กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 317 กั๋วเว่ยช่างโหดร้ายนัก
ตอนที่เกิดเหตุการณ์วุ่นวายในสำนักม่อเมื่อสามปีก่อน เจ้าอี่โหลวเพียงคิดถึงความปลอดภัยของอาจารย์เขาและในเวลานั้นซ่งชูอีก็ไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือ
เมื่อซ่งชูอีเห็นว่าเขาเข้าใจแล้วก็เอ่ยว่า “ครั้งก่อนข้าไม่สะดวกที่จะเข้าไปแทรกแซง ข้าไม่สามารถเป็นปรปักษ์กับฝ่าบาทได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้าได้คาดการณ์ขนาดของความวุ่นวายไว้แล้ว อาจารย์ของเจ้ามิใช่บุคคลธรรมดา หากต้องพ่ายแพ้จริงๆ ก็นับว่าเป็นบัญชาสวรรค์! ฉะนั้นข้าจึงรอช่วงเวลานี้มานานแล้ว ครั้งนี้ข้าไม่เพียงสามารถช่วยอาจารย์ของเจ้าได้ ทั้งยังสามารถช่วยกองกำลังในมือของนางได้ด้วย เพียงแต่ข้าอาจจะไม่ซื่อสัตย์ต่ออาจารย์ของเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่โทษข้า?”
เนื่องจากซ่งชูอีใส่ใจกับความรู้สึกของเขา คิ้วตาของเจ้าอี่โหลวจึงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม จะคิดโทษนางได้อย่างไร “ทุกคนมีชีวิตของตัวเอง อาจารย์จะมีความทะเยอทะยานใดข้าไม่สน เพียงแต่ด้วยความเป็นศิษย์อาจารย์ หากนางประสบกับอันตราย จะให้ข้ายืนดูเฉยๆ ได้อย่างไร?”
“เช่นนั้นก็จงรอข่าวดีจากข้า!” ซ่งชูอีต้องการได้ยินเพียงประโยคนี้
เจ้าอี่โหลวตามนางไป “บัดนี้ฟ้ามืดแล้ว ข้าไปส่งเจ้าเถิด”
เสียนหยางในตอนกลางคืนรกร้างไร้ผู้คน สายลมพัดเย็น ทั้งสองคนขี่ม้าไปอย่างช้าๆ เพลิดเพลินกับความสงบชั่วคราวนี้
จวนของกั๋วเว่ยตั้งอยู่ไม่ไกลจากนครเสียนหยาง เจ้าอี่โหลวมองดูซ่งชูอีเข้าพระราชวังไปจากนั้นก็กลับไปตามลำพัง
แสงไฟบนหอคอยส่องสว่างทุกคืนเป็นเวลาสามปี
ซ่งชูอีรออยู่ที่หน้าประตู อาศัยแสงจันทร์มองดูหอคอยที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นการบูรหนาแน่นนี้อย่างถี่ถ้วน มันเป็นสถานที่ที่เงียบสงบและหายากในพระราชวังแห่งนี้ ต้นการบูรมีกลิ่นหอมจางๆ ดวงจันทร์คล้อยต่ำเล็กน้อย มีเสียงกรอบแกรบในสายลมเย็น
“กั๋วเว่ยเชิญ” ขันทีเถาเปิดประตู มองเข้าไปในห้องแล้วเอ่ยกับซ่งชูอีเสียงเบา “หลายวันนี้สุขภาพฝ่าบาทไม่ใคร่ดี อารมณ์ก็ไม่มีความสุขนัก หากกั๋วเว่ยสามารถพูดได้ก็ช่วยเกลี้ยกล่อมหน่อยเถิด”
“เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งชูอีถามเสียงต่ำ
“วังหลังมีคนก่อเรื่องเป็นประจำ หลายวันก่อนฝ่าบาทก็ขับไล่สิบกว่าคนออกไปจากวัง ทั้งยังรับสั่งว่าหากผู้ใดต้องการจะออกไป เพียงแค่ไปแจ้งกับฮูหยินอวิ๋นก็พอ ลำพังสองวันนี้ก็จากไปสามสิบกว่าคนแล้ว วังหลังว่างไปเกือบครึ่ง” ขันทีเถาเอ่ย
