กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 325 ความมืดมนไม่สิ้นสุด
เห็นได้ชัดว่าตู้เหิงดูไม่สดใสเหมือนก่อนหน้านี้ เขาอยู่ที่นี่มาหกวันแล้ว เขาสามารถเข้าใกล้ช่องระบายอากาศเพื่อดูแสงอาทิตย์ได้ทุกวัน แม้จะเป็นเช่นนี้เขาก็ยังรู้สึกหดหู่จนแทบคลั่ง ทว่าซ่งชูอีกลับไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์ด้วยซ้ำ เขาจึงคาดการณ์ว่าบัดนี้น่าจะได้เวลาแล้ว
เมื่อซ่งชูอีเห็นตู้เหิง จิตวิญญาณที่เฉื่อยชาได้รับการฟื้นฟูทันใด นางส่งเสียงฮึดฮัดลงมาจากเตียง เอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง “ท่านมาแล้วรึ? ท่านดูท่านสิอยู่ที่นี่ก็เบื่อจะแย่ พวกเรามาคุยเป็นเพื่อนกันเถิด”
ตู้เหิงสำลักอยู่ในลำคอ ยืนอยู่ที่หน้าประตูครู่หนึ่งก่อนนั่งลงบนเตียง “ซ่งจื่อต้องการจะคุยอะไร?”
“หลายวันนี้ข้าพิจารณาดูแล้ว” ซ่งชูอีนั่งลงตรงข้ามเขา เอ่ยว่า “ท่านคงทำงานให้รัฐเว่ยกระมัง? ท่านเป็นผู้ที่รักบ้านเมืองเหลือเกินนะ กำลังวางแผนที่จะฝังตัวเองอยู่ที่นี่ไปกับจวินองค์ก่อนพร้อมข้ารึ”
คำพูดนี้เผยข้อมูลออกมามากมาย ตัวอย่างเช่นภูมิหลังของเขา แผนของเขาและสถานที่แห่งนี้
ตู้เหิงอดที่จะอุทานชมนางมิได้ “ซ่งจื่อฉลาดตามคาดจริงๆ ว่าแต่ซ่งจื่อรู้ได้อย่างไร?”
ตู้เหิงไม่คิดที่จะปิดบังว่าที่นี่คือสุสานจักรพรรดิและก็ปิดบังไม่มิดด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจเลยสักนิดที่ซ่งชูอีทายถูก ทว่าซ่งชูอีสามารถทายเรื่องอื่นออกได้อย่างไรกัน?
“ข้าถึงได้กล่าวว่าสมองของท่านไม่ดีพอ ทั้งหมดถูกจัดวางไว้อย่างเด่นชัดแล้วไม่จำเป็นต้องไตร่ตรองด้วยซ้ำ” ซ่งชูอีไม่สนใจความภาคภูมิใจในตนเองของตู้เหิงเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังโน้มตัวไปข้างหน้า “อย่าพูดถึงเรื่องสุสานจักรพรรดิเลย ข้ามิใช่คนตาบอด สามารถมองออกได้ ยิ่งไปกว่านั้นการที่ท่านกระทำสิ่งที่น่ารังเกียจเช่นนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะตายด้วยกันหรอกหรือ? ส่วนเรื่องที่ท่านมาจากรัฐเว่ยนั้นเป็นการคาดเดาอันยอดเยี่ยมของข้าเอง”
“อ๋อ?” ตู้เหิงมีท่าทีค่อนข้างสนใจ
ซ่งชูอีเอ่ย “บัดนั้นในรัฐเว่ย์ หมิ่นฉือลงมือทำร้ายข้า เขาน่าจะยังไม่มีอำนาจใดๆ ในตอนนั้น หากไม่มีใครช่วยอย่างลับๆ ข่าวลือจะปั่นป่วนภายในเวลาอันสั้นได้อย่างไร? ได้ยินมาว่าหมินฉือสนิทกับพ่อค้าใหญ่หลายคนตอนที่เขาอยู่ในรัฐเว่ย์ หนึ่งในนั้นก็คือท่านกระมัง? ท่านเป็นชาวเว่ย อีกทั้งยังเป็นเจ้าของชมรมป๋ออี้ที่ใหญ่ที่สุดในรัฐเว่ย์ ไม่ใช่คนที่น่าสงสัยที่สุดหรอกหรือ?”
