กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 312 ความภักดีจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้
เจ้าอี่โหลวปล่อยมือ ซ่งชูอีพุ่งตรงไปยังหิมะที่ทับถมกัน
ขณะที่ใบหน้าของนางเกือบจะสัมผัสกับหิมะอันหนาวเหน็บนั้น หน้าอกและหน้าท้องก็กระแทกเข้ากับสิ่งที่แข็งทื่อราวกับหิน มันจุกจนนางแทบจะอาเจียนอาหารค้างคืนออกมา
ซ่งชูอีหันหน้าไปมอง กลับเป็นเจ้าอี่โหลวที่ใช้เท้าเกี่ยวตัวนางไว้
“เจ้าเสี่ยวฉง!” ซ่งชูอีกัดฟัน ผู้ชายคนนี้ต้องทำโดยเจตนาอย่างแน่นอน!
เจ้าอี่โหลวคว้าหลังคอเสื้อของนาง ออกแรงดึงนางขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยความเฉยเมย “มือข้าลื่น เมื่อครู่คว้าไม่ทัน”
ใจแคบเหลือเกิน!
ซ่งชูอีสูดหายใจลึก สงบสติอารมณ์ เอ่ยอธิบายว่า “ที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ เพราะข้าให้พี่ใหญ่ช่วยข้าใส่เสื้อผู้หญิง ไม่มีอะไรเกินเลย”
เจ้าอี่โหลวพ่นลมหายใจเย็นชาออกมาจากจมูก จากนั้นก็เหลือบมองนางพลางเอ่ยว่า “แน่นอนข้ารู้ว่าไม่มีอะไรเกินเลย ทว่าเจ้าในฐานะที่เป็นผู้หญิง ไม่รู้จักหลีกเลี่ยงการเป็นที่สงสัยหรืออย่างไร?”
หากเขาไม่เชื่อนาง ด้วยนิสัยของเขา ก็คงพุ่งออกไปสับชูหลี่จี๋เป็นหมื่นชิ้นก่อนที่จะคุยไปแล้ว
“ต่อให้แก้ผ้าก็ไม่มีอะไรน่ามอง ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังใส่เสื้อตัวกลางไว้ข้างใน…” ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขามืดมนลงทุกที ก็พลิกลิ้นโดยใช้วิธีการตัดพ้อทันที “เจ้าก็รู้ว่าข้าโตมาในหมู่ผู้ชายตั้งแต่เด็ก และไม่มีใครสอนข้าเรื่องพวกนี้…หากมัวแต่ใส่ใจกฎเหล่านี้อยู่เสมอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ข้าจะมีชีวิตมาจนถึงบัดนี้ได้อย่างไร? หากเจ้าถือสา ในอนาคตข้าก็จะระวังให้มากขึ้น”
พูดจบนางก็ยกแขนเสื้อขึ้นบดบังใบหน้า ทำทีเป็นคัดจมูกรุนแรง
เจ้าอี่โหลวรู้สึกสะเทือนใจ ยื่นมือออกไปเพื่อกอดนางไว้ในอ้อมแขน ทอดถอนใจเอ่ย “เลิกเสแสร้งได้แล้ว ไม่เหมือนเลยสักนิด ช่างเถิด ในอนาคตเจ้าไม่เผยเนื้อหนังมังสาต่อหน้าคนอื่นอีกข้าก็พอใจมากแล้ว”
“อืม” ซ่งชูอีคล้อยตาม
เจ้าอี่โหลวรู้ว่าแม้นางจะเสแสร้งในแง่ของความรู้สึก แต่ไม่มีการปลอมปนในคำพูดแม้แต่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้ร้องขอให้นางทำเช่นนั้นเช่นนี้อีก คนที่เขาชื่นชมไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาจะเอาเรื่องเหล่านั้นมาวัดได้อย่างไร? ถ้าเขาไม่มีความคิดที่จะยอมรับข้อบกพร่องเหล่านี้ของนาง เขาจะมีคุณสมบัติที่จะครอบครองนางได้อย่างไร?
