กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 311 ซ่งชูอีแต่งหญิง
หิมะในหล่งซีโปรยปราย สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาไร้ขอบเขต เหล่านกป่าและผู้คนต่างจำศีลอยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน
ระหว่างพื้นที่ยุบตัวของเทือกเขาฉินหลิงและที่ราบสูงหวงถู่ทางตอนเหนือของมณฑลส่านซีมีที่ราบแห่งหนึ่งตั้งอยู่ มีแม่น้ำเว่ยไหลผ่าน เทือกเขาฉินหลิงและที่ราบสูงหวงถู่เป็นแนวกั้นจากทางเหนือไปทางใต้ ทิศตะวันตกสามารถเข้าถึงภูมิภาคตะวันตกได้ ทิศตะวันออกสามารถควบคุมอันตรายจากแม่น้ำฮวงโหและด่านถงกวน มองเห็นทิวทัศน์ของจงหยวนเบื้องล่าง ครองตำแหน่งที่ได้เปรียบมากในเชิงกลยุทธ์ นี่ก็คือที่ราบแม่น้ำเว่ยที่ตั้งอยู่ในนครเสียนหยาง
แม้ว่าถนนจะถูกปิดกั้นด้วยหิมะตกหนัก แต่เมื่อใกล้จะถึงวันปีใหม่ ผู้คนต่างก็ยุ่งกับการเตรียมตัวสำหรับปีใหม่และยังคงมีคนเดินเท้าหลั่งไหลเข้ามาในนครไม่ขาดสาย
นับตั้งแต่วันที่ส่งหมี่จีเข้าวัง ซ่งชูอีได้รับลมหนาวโดยไม่ทันระวัง ร่างกายของนางไม่ใคร่แข็งแรงอยู่แล้ว ครั้งนี้จึงล้มป่วยกะทันหัน ต้องนอนติดเตียงร่วมครึ่งเดือน หลังจากรักษาจนหายแล้วก็กลัวว่าจะได้รับลมหนาวแล้วล้มป่วยอีกจึงไม่ออกจากจวนเลย แม้แต่ประชุมราชสำนักในช่วงเช้าก็ไปทุกๆ สามถึงห้าวัน
มันไม่สำคัญว่านางจะป่วยหรือไม่ ข่าวชิ้นหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วนครเสียนหยางโดยมีสองเรื่องเล่าหลัก เรื่องแรกบอกว่าองค์จวินจับตัวจีอันเป็นที่รักของกั๋วเว่ย กั๋วเว่ยอกหักชอกช้ำ อีกเรื่องหนึ่งบอกว่ากั๋วเว่ยยอมสละแม้กระทั่งผู้หญิงของตนเข้าวังเพื่อได้รับความโปรดปรานจากองค์จวิน ครั้นจากกันแล้วก็รู้สึกห่วงหา
แม้แต่ขุนนางบางคนก็เชื่อในข่าวลือนี้ เวลาที่มาเยี่ยมเยียนก็ยังปลอบใจซ่งชูอีให้ปลงเสีย อย่าได้ทำลายความกรุณาระหว่างจวินและขุนนางเพราะแม่นางคนหนึ่ง วุ่นวายจนทำให้ซ่งชูอีไม่อาจร้องไห้หรือหัวเราะได้ ปิดประตูขอบคุณแขกทันที ปล่อยให้คนอื่นคาดเดาไปต่างๆ นานา!
“ท่านเจ้าคะ ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวามาเจ้าค่ะ” หนิงยาเอ่ยอยู่นอกห้องหนังสือ
ซ่งชูอีไอเสียงเบา “เชิญเขาเข้ามา”
“ขอรับ” หนิงยาถอยออกไป ผ่านไปไม่นานชูหลี่จี๋ก็เข้ามาพร้อมกับห่อสัมภาระใหญ่สองห่อ
ซ่งชูอีออกมารับที่นอกห้อง “ของดีอะไรต้องลำบากให้พี่ใหญ่นำมาด้วยตัวเอง?”
