กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 31 ดุจดวงดาวแพรวพราว
“ออกเดินทางเถิด” ซ่งชูอีกล่าว
จี๋อวี่เอ่ยขึ้น “ท่านหวยจิน เมื่อวานพวกข้าได้รับข่าวว่ารัฐเว่ย์ใช้ข้ออ้างในการผ่านดินแดนเพื่อยึดครองหลายเมืองในรัฐเว่ย์ของพวกข้า ท่านมีแผนใดหรือไม่?”
นี่เป็นไปตามการคาดเดาของซ่งชูอี แม้ว่าวิธีการของรัฐเว่ย์นี้จะไร้ยางอาย แต่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ สามารถชนะเมืองเหล่านั้นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก
“ยึดแล้วก็ยึดไป หากคิดจะแย่งคืนมาจากในมือของเว่ยอ๋อง เกรงว่าจักต้องสู้รบเท่านั้น” ซ่งชูอีกล่าวเชื่องช้า นางแสร้งมองไม่เห็นสายตาผิดหวังและดูหมิ่นของทุกคน เอ่ยต่อ “รัฐเว่ย์มีบุรุษมากมาย บ้านเมืองไร้สิ่งแผ้วพาน คำพูดนี้มีมาตั้งแต่ยุคชุนชิวจวบจนปัจจุบัน เมืองที่เสียไปแล้วอาจมิได้คืนกลับมา แต่ว่าข้ามีวิธีที่จะทำให้เว่ยอ๋องได้ลิ้มรสชาติแห่งการเสียดินแดนเช่นกัน และวิธีนี้จะทำให้รัฐเว่ย์ปลอดภัยนานนับหลายปี”
สีหน้าทุกคนเปี่ยมด้วยความตื่นเต้น บางคนอดไม่ไหวโพล่งถาม “จริงรึ?”
“แน่นอน” ซ่งชูอีเอ่ยยิ้มจางๆ “เพียงแต่ เรื่องสำคัญที่สุดในยามนี้คือการเดินทางกลับรัฐเว่ย์ทันที”
ในตอนต้นของยุคจั้นกั๋ว รัฐเว่ย์กับรัฐซ่งตั้งอยู่ติดกัน ทั้งสองรัฐต่างผลิตบุคคลที่มากความสามารถ ในยุคสามราชาห้าจักรพรรดิ จวนซวี ตี้คู่ ล้วนมาจากอาณาจักรเว่ย์ อีกทั้งยังมีบุคคลอย่างหลิวเซี่ยฮุ่ย ซางยาง บัดนั้นขงจื้อท่องเที่ยวใต้หล้า แต่กลับหยุดพำนักที่รัฐเว่ย์เพียงคนเดียวร่วมสิบปี เพราะว่าที่นี่มีบัณฑิตผู้มากความรู้ที่ไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นชื่อเสียงของรัฐเว่ย์ แม้นว่าเว่ยอ๋องจะไร้ยางอายเพียงใด ก็มิกล้าทำลายรัฐเว่ย์อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ถ้าหากเขาทำลายรัฐเว่ย์แล้ว ก็เท่าที่ว่าให้เหตุผลรัฐอื่นโจมจีรัฐเว่ย
ยิ่งไปกว่านั้นซ่งชูอีรู้ว่ารัฐเว่ย์จะไม่ทำลายรัฐตนเอง ด้วยเหตุนี้จึงมิได้เป็นกังวล
ในใจของเหล่าแม่ทัพก็รู้ว่าคำพูดของซ่งชูอีเชื่อถือได้ แต่เพื่อเป็นการป้องกัน การเจรจาด้วยทางออกที่ดีย่อมดีกว่า จากนั้นจึงเริ่มทำอาหาร หลังจากกินอิ่มแล้วเหล่าทหารก็ออกเดินทาง
ซ่งชูอีอยู่บนม้า หันกลับไปมองป่าที่อยู่เบื้องหลัง ในใจรู้สึกเศร้าโศกเล็กน้อย เด็กหนุ่มคนนั้นที่หล่อเหลาดุจพญามังกร เด็กหนุ่มคนนั้นที่ระวังตัวเป็นอย่างมากแต่กลับเชื่อใจนางอย่างง่ายดาย ก็เหมือนกับเป็นดาวดวงหนึ่งที่วาดแสงแพรวพราวในช่วงเริ่มต้นของการกลับชาติมาเกิดของนาง จากนั้นก็หายลับไปในท้องนภาโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
หรือบางทีเขาอาจยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่กำลังเศร้าสลดในการจากลา ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้นมันก็คือความแตกต่างระหว่างชีวิตกับความตายที่มิอาจคาดเดา
ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ซ่งชูอีหวดแส้ม้า เร่งความเร็วขึ้น
ขบวนทหารนั้นลำบากมาก มิได้สบายเทียบเท่าตอนที่ซ่งชูอีอยู่ในขบวนนักแสดงเป็นธรรมดา อีกทั้งเดิมทีทหารสามหมื่นนายนี้เป็นกองกำลังจู่โจม แน่นอนว่าไม่มีเกวียนม้า ซ่งชูอีได้แต่ขี่ม้าไปตลอดทางเหมือนกับทหารนายอื่นๆ
