กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 309 ไม่ทำให้ต้าฉินยากจนลง
แววตาของอิ๋งซื่อค่อยๆ มืดมนลง น้ำเสียงทุ้มต่ำกว่าเดิมเล็กน้อย “เหตุใดกั๋วเว่ยจึงถามเรื่องนี้?”
ซ่งชูอีสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์เล็กน้อยของเขา ครุ่นคิดก่อนเอ่ยว่า “เพียงได้ยินมาเท่านั้น หากฝ่าบาทพอใจในตัวหมี่จี พรุ่งนี้กระหม่อมจะส่งสารไปให้ฮูหยินอวิ๋นไปรับนางที่จวน”
อิ๋งซื่อเลิกคิ้วขึ้น “กั๋วเว่ยทนได้รึ?”
ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขายิ่งมืดมนลงเรื่อยๆ จึงพิจารณาทุกคำอย่างถี่ถ้วน “ฝ่าบาทยุ่งกับงานบ้านงานเมืองทุกวัน หากมีหญิงงามรู้ใจข้างกายบรรเทาความเหนื่อยล้า กระหม่อมจะอิดออดได้อย่างไร?”
อิ๋งซื่อจ้องนางด้วยความล้ำลึกครู่หนึ่ง “ยากยิ่งนักที่กั๋วเว่ยจะเอาใจใส่เช่นนี้ กว่าเหรินดีใจเหลือเกิน”
คำพูดเช่นนี้เท่ากับตอบรับแล้วหรือ? ซ่งชูอีไม่ใคร่เข้าใจนัก ฟังจากคำพูดก็ดูเหมือนต้องการหมี่จี แต่ใบหน้าที่เย็นชากว่าก่อนหน้านี้กลับดูไม่ยินดียินร้ายเลยสักนิด
บรรยากาศแปลกไปพักใหญ่ จนทำให้ซ่งชูอีที่สงบนิ่งมาโดยตลอดรู้สึกทนไม่ได้เล็กน้อย จึงโน้มตัวไปข้างหน้า “ฝ่าบาท คุยเรื่องการปฏิวัติระบบทหารต่อเถิด?”
พูดคุยเกี่ยวกับหัวข้อนี้ยังจะดีกว่า ทั้งจวินและขุนนางต่างวางแผนเรื่องนี้มาช้านาน การสนทนาจึงไหลลื่น แม้ว่าจะมีความเห็นไม่ตรงกันบ้างก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้
ยามราตรีล้ำลึก ไฟในพระราชวังถูกหรี่ลง
ขันทีเถาเห็นว่าทั้งสองคนไม่มีท่าทีเหนื่อยล้า จึงสั่งให้คนยกทังปิ่งสองชามออกมา
เสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารในพระราชวังอุดมสมบูรณ์ แต่อิ๋งซื่อชอบกินอาหารที่สามารถตอบสนองความหิวได้จริงๆ เขาไม่จุกจิกเรื่องอาหารและเสื้อผ้า ไม่ว่าจะละเอียดอ่อนเพียงใดก็ต้องกลืนลงท้องไปทั้งหมดอยู่ดี
“บะหมี่นี้ลื่นคอดีมาก” ซ่งชูอีสูดบะหมี่ ชมไม่ขาดปาก
อิ๋งซื่อกลืนลงไปคำหนึ่ง “จุกจิกกับบะหมี่ชามหนึ่งมากเกินไป”
ซ่งชูอีกินจนเหงื่อไหลย้อย หลังจากดื่มน้ำแกงจนหมดชามแล้วจึงเช็ดปากเอ่ยว่า “ชีวิตมนุษย์เรา เวลาที่ควรจะจุกจิกก็ต้องจุกจิกให้มาก…ขันทีเถา ยังมีอีกหรือไม่ ข้าขออีกชามหนึ่ง”
ขันทีเถายิ้มกำลังจะตอบกลับได้ยินอิ๋งซื่อกล่าวว่า “อย่าเติมให้เขา! เกิดสงครามบ่อยครั้ง ท้องพระคลังมีจำกัด ไม่หิวตายก็พอแล้ว จะกินเยอะขนาดนี้ไปทำไม!”
ซ่งชูอีเบะปาก เอ่ยด้วยความจืดชืด “บะหมี่ชามหนึ่งคงไม่ทำให้ต้าฉินยากจนลงกระมัง?”