“แน่นอนว่าเป็นของดี” ชูหลี่จี๋วางห่องสัมภาระไว้บนโต๊ะ เห็นว่าในห้องไม่มีบ่าวรับใช้ จึงเปิดออก “เจ้าเข้ามาดูเถิด”
ซ่งชูอีเดินเข้าไป เห็นว่ามีเสื้อผ้าชุดหนึ่งในห่อสัมภาระ เป็นชุดผ้าแพรสีน้ำเงินเข้มปกคลุมด้วยสีขาว ตรงขอบหน้าอกปักด้วยด้ายสีเงินบางๆ เป็นรูปวิหคคู่ นางคลี่เสื้อออกด้วยความสงสัย สำรวจอย่างละเอียดแล้วเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “เสื้อผ้าผู้หญิง?”
“อืม” ชูหลี่จี๋พยักหน้า มุมปากยกยิ้มเอ่ย “ข้าเคยบอกไม่ใช่รึว่าจะทำพิธีจี๋จีให้กับเจ้า? แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ทว่าก็พอวัดไปวาได้ เจ้าดูสิว่าชอบหรือไม่?”
พูดพลาง เขาก็คลี่สัมภาระอีกห่อออกเช่นกัน ด้านในเป็นเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกสีเขียว กล่องไม้จันทน์แดงขนาดกว้างยาวประมาณครึ่งฉื่อที่มีปุ่มเคลือบสีทองวางทับอยู่ด้านบน หลังจากเปิดออกก็เห็นปิ่นหยกชุดหนึ่งวางอยู่บนผ้าแพรต่วนสีน้ำเงิน ตัวปิ่นเรียวยาวงดงาม ปลายปิ่นแกะสลักเป็นรูปวิหคหงส์แดง ดูสง่างามทว่าไม่ทิ้งความอ่อนโยน ข้างปิ่นมีจี้หยกขนาดเท่าฝ่ามือวางอยู่ สีเขียวสดใส แสงแวววาวภายในขยับเล็กน้อย มันถูกร้อยด้วยเชือกสีเงิน มีหยกห้าสีอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่าง
สิ่งที่ชูหลี่จี๋เตรียมมาอาจไม่สะดุดตาในแวบแรก ทว่าวัสดุและฝีมือช่างยอดเยี่ยม สิ่งของที่เด็กสาวชาววังใช้ในพิธีจี๋จียังไม่ล้ำค่าเช่นนี้
“พี่ใหญ่ลำบากแล้ว ข้าโตจนป่านนี้ยังไม่เคยสวมชุดของผู้หญิงเลย!” ซ่งชูอีสัมผัสวัสดุผ้าที่ลื่นมือ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“เอ๋ หากส่องเสื้อคลุมนี้กับไฟก็จะทอแสงด้วย!” ซ่งชูอีรู้สึกว่าเสื้อผ้านี้มันก็ดีอยู่ เพียงแต่สีสันจืดชืดไปหน่อย ใครจะรู้ว่าดูเช่นนี้แล้ว แม้ไม่โดดเด่นทว่าไม่ทิ้งความสง่างามเลย “ข้าจะไปเปลี่ยน”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งชูอีมีเสื้อผ้าผู้หญิงเป็นของตัวเอง จึงแสดงความมีชีวิตชีวาที่ยากจะพบเห็นออกมา
เห็นนางตื่นเต้นเพียงนี้ ชูหลี่จี๋ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่ได้เตรียมตัวอย่างรอบคอบมาตลอดครึ่งปี
พูดจบแล้วซ่งชูอีก็รีบวิ่งไปยังห้องด้านในพร้อมกับชุดชวีจวีในมือ ถอดชุดบนตัวออกอย่างรวดเร็ว หลังจากสวมใส่แล้วก็รู้สึกเบาโหวงเล็กน้อย หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ยังคงเดินออกไปข้างนอกพร้อมคอเสื้อที่กระพือไหว “พี่ใหญ่”
“แค่กๆ!” ชูหลี่จี๋สำลักน้ำชา ในใจของเขาคาดหวังที่จะเห็นซ่งชูอีเดินออกมาจากข้างในด้วยท่าทีน่ารักเหนียมอาย ใครจะคิดว่าหันไปหันมาอยู่ครู่หนึ่งก็ยังเป็นฉากเช่นนี้
ซ่งชูอีจัดกระชับเสื้อผ้า ขมวดคิ้วเอ่ย “เมื่อครู่ข้าก็ผูกดีแล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ทำได้ไม่เรียบร้อยเสียที”
“เฮ่อ!” ชูหลี่จี๋ทอดถอนใจอย่างจนปัญญาและสงสาร ลุกขึ้นเดินไปช่วยนางจัดให้เรียบร้อย “ดูเจ้าสิ ยังสู้ผู้ชายอย่างพี่ใหญ่ไม่ได้เลย!”