ทุกครั้งที่รู้สึกทรมานจนเหลืออด ซ่งชูอีก็จะหันกลับไปมองนายทหารที่เดินเท้าเหล่านั้น เมื่อเห็นว่ารองเท้าฟางของบางคนบัดนี้ถูกย้อมด้วยสีเลือดแล้ว ทันใดนั้นในใจก็รู้สึกว่าตัวเองสบายกว่ามาก
เส้นทางนี้ ต้องยืนหยัดด้วยวิธีที่ไร้ยางอายเช่นนี้ต่อไป
ผ่านไปเจ็ดวันหกคืน ในที่สุดก็เข้าสู่ดินแดนรัฐเว่ย์ในกลางดึกของวันที่เจ็ด แม้นก่อนหน้านี้ซ่งชูอีเคยกล่าวว่าความเป็นไปได้ที่รัฐเว่ยจะโจมตีพวกเขามีไม่มาก แต่ว่าทุกคนก็ยังหวาดกลัว จนกระทั่งมาถึงรัฐเว่ย์จริงๆ จึงรู้สึกผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์
แม่ทัพสามท่านสั่งการว่าให้ค้างแรมที่ตี้ชิวหนึ่งคืน ครั้นฟ้าสาง ก็กลับไปใช้ชีวิตที่ผูหยาง แต่ทันทีที่ตั้งค่ายในชานเมืองตี้ชิวก็ได้รับข่าวว่า บัดนี้รัฐเว่ย์เสียไปเจ็ดเมืองแล้ว รัฐที่เดิมทีมีขนาดเล็กจ้อยหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง!
ทันใดนั้นกองทัพทั้งหมดก็อยู่ในความโกลาหล เหล่าทหารไม่สนใจความอ่อนเพลียและความเจ็บปวดบนร่างกายอีกต่อไป แต่ละคนเรียกร้องให้เข้าสู่สงคราม เพลิงโทสะสันดาปจนกลายเป็นความประสงค์ที่จะต่อสู้ เสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังกึกก้องชานเมืองตี้ชิวราวกับสัตว์ป่าที่ได้รับบาดเจ็บ
ซ่งชูอียืนอยู่บนเนินดิน มือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ ราตรีในต้นฤดูหนาวเยือกเย็นบาดคม นางหันหลังให้สายลม ผมถูกพัดปลิวจนยุ่งเหยิง แต่ว่าในใจชัดเจนยิ่ง
“ท่านหวยจิน!” จี้ฮ่วนวิ่งขึ้นมาหน้าตาตื่น รีบประสานมือคำนับนาง เอ่ย “เจ้าโจรเว่ยกลั่นแกล้งผู้คน พวกข้าตัดสินใจกลับนคร!”
ซ่งชูอีตอบรับเสียงหนึ่ง น้ำเสียงถูกลมพัดจนแตกกระจายเล็กน้อย ไม่สามารถบ่งบอกอารมณ์ในน้ำเสียงได้ “ความประสงค์ในการต่อสู้เหมือนเป็นการจุดชนวน อาจนำไปสู่สงครามได้”
จี้ฮ่วนกล่าวด้วยความยินดี “ท่านก็คิดว่าพวกข้าจะสู้ได้หรือ?”
ซ่งชูอีนิ่งเงียบ ถ้าหากทหารสามหมื่นนายรักษาความฮึกเหิมเช่นนี้และอาศัยช่วงที่ทหารเว่ยไม่ทันตั้งตัวรีบช่วงชิงนครที่ถูกยึดกลับมา ไม่แน่ว่าอาจจะประสบความสำเร็จสักครั้ง แต่แล้วอย่างไรรึ? ทหารเว่ยที่ตั้งสติได้ไม่มีทางสูญเสียเมืองที่สองเป็นแน่ อีกทั้งกองทหารที่เร่งเดินทางเป็นเวลาเจ็ดวัน ร่างกายของทุกคนต่างอ่อนระโหย แม้ว่าครั้งนี้จะแลกด้วยเลือดเนื้อเอาชนะมาได้ แต่ก็เกรงว่าจะต้องสูญเสียทหารม้าส่วนใหญ่ไปกับการสู้รบครั้งนี้
สู้รบได้หรือไม่คงต้องเป็นคราหน้า แต่คุ้มค่าหรือไม่ต่างหากคือปัญหาที่จำต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
“ท่านหวยจิน?” จี้ฮ่วนเห็นนางเงียบเนิ่นนาน อดไม่ได้ที่ตะโกนเรียก
“ถ้าหากพวกท่านต้องการจะรบ ข้ามีวิธีรบ หากไม่รบ ข้าก็มีแผนการที่ไม่ต้องรบเช่นกัน การประเมินผลกำไรและขาดทุนยังคงอยู่ในมือของเหล่าท่านแม่ทัพ สิ่งที่ข้าพูดหาใช่สำคัญไม่” ซ่งชูอีรู้สึกหนาวเหน็บเล็กน้อย จึงเดินลงจากเนินดิน
จี้ฮ่วนไม่ค่อยเข้าใจในคำพูดของนางนัก ดังนั้นจึงเดินตามไป “ท่านหวยจินมีความสามารถ ถ้าหากสามารถไม่สู้รบได้ เชื่อว่าท่านแม่ทัพทั้งสามก็คงไม่ทำหูทวนลม”
“หึ แน่นอนว่าไม่” ซ่งชูอีเลิกคิ้ว ยิ้มมองเขาด้วยความสงสัย “หากเจ้ากล้าก็ไปชูมือประกาศเสียว่าจะไม่สู้รบ ดูว่าฝูงชนเกรี้ยวกราดเหล่านั้นจะฆ่าเจ้าหรือไม่!”