ซ่งชูอีมิใช่คนที่เขาสามารถครอบครองทุกอย่างได้ตั้งแต่แรก ด้วยเหตุนี้สิ่งที่นางสามารถมอบให้เขาได้ล้วนเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งไม่ว่าจะดีหรือเลวก็ตาม
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าเลย” ซ่งชูอีเอ่ย
“หืม?” ทันทีที่เจ้าอี่โหลวก้มลงก็เห็นขวัญที่อยู่บนศีรษะของนาง
“บางคราวก็ขี้น้อยใจ บางคราวก็ใจกว้าง” ซ่งชูอีเอ่ย
เจ้าอี่โหลวส่งเสียงหึ “ข้าเคยขี้น้อยใจเมื่อไรกัน! อย่าพูดจาเหลวไหล!”
“เจ้าดูเจ้าสิ ยังพูดไม่ทันสองคำก็เริ่มหงุดหงิดอีกแล้ว” ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาของเขา
เจ้าอี่โหลวพูดไม่ออก เขาแค่ใส่อารมณ์ทั้งหมดลงบนใบหน้าเท่านั้น ไม่ได้โมโหอะไรเลย
“เหตุใดวันนี้ถึงแต่งเป็นหญิงได้เล่า?” เจ้าอี่โหลวปล่อยนาง ถอยออกไปสองก้าวเพื่อมองสำรวจ “ต่างจากที่ข้าจินตนาการไว้มาก”
“เดิมทีเจ้าจินตนาการไว้ว่าเยี่ยงไร?” ซ่งชูอีถามด้วยความสงสัย
เจ้าอี่โหลวหัวเราะเอ่ย “เจ้ารู้สึกว่าหากข้าสวมชุดผู้หญิงแล้วจะเป็นอย่างไร?”
เจ้าอี่โหลวมีรูปร่างบึกบึนและสูงใหญ่ หากสวมชุดผู้หญิงล่ะก็…ทันใดนั้นภาพที่เขาสวมชุดชวีจวีพร้อมบิดสะโพกไปมาผุดขึ้นในหัวของซ่งชูอี ใบหน้าก็นิ่วเข้าหากัน
“ฮ่าๆ” เจ้าอี่โหลวเห็นว่านางเข้าใจก็อดที่จะหัวเราะเสียงดังมิได้ “เด็กผู้ชายคนหนึ่งแต่งเป็นหญิง ไม่ว่าคิดอย่างไรก็ไม่ใคร่ถูกต้องเท่าใดนัก”
“เจ้าสารเลว!” ซ่งชูอีหมุนไปรอบๆ แต่ก็หาสิ่งที่เหมาะมือไม่เจอ จึงก้มลงปั้นหิมะจากข้างทางเดินแล้วขว้างใส่เขา
เจ้าอี่โหลวไม่หลบ ทว่ากลับนั่งยองๆ ปั้นหิมะเป็นลูกกลมๆ แล้วโยนกลับไป
ซ่งชูอีเสียความรู้สึกไปชั่วขณะ บัดนี้นางก้าวเท้าไม่ได้เดินเหินไม่สะดวก อีกฝ่ายไม่เพียงขยับตัวได้อย่างคล่องแคล่วและมีกำลังมาก ทั้งยังสวมชุดเกราะอยู่ด้วย!
เพียงเริ่มต้นก็ท่าไม่ดีแล้ว! จำต้องเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว
“อี่โหลว พี่ใหญ่ยังรอพวกเราอยู่ วันนี้เป็นวันทำพิธีจี๋จีของข้า” ซ่งชูอีรีบเอ่ย
เจ้าอี่โหลวหยิบหิมะขึ้นมาหนึ่งกำมือ ขว้างไปที่นางจนเปื้อนเต็มตัว “จู่โจมข้าก็คิดที่จะเปลี่ยนหัวข้อ มีเรื่องเอาเปรียบเช่นนี้ที่ไหนกัน!”