“มันก็จริง เมื่อก่อนตอนที่อยู่กับศิษย์พี่ใหญ่ เขามักจะสอนวิธีการปลดเสื้อผ้าผู้หญิงง่ายๆ ให้ข้าเสมอ ทว่าไม่เคยสอนว่าสวมใส่อย่างไร” ซ่งชูอีไม่ใครพอใจกับเว่ยเต้าจื่อเท่าใดนัก
นางคลุกคลีอยู่ในหมู่ผู้ชายตั้งแต่ยังเล็ก เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตและปัจจุบัน นอกจากขโมยเสื้อผ้าและชุดของพี่ใหญ่แล้วก็ไม่เคยได้แตะต้องเสื้อผ้าของผู้หญิงเลย ชีวิตครึ่งแรกของนางไม่ต่างจากผู้ชาย นี่เป็นครั้งแรกที่นางสวมชุดชวี ด้วยวิธีการแต่งที่ซับซ้อนยุ่งยากเช่นนี้ หากจัดได้ไม่เป็นระเบียบก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้จริงๆ
อันที่จริงมีชุดชวีจวีสำหรับทั้งหญิงและชาย แต่ว่าชายเสื้อคลุมชวีจวีของผู้ชายจะกว้างกว่า ชายเสื้อคลุมของผู้หญิงจะแคบ แน่นอนว่าวิธีใส่ย่อมแตกต่างกันเล็กน้อยและเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่รู้วิธีสวมใส่เพียงเสื้อผ้าผู้ชายเท่านั้น
ทั้งสองคนกำลังง่วนกับวิธีรัดให้แน่น ทันใดนั้นประตูก็ถูกผลักออก
ลมหนาวปะทะเข้ามา
ชูหลี่จี๋กับซ่งชูอีหันหน้าไปพร้อมกัน ก็เห็นเจ้าอี่โหลวในชุดเกราะสีดำยืนตัวแข็งทื่ออยู่หน้าประตู ลมหนาวเสียดกระดูกพัดเอาเกล็ดหิมะขนาดใหญ่จากด้านหลังของเขาตกลงบนพื้นภายในห้อง ห้องเปลี่ยนเป็นสีขาวเพียงชั่วพริบตา
เสียงเข็มตกภายในห้องได้ยินอย่างชัดเจน ชูหลี่จี๋ชักมือกลับอย่างเก้ๆ กังๆ คนนอกไม่รู้แต่เขากลับรู้ว่าเจ้าอี่โหลวนอนห้องเดียวกับซ่งชูอีมาโดยตลอด แล้วจะเดาความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่ออกได้อย่างไร?
จู่ๆ ซ่งชูอีก็รู้สึกว่าบรรยากาศแปลกไปเล็กน้อย ทว่ากลับไม่ใคร่สนใจเท่าใดนัก “รีบปิดประตูเร็วเข้า หนาวจะตายอยู่แล้ว”
เจ้าอี่โหลวลังครู่หนึ่ง หมุนตัวจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวพร้อมปิดประตูตามหลัง
ซ่งชูอีบ่นพึมพำ “ไม่รู้ว่าไปทำชั่วอะไรไว้!”
ชูหลี่จี๋อดที่จะเช็ดเหงื่อแทนเจ้าอี่โหลวไม่ได้ เอ่ยเตือนสติว่า “หวยจิน เจ้าอยากไปอธิบายสักหน่อยไหม?”
