประสบความสำเร็จ หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ความหวังของเขาพังทลาย นางจะต้องตายอย่างไร้ที่ฝังแน่นอน