ซ่งชูอีถอนหายใจยาว ตบๆ หิมะที่อยู่บนตัว “ข้าเรียกมันว่าหาเหาใส่หัว”
นางเพียงกำลังง่วนกับการปัดหิมะ ตัวก็เบาโหวงโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งตัวถูกอุ้มช้อนขึ้นมา
เจ้าอี่โหลวกลั้นหัวเราะ “จะพาเจ้าไปที่ลานด้านนอกห้องหนังสือ ถือเป็นการลงโทษ”
“แค่ก!” ซ่งชูอีเอื้อมมือกอดคอของเขา บ่นพึมพำว่า “เห็นได้ชัดว่าเพียงแต่เปลี่ยนเสื้อผ้า ทว่าความรู้สึกกลับแตกต่างเหลือเกิน!”
ความรู้สึกของเจ้าอี่โหลวก็แตกต่างเช่นกัน เมื่อก่อนเวลาที่เขาอุ้มนางเช่นนี้ เพียงรู้สึกว่าในอ้อมอกคือคนที่เขาชื่นชม ทว่าบัดนี้เขากำลังอุ้มผู้หญิงที่เขาชื่นชมจริงๆ ความแตกต่างอันลึกซึ้งนั้นยากที่จะอธิบายเป็นคำพูด
ลานด้านหน้าห้องหนังสือ ชูหลี่จี๋ได้จัดเรียงหมากรุกสำหรับตัวเองไว้แล้ว คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเริ่ม ทั้งสองคนก็กลับมาถึง
เขาประหลาดใจเป็นอย่างมาก หากผู้ชายทั่วไปเห็นฉากเมื่อครู่ จะต้องลุกขึ้นมาอัดเขาสักหมัดเป็นแน่ ทว่าเจ้าอี่โหลวไม่เพียงไม่ทำเช่นนั้น หลังจากที่จากไปด้วยความโกรธ เขาก็กลับมาพร้อมกับซ่งชูอีอย่างสงบในเวลาไม่ถึงครู่
“นั่งลงเถิด” ชูหลี่จี๋ไม่ถามมากอีก ส่งสัญญาณให้ซ่งฉู่อี้นั่งลงบนเบาะกลางห้อง
ซ่งชูอีถอดขนสุนัขจิ้งจอกออก นั่งคุกเข่าตัวตรง เจ้าอี่โหลวนั่งชมพิธีอยู่ด้านข้าง
หนิงยายกน้ำเข้ามา หลังจากชูหลี่จี๋ล้างมือเสร็จแล้วก็หยิบหวีขึ้นมาคลายเปียของซ่งชูอี หวีผมให้นาง “วันนี้ฤกษ์ดี กลายเป็นผู้ใหญ่ ทิ้งความอ่อนวัย เดิมตามคุณธรรม อายุยืนยาว เป็นลางมงคล”
ผมสีดำถูกเกล้าเป็นมวย ชูหลี่จี๋นำปิ่นเสียบเข้าไปในมวยผมนั้น
ขั้นตอนต่อไปควรจะเป็นการขอบคุณผู้เฒ่าผู้แก่ที่เลี้ยงดูและเอาใจใส่ อย่างไรก็ดีซ่งชูอีไม่มีพ่อแม่ ทำได้เพียงเปิดประตูแล้วคุกเข่าลงหันหน้าไปทางประตู “หวยจินสกุลซ่งคำนับ หนึ่งขอบคุณบุญคุณสวรรค์ที่ปกปักษ์รักษาและอวยพร สองขอบคุณพระคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงจนเติบใหญ่ สามขอบคุณอาจารย์ที่อุปภัมภ์หวยจินจนเป็นผู้ใหญ่ด้วยความเหนื่อยยาก”
พูดจบ ก็โค้งคำนับต่ำสามที
ครั้นกลับมายังที่นั่งแล้ว ชูหลี่จี๋ก็ปักปิ่นบนมวยผมนางเพิ่มอีกอันหนึ่ง “ฤกษ์ยามงามดี คล้ายได้เกิดใหม่ กตัญญูรู้คุณ รักษาจริยธรรม อายุยาวพันปี สงบสุขปลอดภัย”