ซ่งชูอีมองตามสายตาของชูหลี่จี๋มายังปกคอเสื้อหลุดรุ่ยของตัวเอง จึงได้สติกลับมา ตบศีรษะแล้วหัวเราะเอ่ย “มารดาเขาเถอะ! ข้าก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองเป็นผู้หญิง เร็วเข้าพี่ใหญ่ ช่วยข้าแต่งตัวให้ดี ข้าจะใส่ไปหาเขาทั้งแบบนี้”
“ท่านแม่ทัพเจ้าต้องทนทุกข์ทรมานจริงๆ” ชูหลี่จี๋ก้มตัวลงช่วยนางรัดสายรัดเอวให้กระชับ นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาช่วยผู้หญิงแต่งตัวเหมือนกัน ฝีมือก็ไม่ได้ดีไปกว่าซ่งชูอีเท่าไร แต่ว่าสองคนสี่มือจัดการอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็นับว่าเรียบร้อยแล้ว
“หนิงยา!” ซ่งชูอีเรียก
“เจ้าค่ะ! มาแล้ว” หนิงยาวิ่งออกมาจากห้องข้างๆ “ท่าน…”
พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง หนิงยาก็เบิกตากว้างทันใด เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ท่าน ท่าน ท่านสวมชุดผู้หญิงทำไมเจ้าคะ!”
ซ่งชูอียิ้มโง่ๆ กวักมือเรียกนาง “เจ้ามานี่”
หนิงยาตามซ่งชูอีเข้าห้องด้านไปด้วยความงุนงง
“ช่วยข้าถักเปียแบบเด็กสาวให้ที” ซ่งชูอีเอ่ย
“เจ้าค่ะ…” หนิงยายังไม่ทันจะได้สติกลับมา ก็หยิบหวีขึ้นและหวีผมให้ซ่งชูอีด้วยความคล่องแคล่ว
ฝีมือของหนิงยาเทียบไม่เท่าบ่าวรับใช้ในตระกูลสูงศักดิ์ ทว่าหากเป็นเปียของเด็กสาวทั่วไปต่อให้หลับตานางก็สามารถถักได้
ชูหลี่จี๋แอบได้ยินมาว่าเจ้าอี่โหลวไปที่ลานด้านหลัง จึงย้ายทหารรักษาการณ์และผู้ใต้บังคับบัญชาออกไปทั้งหมด ป้องกันมิให้พวกเขาย่างกรายเข้าไปที่ลานด้านหลัง บัดนี้เป็นเวลากลางคืนแล้ว ในจวนเหลือเพียงคนรับใช้ที่เฝ้ายามค่ำคืนจึงใช้เวลาไม่นาน
ผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา ม่านถูกเลิกขึ้น เด็กหญิงตัวสูงคนหนึ่งเดินออกมา
ผมสีดำของนางปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ไม่มีเครื่องประดับผม มีเพียงผมเปียสองข้างห้อยอยู่ข้างหู ปกเสื้อเผยอออกเล็กน้อยเผยให้เห็นลำคอเรียวยาว ไหปลาร้าบางๆ โผล่ขึ้นมาชัดเจน ร่างเพรียวบางถูกห่อหุ้มด้วยกระโปรง เมื่องอขาชุดชวีจวีที่อยู่เบื้องล่างบานออกเหมือนแตร คนทั้งคนดูเหมือนไม้ไผ่มิปาน
“พี่ใหญ่ พอดูได้หรือไม่?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“ดูได้ๆ!” ชูหลี่จี๋พยักหน้าหงึกหงัก “เป็นความสง่างามที่หาได้ยาก!”
ใบหน้าสามัญของนางไม่นับว่าสวยงาม อย่างไรก็ตามบุคลิกแตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่เฉยเมยราวกับสระน้ำ แววตาสงบนิ่ง แม้จะเห็นได้ไม่ชัดนักเวลาที่แต่งเป็นผู้ชาย ทว่าครั้นแต่งเป็นหญิงแล้วน่าดึงดูดเป็นพิเศษ!
ชูหลี่จี๋อึ้งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าหน้าตาของหมี่จีนั้นละม้ายคล้ายกับซ่งชูอีอยู่บ้าง หรือว่า…
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาเหม่อไปก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อครู่นางก็ส่องๆ กระจกอยู่ในห้องแล้ว รูปลักษณ์ในตอนนี้ไม่ต่างจากชาติที่แล้วเท่าใดนัก หรือเป็นเพราะเสื้อผ้าที่งดงามทำให้นางดูดีขึ้นมาหน่อย ทว่ามันก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้นคงไม่ถึงกับทำให้น่าหลงใหลหรอกกระมัง!