เรื่องนี้เคยถูกขุนนางเกลี้ยกล่อมในระหว่างการประชุมราชสำนักแล้ว ทว่ากลับไร้ผล
ซ่งชูอีพยักหน้า สวมชุดแล้วเดินเข้าไปในห้อง ตามขันทีเถาขึ้นบันไดไม้โอ่อ่าไปยังชั้นสาม
กลิ่นหอมของไม้ไผ่ในอาคารปะปนกับกลิ่นหอมจางๆ ของดอกบ๊วย
อิ๋งซื่อสวมชุดไหมแขนกว้างสีดำสง่างาม ผมสีดำถูกปล่อยอยู่บนบ่าครึ่งหนึ่ง กำลังพิงพักผ่อนอยู่บนที่พักแขนโดยใช้มือข้างหนึ่งเท้าศีรษะ มีท่าทางเกียจคร้านที่ไม่อาจบรรยายได้ เพียงแต่คิ้วรูปดาบบนใบหน้าบึ้งตึงนั้นขมวดกันแน่น ริมฝีปากบางๆ เม้มกันเล็กน้อย ทำลายความรู้สึกเกียจคร้านโดยสิ้นเชิง
เสียงฝีเท้าที่ย่ำอยู่บนพื้นนั้นไม่เบาเลย ทว่ากลับไม่ทำให้เขาเคลื่อนไหว
ขันทีเถาเดินเข้าไปใกล้ “ฝ่าบาท กั๋วเว่ยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ผ่านไปสักพัก อิ๋งซื่อจึงลืมตาขึ้น
“ถวายบังคมฝ่าบาท” ซ่งชูอีคำนับ
“ไม่ต้องมากพิธี” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อแหบแห้ง
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าดวงตาสง่างามของเขาแดงก่ำ มีเม็ดเหงื่อละเอียดซึมอยู่บนขมับทั้งสองข้าง ทันใดนั้นจึงนึกขึ้นมาได้ว่าท่าทางของเขาเมื่อครู่ไม่เหมือนกำลังนอนหลับ แต่กำลังอดทนต่ออะไรบางอย่าง จึงรีบเอ่ยขึ้น “พระวรกายของฝ่าบาทไม่ดีหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“โรคเก่าน่ะ นั่งเถิด” อิ๋งซื่อเอ่ยอย่างเฉยเมย
ซ่งชูอีเห็นว่าเขาไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องนี้จึงไม่ได้ถามอีก “กระหม่อมเข้ามากลางดึก ด้วยเรื่องของสำนักม่อพ่ะย่ะค่ะ”
อิ๋งซื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับส่งสัญญาณให้นางพูดต่อ
เมื่อซ่งชูอีเห็นสีหน้าของอิ๋งซื่อก็รู้ว่าเขาเดาจุดประสงค์การมาของนางออกแล้ว จึงกล่าวไปตามตรง “บัดนี้สองสำนักม่อต่อสู้กัน สูญเสียพลังงานไปมากจึงไม่สามารถทำงานเพื่อฉินได้อย่างตั้งใจ สันนิษฐานว่าความช่วยเหลือที่สามารถให้กับเราได้ในอนาคตจะมีจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น ฝ่าบาทก็น่าจะทราบดีว่า ผู้ที่มีทักษะเครื่องกลดีที่สุดในสำนักม่อมิใช่จวี้จื่อทว่าเป็น
เสียนจื่อ หากฝ่าบาทสนับสนุนชวีกู้แน่นอนว่าจะต้องทำผิดต่อเสียนจื่อ และจะเป็นผลเสียต่อต้าฉินเรา”
“อืม” อิ๋งซื่อกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้เช่นกัน รัฐฉินไม่ต้องการแนวคิดของสำนักม่อแต่ให้ความสำคัญกับ “ศิลปะ” ของมัน และ “ศิลปะ” ของสำนักม่อนั้นมีมากมาย หนึ่งในนั้นสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่สุดสำหรับการต่อสู้คือศิลปะกลไก “อย่างไรก็ตามเสียนจื่อปฏิบัติตามกฎของสำนักม่อมาโดยตลอด แม้ว่าบัดนี้รัฐฉินจะยื่นมือช่วยเหลือนาง ทว่านางก็อาจไม่รู้สึกซาบซึ้ง”