จากนั้น ซ่งชูอีก็ไปที่ห้องด้านในเพื่อเปลี่ยนชุดเซินอี เซินอีชุดนี้ใช้วัสดุแบบเดียวกันกับชวีจวี เพียงแต่เป็นสีน้ำเงินเข้มทั้งตัว ดูเคร่งขรึมกว่ามาก
ซ่งชูอีไปคุกเข่าขอบคุณที่หน้าประตู “หวยจินสกุลซ่งคำนับสวรรค์ หนึ่งขอบคุณสวรรค์ที่ปกปักษ์รักษา สองขอบคุณบุญคุณอาจารย์ที่อบรมสั่งสอน”
พิธีจี๋จีนั้นไม่จำเป็นต้องขอบคุณสวรรค์ ทว่าซ่งชูอีกลับทำโดยไม่ตกหล่นสักครั้ง สำหรับนางแล้ว การที่สามารถมีชีวิตได้อีกครั้งล้วนเป็นพรที่สวรรค์ประทานให้ ไม่ขอบคุณไม่ได้
ชูหลี่จี๋ปักปิ่นเพิ่มให้นางอีกอัน “มงคลแห่งอายุ ลำดับแห่งเดือน ปักผมสามครั้ง เพื่อชีวิตนิรันดร์ รักษาคุณธรรม สวรรค์คุ้มครอง”
เปลี่ยนชุดเข้าพิธีอีกครั้ง แล้วคุกเข่าลงบนที่นั่ง
ชูหลี่จี๋เอ่ยว่า “นับจากวันนี้ไป จงทิ้งความเยาว์วัย ละเลยการเที่ยวเล่นในอนาคต สุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนและมีคุณธรรม”
“เจ้าค่ะ” ซ่งชูอีค้อมตัวรับคำ
“เสร็จพิธี” มีรอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าเคร่งขรึมของชูหลี่จี๋
ซ่งชูอีลูบๆ ผม เอ่ยอุทานว่า “พี่ใหญ่ ฝีมือในการเปลี่ยนทรงผมของท่านดีจริงๆ!”
ชูหลี่จี๋หัวเราะ ที่ลานด้านหลังของเขาก็มีนางสนมสองคน หลังจากผลัดกันหวีผมให้พวกนางเป็นเวลาครึ่งปี เขาจะไม่มีฝีมือได้อย่างไร?
“บัดนี้พิธีเสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะกลับจวนก่อน” ชูหลี่จี๋เอ่ย
ซ่งชูอีกล่าวว่า “พี่ใหญ่งานยุ่ง แม้ว่าหิมะตกหนัก น้องชาย…น้องสาวก็มิกล้ารั้งท่านไว้นาน ไว้ข้าจะจัดงานเลี้ยงขอบคุณพี่ชายอย่างดีแน่นอน!”
“เยี่ยม!” ชูหลี่จี๋กล่าวกับเจ้าอี่โหลว “ท่านแม่ทัพเจ้า ข้าขอตัวก่อน”
เจ้าอี่โหลวประสานมือคำนับกลับ
ด้านนอกหิมะหนักโปรยปราย ลมเหนือส่งเสียงหวีดหวิว
ในตำหนักหลังหนึ่งแห่งพระราชวังเสียนหยาง
เด็กสาวคนหนึ่งกำลังดื่มสุราอยู่หน้าเตาไฟเพียงลำพัง รอยยิ้มขมขื่นปรากฏอยู่บนใบหน้าอันงดงาม
นางลุกขึ้นตัวโงนเงน ประคองกรอบประตูไว้ ชูขวดสุราขึ้นไปในท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยหิมะพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น “ความภักดีจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้!”