“อืม” อิ๋งซื่อก็วางชามและตะเกียบลง รับผ้าเช็ดหน้าที่บ่าวรับใช้ส่งมาให้ มองนางพร้อมเอ่ยว่า “คุยงานต่อ”
เมื่อเห็นว่าบ่าวรับใช้ได้ยกชาเข้ามาแล้ว ซ่งชูอีก็ไม่พูดอะไรอีก อย่างไรก็ตามการปรุงทังปิ่งโดยพ่อครัวในวังนั้นแตกต่างจากที่กินเป็นประจำอย่างแท้จริง นางโปรดปรานบะหมี่ ในใจคิดถึงมันเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อวาดรูปขบวนทหาร นางก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้ววาดรูปวงกลมขนาดเท่าชามบะหมี่
อิ๋งซื่อเห็นแล้วรู้สึกขบขัน ทว่านางกลับกล่าวด้วยความจริงจังว่า “รูปแบบกองทัพนี้เกิดขึ้นจากแรงบันดาลใจของกระหม่อม วาดลงไปก่อน อีกประเดี๋ยวจะได้ไม่ลืม ในขณะนี้มีข้อบกพร่องหลายประการ ได้โปรดฝ่าบาทชี้แนะด้วย”
อิ๋งซื่อรับคำ จากนั้นก็เห็นนางวาดเป็นเส้นๆ อยู่ในกรอบวงกลม นับลวกๆ แล้วมีสามสี่สิบเส้น พอจรดพู่กันก็ดูเหมือนชามบะหมี่โดยสมบูรณ์
“เรียกมันว่ารูปแบบกองทัพจันทราเต็มดวง” ซ่งชูอีเห็นว่าแบบร่างเสร็จสมบูรณ์แล้วก็กล่าวด้วยความพอใจ
หากไม่บอกยังนึกว่าเป็นรูปแบบกองทัพทังปิ่งเสียอีก!
อิ๋งซื่อเท้ามืออยู่บนราว เลิกคิ้ว “เป็นรูปแบบกองทัพป้องกัน”
“ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพจะอยู่ใจกลางกองทัพ กองกำลังรอบนอกจะแบ่งการป้องการเป็นชั้นๆ หอกยาวและธนูอยู่ภายนอก กองกำลังเคลื่อนที่อยู่ภายใน…” ซ่งชูอีอธิบายวิเคราะห์องค์ประกอบรูปแบบกองทัพ
“จินตนาการได้ว่าความสามารถในการป้องกันนั้นแข็งแกร่งมาก เพียงแต่รูปแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้ว่าเจ้าได้ทำการปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มการป้องกัน แต่ข้อเสียของความไม่ยืดหยุ่นยังคงมีอยู่ หากกองทัพศัตรูถอยร่นก็ยากที่จะไล่ตาม”
อิ๋งซื่อกล่าวแทงใจดำ
ซ่งชูอียิ้มอย่างมีเลศนัย วาดลูกศรสองสามอันบนรูปแบบกองทัพเพื่อเป็นการระบุ ทั้งยังวาดรูปครึ่งวงกลมด้านล่างกองทัพจันทราเต็มดวงนั้น
ทันใดนั้นก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นในดวงตาของอิ๋งซื่อ ที่แท้หลังจากซ่งชูอีจัดระเบียบกองทัพแล้ว รอบนอกก็จะถอนตัวได้ง่ายขึ้น ครั้นถอยหลังไปครึ่งหนึ่งก็จะกลายเป็นรูปแบบกองทัพจันทราครึ่งเสี้ยว เมื่อรวมกับรูปแบบกองทัพงูสองสามกองนั้นก็จะสามารถยกเลิกการป้องกันและเปลี่ยนเป็นการโจมตีได้ทันที
นี่คือรูปแบบกองทัพไม่สมมาตรประเภทหนึ่ง ท่านแม่ทัพจะอยู่ที่ด้านล่างของวงจันทราเว้าเพื่อสั่งการ
“กองทัพนี้จะโจมตีจากด้านข้าง ทั้งในขณะแปรทัพเป็นจันทราเต็มดวง หรือในขณะแปรทัพเป็นจันทราครึ่งเสี้ยวซ้ายและขวาอีกหลายรูปแบบ และสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์กองทัพของศัตรู ต่อต้านศัตรูด้วยวงล้อพระจันทร์ที่แน่นหนา วงจันทราเว้าอาจดูอ่อนแอจากภายนอก ในความเป็นจริงมันคือความร้ายกาจของการต่อสู้ครั้งนี้ หากศัตรูไม่รู้จักรูปแบบนี้ก็จะหลงเข้าไปในโกศได้โดยง่าย” ดวงตาคู่นั้นของซ่งชูอีเป็นประกาย “พลังการโจมตีของรูปแบบกองทัพนี้ร้ายกาจยิ่ง ความยืดหยุ่นและการนำไปใช้งานดีกว่ารูปแบบจันทราเต็มดวง เมื่อมีรูปแบบงูเข้ามาเสริม ก็เรียกได้ว่าสามารถฝ่าฟันได้ทุกอุปสรรค!”