สำนักม่อก็คือสำนักม่อแห่งใต้หล้า เป็นสำนักม่อที่ให้ความสำคัญกับสัจพจน์เท่านั้นและไม่พูดถึงความรู้สึกส่วนตัว
ซ่งชูอีเอ่ย “เรื่องนี้มันแน่นอนอยู่แล้ว หากพวกเรายื่นมือเข้าช่วยนาง บางทีอาจจะสามารถแลกเปลี่ยนศิลปะทางกลไกที่มีประโยชน์หนึ่งหรือสองอย่าง “”
“นี่เจ้าจะบอกให้ข้าละทิ้งสำนักของจวี้จื่อ?” อิ๋งซื่อเลิกคิ้ว
เป็นไปไม่ได้ที่ฉู่เจาเสี่ยนจะมอบศิลปะกลไกลับของสำนักม่อ ทว่าหากจะมีวิธีที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่กองทัพเพียงหนึ่งหรือสองวิธีก็สามารถเพิ่มพลังรบของกองทัพฉินได้แล้ว ซึ่งดูน่าดึงดูดเป็นอย่างมาก เพียงแต่อิ๋งซื่อกำลังจะชี้ว่าไม่แน่ว่าอาจจะสามารถหลอกเอาสิ่งของเหล่านี้มาจากชวีกู้ก็ได้
“จะละทิ้งได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!” ซ่งชูอีเอ่ย “ได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมเข้าไปอธิบายใกล้ๆ”
“ได้” อิ๋งซื่อกล่าว
ซ่งชูอีเข้าไปคุกเข่าลงข้างอิ๋งซื่อ โน้มตัวเล่าถึงแผนของตนให้เขาฟัง
……
อิ๋งซื่อก้มหน้าฟังจนจบ มุมปากยกยิ้มเล็กน้อย “กั๋วเว่ยช่างโหดร้ายนัก”
ซ่งชูอีทำสีหน้าบึ้งตึง “ฝ่าบาทใส่ร้ายกระหม่อมแล้ว กระหม่อมก็ทำเพื่อต้าฉินมิใช่หรือ!”
“ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทว่ากลับคิดวิธีเช่นนี้มิได้ เพราะเหตุเล่า? นิสัยอย่างไรล่ะ!” อิ๋งซื่อหัวเราะเอ่ย “ยังจะเล่นลิ้นอีกรึ?”
ขันทีเถาที่อยู่ด้านข้างก็พลอยผ่อนคลายลงไปด้วย กดดันมาหลายวัน แม้แต่เขาเองก็รู้สึกว่าตนเองก็แก่ลงไปหลายปีในชั่วพริบตา
ซ่งชูอีพยักหน้าหงึกหงัก “ดังนั้นจึงบอกว่าพวกเขาเป็นนักปราชญ์ มีเพียงกระหม่อมงี่เง่า ดันมาเป็นคนชั่ว”
นัยยะที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น สาเหตุที่ท่านมหาเสนาบดีทั้งสองไม่ได้พูดไม่ได้หมายความว่าคิดไม่ออก ทว่าเป็นเพราะพวกเขาฉลาดพอที่จะไม่เป็นคนชั่ว
อิ๋งซื่อแสร้งทำเป็นเข้าใจ “เป็นเพราะกั๋วเว่ยจงรักภักดีต่อฉิน ทั้งสองคนนั้นเพราะเป็นห่วงแต่ตัวเองจึงไม่คิดแทนต้าฉิน จะต้องถูกลงโทษ!”
พูดไปพูดมาก็ยังไม่ได้ปีนออกจากหลุมนี้เสียที ซ่งชูอีรีบประสานมือขอความเมตตา “เพราะกระหม่อมปากพล่อย ได้โปรดฝ่าบาทปล่อยกระหม่อมไปเถิด”
“กั๋วเว่ยถ่อมตัวเกินไปแล้ว” อิ๋งซื่อกล่าว
ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขาดีขึ้นมาเล็กน้อย ก็ฉวยโอกาสนี้เอ่ยว่า “ระยะหลังนี้วังหลังมีเรื่องกวนใจฝ่าบาทหรือ?”