“ฮ่า นึกถึงตอนที่ข้าเป็นผู้ชาย ผู้หญิงนับพันต่างยื้อแย่ง พอข้าเป็นผู้หญิงก็ยังสามารถเบี่ยงเบนจิตวิญญาณของนักปราชญ์คนแรกในต้าฉินได้อีกด้วย!” ซ่งชูอีเย้าเล่น
ชูหลี่จี๋ดึงสติกลับมา หัวเราะพลางสวมขนจิ้งจอกสีเขียวให้นาง “ข้าได้ไล่บ่าวรับใช้ออกไปหมดแล้ว แม่ทัพเจ้าอยู่ที่ลานด้านหลัง ไปเถิด! ข้าจะรอเจ้ากลับมาเข้าพิธีจี๋จี”
“ได้!” ซ่งชูอีรับคำ หมุนตัวก้าวขาอออกไปแต่กลับเซถลา
ชูหลี่จี๋ประคองนางไว้ “เหตุใดแม้แต่เดินเหินก็ทำไม่เป็นแล้วหรือ!”
“หึหึ กระโปรงนี้แคบเหลือเกิน ก้าวขายาวๆ ไม่ได้ เช่นนี้เดือนไหนปีไหนจะเดินถึงลานด้านหลังเล่า!” ซ่งชูอีรู้สึกเสียใจเล็กน้อย ทว่าครั้นนึกว่าจะแต่งหญิงไปให้เจ้าอี่โหลวดู ไม่ช้าความตื่นเต้นและความตึงเครียดก็ท่วมท้นความเสียใจนั้นแล้ว
ข้างนอกเต็มไปด้วยพายุหิมะ มืดมิดไปทั้งแถบ ซ่งชูอีหยิบโคมไฟหน้าประตูที่พลิ้วไหวอยู่ในสายลม ถือไว้ในมือเพื่อส่องทาง
ครั้นผ่านซุ้มประตูไป ซ่งชูอีเห็นว่าไฟในห้องหนังสือยังคงสว่างอยู่ จึงเดินย่องเข้าไปทางนั้น เมื่อถึงหน้าประตูก็โน้มตัวมองเข้าไปข้างในตามรอยแยกของประตู
นางมองไม่เห็นเจ้าอี่โหลว กำลังจะวางโคมไฟลงเพื่อผลักประตูเปิดก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังมาจากด้านหลัง “ใครน่ะทำตัวลับๆ ล่อๆ!”
ซ่งชูอีตกใจจนสะดุ้งโหยง หลังหันกลับมาฉับพลัน
โคมไฟหล่นลงบนพื้นและไฟก็ลุกพรึ่บทันที แสงไฟส่องสว่างอย่างดุเดือด เจ้าอี่โหลวเห็นผู้หญิงรูปร่างผอมเพรียวที่อยู่ตรงทางเดินอย่างชัดเจน สายลมยกชายกระโปรงและผมสีดำขึ้น หน้าตาธรรมดานั้นดูสะอาดและสง่างามยิ่งขึ้นเมื่อสะท้อนกับขนสุนัขจิ้งจอกสีเขียว นางมองดูเขา รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเงียบๆ
ราวกับดอกบัวที่บานเต็มบ่อเงียบๆ ท่ามกลางวันคืนอันเหนาวเหน็บ
ซ่งชูอีรวบรวมสติ เห็นว่าเจ้าอี่โหลวยังคงอยู่ในชุดเกราะสีดำนั้น ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนาแน่น ผมเผ้าถูกสายลมพัดจนยุ่งเหยิง ใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่เปรียบกำลังจ้องมองนางอย่างว่างเปล่า
“จำข้าไม่ได้แล้วหรือ?” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย
เจ้าอี่โหลวถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่ตกลงมา เขาจ้องมองนางตาไม่กะพริบ
ซ่งชูอีคิดในใจว่านี่คือความประหลาดใจหรือว่าความตกใจกันแน่?
นางต้องการจะก้าวเท้าเดิน แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่ยกเท้าก็ลืมไปอีกแล้วว่ามันคือกระโปรงแคบ นางจึงโซซัดโซเซพุ่งถลาไปตามทางเดิน
อย่างไรก็ดีนางตกลงไปในอ้อมกอดที่มั่นคงอย่างไม่น่าแปลกใจเลย
“ทั้งหนาวทั้งแข็ง!” ซ่งชูอีกัดฟัน คิดในใจว่าการพุ่งชนกับเสื้อเกราะของเขานั้นสู้ล้มลงไปในหิมะนุ่มๆ ยังจะดีเสียกว่า