“ประเสริฐนัก” นิ้วเรียวยาวของอิ๋งซื่อเคาะอยู่บนโต๊ะเบาๆ หาข้อบกพร่องต่อไป “หากรูปแบบจันทราเต็มดวงเป็นกองทัพตายตัวจริงก็จะป้องกันได้ไม่เท่ากองกำลังเคลื่อนที่ ทว่าหากภายนอกเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอดเวลา ขณะที่เปลี่ยนรูปแบบนั้นจะต้องยากที่จะบังคับบัญชาเป็นแน่”
ซ่งชูอีสอดมือไว้ในแขนเสื้อ ขมวดคิ้วครุ่นคิด
อิ๋งซื่อมองดูคิ้วตาของนาง ริมฝีปากบางๆ ยกขึ้นเล็กน้อย หันหน้ามองออกไปนอกผ้าม่าน
ผ่านไปเนิ่นนาน ซ่งชูอีจึงคลายปมคิ้วลง
นางชี้ไปที่รูปดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวก่อนเอ่ยว่า “เจ้านี่เรียกว่ารูปแบบจันทราครึ่งเสี้ยวชั่วคราว นอกจากนี้รูปแบบจันทราเต็มดวงก็ยังเคลื่อนย้ายได้ เราก็วางเครื่องหมายให้กับนายทหารรอบนอก ยกตัวอย่างเช่น ยี่สิบคนส่วนนี้เป็นกลุ่มก. ยี่สิบคนนี้เป็นกลุ่มข. …และอื่นๆ”
ซ่งชูอีพูดพลางหยิบพู่กันขึ้นมาวาดลงไปบนแผนภาพ “กลุ่มคนที่ต่างกันสวมชุดเกราะสีต่างกัน นายพลหลักต้องจำก ข ค ง ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นก็สามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ทุกเมื่อ”
อิ๋งซื่อพยักหน้า “วิธีนี้ยังพอใช้ได้” เขาวาดนิ้วไปตาม “เส้นหมี่” ที่อยู่ข้างใน จากนั้นก็เอ่ยว่า “เพียงแต่หากกองทัพมีขนาดใหญ่ เครื่องหมายก็จะมีมาก การเคลื่อนไหวก็จะเป็นพลวัตมากขึ้น ต้องให้แม่ทัพเอ่ยสีที่ทำเครื่องหมายเอาไว้ อีกทั้งต้องตอบสนองทันที…ต้าฉินจะมีแม่ทัพกี่คนที่สามารถสั่งการได้เชียว?”
“ม้าแก่เดินทางสิบวันก็ถึงที่หมายได้” ซ่งชูอีเอ่ย “ตามปกติแล้วไม่จำเป็นต้องใช้กองทัพขนาดใหญ่เลย แม้จะใช้ ผู้ที่สามารถสั่งการได้ในต้าฉินก็มิได้มีเพียงคนเดียว ท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแล้วก็กระหม่อม ยังมีท่านแม่ทัพ
จื่อถิงก็เพียงพอแล้ว”
“รูปแบบจันทราครึ่งเสี้ยวเหมาะกับกองทัพแข็งแกร่ง ง่ายต่อกองทัพเล็ก แต่กองทัพใหญ่นั้นง่ายต่อการแตกหัก การจัดสรรกองกำลังจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ นอกจากนี้ต้องเพิ่มการฝึกกลุ่มทหารให้แข็งแกร่งเหนือทหารเกราะดำ” มุมปากของอิ๋งซื่อยกขึ้นเล็กน้อย “รูปแบบกองทัพเช่นนี้มีความลำบากอย่างยิ่ง ทว่าหากสำเร็จจริงๆ ก็สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของกองทัพต้าฉินได้มากกว่าสิบเท่า จงเสริมด้วยความระมัดระวัง หลังจากทำสำเร็จแล้ว ก็ลองเอาไปฝึกในเหอซีส่วนหนึ่งก่อน” สิ่งที่เรียกว่าส่วนหนึ่งก็คือแยกการฝึกรูปแบบกองทัพ โดยเริ่มฝึกจากรูปแบบจันทราเต็มดวงก่อน แล้วค่อยฝึกจันทราครึ่งเสี้ยว จากนั้นก็ค่อยฝึกรูปแบบงู แล้วผสมกับรูปแบบกองทัพอื่นโดยอย่าให้กองทัพรัฐอื่นล่วงรู้เรื่องนี้ก่อน
ซ่งชูอีเช็ดๆ รอยหมึกที่เปื้อนอยู่บนนิ้ว ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาททรงพระปรีชา รูปแบบกองทัพเช่นนี้จะเป็นประโยชน์มากในภายภาคหน้าในฝั่งตะวันออกหรือพื้นที่ราบเป็นส่วนใหญ่!”
“ฝ่าบาท ยามอิ๋นแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาเตือนสติ
“วันนี้ได้อะไรไม่น้อย” ความมืดมนของอิ๋งซื่อในตอนแรกหายไป ดูผ่อนคลาย “กั๋วเว่ยกลับไปพักผ่อนเถิด ไม่ต้องเข้าประชุมราชสำนัก”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!” ซ่งชูอีคำนับ
ซ่งชูอีออกมาจากในวัง ขี่ม้ารีบกลับจวนภายใต้การอารักขาของทหารในชุดเกราะสีดำ
โคมไฟสองดวงถูกจุดไว้ที่ทางเข้าจวน ซ่งชูอีไม่รู้สึกว่ามืดมาก
เปิดประตูเล็กเข้าไป ซ่งชูอีเพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปได้ครึ่งเดียว ก็เห็นเจ้าอี่โหลวในชุดเกราะสีดำยืนกอดอกพิงอยู่ข้างกำแพงประตู