อิ๋งซื่อกล่าว “เรื่องเล็กน้อย มีอะไรน่ากวนใจกัน”
“เช่นนั้น…ฝ่าบาทปล่อยเด็กสาวในวังหลังออกมาจนหมด…” ซ่งชูอีลังเลว่าควรจะโน้มน้าวหรือไม่
อิ๋งซื่อลุกขึ้นและเดินไปที่ราว น้ำเสียงเจือปนด้วยความเยือกเย็นยามราตรี “บัดนี้ก็มีรัชทายาทแล้ว ถ้ายังไม่พอให้หมี่ปาจื่อคลอดอีกสักสองสามคน เด็กสาวเหล่านั้นนอกจากเสียเวลาทั้งชีวิตอยู่ในวังหลังแล้ว วันๆ ก็เอาแต่ก่อเรื่อง สู้ปล่อยพวกนางออกเรือนเพื่อให้กำเนิดเด็กผู้ชายแก่ต้าฉินอีกหลายๆ คนไม่ดีกว่ารึ”
ซ่งชูอีได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าฝ่าบาทปล่อยสาวงามทั้งหมดออกจากวังหลังเพราะโปรดปรานหมี่ปาจื่อ “ฝ่าบาททรงโปรดหมี่ปาจื่อมากหรือ?”
“โปรดรึ?” อิ๋งซื่อหันมองนาง ใบหน้าหล่อเหลาถูกซ่อนอยู่ในเงามืดครึ่งหนึ่ง มองเห็นสีหน้าไม่ชัดเจน ดูเหมือนจะมีความเยาะเย้ยเล็กน้อยในน้ำเสียงที่เยือกเย็น “กว่าเหรินไม่รู้ว่ามันคืออะไร”
หมี่ปาจื่อเข้าวังมาสามปีแล้ว หากไม่ใช่เพราะแวะไปหาโอรสครั้งหนึ่งเมื่อสองเดือนก่อนแล้วพบเข้าโดยบังเอิญ เขาก็คงลืมไปแล้วว่ายังมีผู้หญิงคนนี้อยู่ วังหลังมีผู้หญิงมากมายเหลือเกิน เขาเพียงเห็นว่าหน้าตาของหมี่ปาจื่อน่าพึงพอใจ ในสองเดือนที่ผ่านมานางก็วางตัวได้ดี เวลาที่ควรแสดงตนก็ไม่เคยพลาดโอกาสเลยสักครั้ง โดยปกติแล้วนางจะเป็นเหมือนภาพวาดที่แขวนอยู่ในพระราชวัง เงียบสงบแต่ก็สามารถประดับประดาทิวทัศน์ได้
ทำไมอิ๋งซื่อจะไม่รู้ว่าหมี่ปาจื่อกำลังทำในสิ่งที่เขาชอบ ทว่าหากต้องมีผู้หญิงเป็นเครื่องประดับอยู่ในวังหลัง แน่นอนว่านางก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ซ่งชูอีไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อไปดี เหลือบสายตามองขันทีเถาแวบหนึ่ง เป็นการบอกว่าตนได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว
ภายในอาคารเงียบลง ซ่งชูอีลุกขึ้นเดินไปหาอิ๋งซื่อ ยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ไกลและมองออกไป ภาพที่ปรากฏสู่สายตานั้นกว้างใหญ่ ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มในระยะไกลสะท้อนให้เห็นอาคารบ้านเรือนของนครเสียนหยาง ดวงดาวห้อยต่ำลงมาลงมาราวกับว่ากำลังตกลงไปในอาคารขนาดใหญ่เหล่านั้น
อาคารหนึ่งในนั้นที่อยู่ใกล้ที่สุดคืออาคารสูง มุมหลังคาเหินขึ้น ซ่งชูอียิ่งมองก็ยิ่งคุ้นเคย “เอ๋? ฝ่าบาท จากตรงนี้สามารถมองเห็นห้องใต้หลังคาของจวนกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
มือของอิ๋งซื่อจับราวแน่น ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อโน้มตัวชิดราวจับและมองออกไปอย่างระมัดระวัง “เห็นได้อย่างชัดเจนเหลือเกิน หากเป็นเวลากลางวันก็สามารถมองเห็นคนข้างในได้เชียว!”