“หึหึ ท่านเข้าใจล้อเล่นจริงๆ” ทันทีที่ใบหน้ามืดมนของจี้ฮ่วนยิ้มก็เห็นฟันสีขาวชัดเจนเป็นพิเศษ
“ดวงตาดวงไหนของท่านที่เห็นว่าข้าล้อเล่นรึ” ซ่งชูอีเอ่ย
จี้ฮ่วนคลุกคลีกับซ่งชูอีในซุยหยางหลายวัน พอจะเข้าใจนิสัยของนางอยู่บ้าง ได้ยินนางกล่าวเช่นนี้ ก็หลุดหัวเราะออกมาอย่างงี่เง่า มวยผมคลายหลวม ฝุ่นผงที่เปื้อนอยู่ด้านบนสั่นไหวไปตามแรงกระทำนั้นและร่วงหล่นเต็มบ่า
ซ่งชูอีแสยะยิ้ม นางก็ไม่ได้ดีไปกว่าเขาเท่าไร
เวลาที่จี้ฮ่วนไม่พูดไม่จาและไม่หัวเราะดูเหมือนกับหอคอยเหล็กกล้า ทรงพลังเป็นอย่างมาก แต่หลังจากได้สนิทสนมแล้วจึงรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นชายอารมณ์อ่อนไหว ความคิดอ่านก็เรียบง่ายยิ่งยวด
“ท่านหวยจิน แม่ทัพอาวุโสหลงกู่ แม่ทัพปิ่งและแม่ทัพกงซุนเชิญท่านไปพบที่ค่ายผู้บัญชาการทหารขอรับ” จู่ๆ ทหานนายหนึ่งเร่งรุดเข้ามา
“นำทางไป” ซ่งชูอีกล่าว
แม่ทันสามท่านนี้รู้อยู่แล้วว่าผู้ที่ไปซุยหยางเพื่อสานสัมพันธ์กับรัฐซ่งนั้นมิได้มีเพียงซ่งชูอี ยังมีราชทูตอีกคนที่ล่วงหน้าไปก่อนพร้อมกับทรัพย์สมบัติจากรัฐเว่ย์ ดังนั้นพวกเขาจึงมิเคยยกความดีความชอบทั้งหมดให้แก่ซ่งชูอี วันนั้นที่เรียกนางไปยังค่ายทหาร เพียงเพราะต้องการทดสอบความสามารถของนางเสียหน่อย ต้องการให้ซ่งชูอีแสดงออกถึงความเก่งกาจของนาง คำแนะนำที่นางให้พวกเขารู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยังสงสัยในความสามารถของนาง
ในช่วงเวลานี้ซ่งชูอีไม่ได้พูดคุยกับพวกเขามากนัก รู้เพียงว่าแม่ทัพอาวุโสท่านนั้นมีนามว่าหลงกู่ชิ่ง อีกคนที่อยู่ในวัยสี่สิบต้นๆ มีนามว่าปิ่งเกอ และผู้ที่อายุน้อยที่สุดมีนามว่ากงซุนชื่อ
สกุลของพวกเขาทั้งสามทำให้ซ่งชูอีพอจะเดาภูมิหลังและสถานะของพวกเขาได้ หลงกู่คือขั้นตอนหนึ่งในการปอกเปลือกข้าว ผู้ที่มีที่ดินเพาะปลูกนั้นมีมาก ผู้ที่มีสกุลนี้ เป็นไปได้ว่าเป็นพลเมืองธรรมดาหรืออาจเป็นพวกคนรวยที่พอมีที่ดินอยู่บ้าง แต่ไม่ใช้พวกผู้มีอำนาจอย่างแน่นอน ผู้มีอำนวจส่วนใหญ่จะใช้สกุลที่รุ่งโรจน์กว่านี้ ส่วนปิ่งนั้นเป็นชื่อของสถานที่ซึ่งตั้งอยู่ในดินแดนฉีหลี่ว์ และกงซุนนั้นไม่จำเป็นต้องคิดมาก จะต้องมาจากราชสำนักอย่างแน่นอน
……………………………