“ซ่งจื่อพยากรณ์ได้ถูกต้องจากการสังเกตเพียงบางส่วน ช่างน่าเลื่อมใสนัก” ตู้เหิงหัวเราะน้อยๆ พร้อมเอ่ย “สามารถถูกฝังอยู่ที่นี่ไปพร้อมกับคนเยี่ยงซ่งจื่อได้ นับเป็นวาสนาของข้า”
ซ่งชูอีเดาออกนานแล้ว เขากระทำการทุกอย่างโดยไม่เหลือทางเลือกสำรองไว้ เกรงว่าคงเตรียมใจที่จะตายอยู่แล้ว แม้ว่านางจะบอกตำแหน่งของกองทัพใหม่จริงๆ ก็เกรงว่าเขาก็คงไม่ปล่อยให้คำพูดของนางแพร่งพรายออกไป
เมื่อนึกถึงตรงนี้ซ่งชูอีก็ตกตะลึง ตู้เหิงควรที่จะซ่อนความมุ่งมั่นที่จะตายเอาไว้ต่างหากแล้วรอโอกาสที่ดีเพื่อหลอกเอาความลับโดยไม่เปิดเผยจุดประสงค์ของตัวเองออกมา ทว่าเขากลับกล่าวออกมาอย่างหมดเปลือกเช่นนี้ จะต้องมีเจตนาที่จะสังหารนางอยู่แล้ว
ตู้เหิงเห็นว่านางดูเหมือนจะตระหนักได้ “เมื่อข้าเห็นการแสดงออกของซ่งจื่อในวันนี้ก็รู้ว่าความคิดและความมุ่งมั่นของซ่งจื่อนั้นไม่สามัญ ไม่ว่าข้าจะใช้วิธีใดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะงัดเอาความจริงออกจากปากของท่าน ดังนั้นท่านขุนนางกองทัพแห่งรัฐฉินก็จงนอนด้วยกันกับข้าที่นี่เถิด”
เพียงชั่วพริบตาเดียวมีความคิดมากมายวูบเข้ามาในสมอง สีหน้าของซ่งชูอีมืดมนลง
“ข้าแซ่ตู้ตายไปไม่เสียดาย เสียดายแต่เพียงความฉลาดอันน่าทึ่งของซ่งจื่อ ซึ่งเป็นความขัดแย้งในใจข้า!” ตู้เหิงทอดถอนหายใจยาว
ซ่งชูอีจ้องเขา “ท่านคิดจะลงมือเมื่อใด”
ตู้เหิงหัวเราะเอ่ย “ข้าใช้เวลาครึ่งปีในการเจาะรูระบายอากาศรอบสุสาน ขอเพียงแค่ช่องระบายอากาศยุบตัว ท่านกับข้าก็จะขาดอากาศตายอยู่ที่นี่ในไม่ช้า”
สำหรับคนที่ไม่ต้องการอะไรนอกจากความตายนั้น ไม่ว่าคารมจะคมคายหรือเต็มไปด้วยแผนการเพียงใดก็ไร้ผล
ซ่งชูอีทอดถอนใจ หรือว่านางจะต้องถูกฝังไปพร้อมกับเซี่ยวกงจริงๆ?
“ความทะเยอทะยานยังไม่ประสบความสำเร็จ น่าเสียดายนัก!” นี่ก็เท่ากับว่าเห็นด้วยกับคำพูดของตู้เหิงแล้ว นางพิงอยู่บนโต๊ะ สอดมือไว้ในแขนเสื้อ ท่าทางเหมือนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป “ท่านก็นับว่าอิสระเสรี มีความมั่งคั่งมหาศาล โลกที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา แต่กลับทำใจตัดขาดจากมันได้ การได้ถูกฝังกับท่านก็ไม่นับว่าเป็นการดูแคลนข้าแซ่ซ่งเลย”
“ซ่งจื่อต่างหากที่อิสระเสรีอย่างแท้จริง” ตู้เหิงรู้สึกประทับใจโดยแท้ที่นางไม่แยแสเลย นางเต็มไปด้วยความสามารถและมาถึงจุดสูงสุดในชีวิตแล้วครึ่งหนึ่ง ตอนนี้รู้ว่าตนกำลังจะตายอยู่ที่นี่แต่กลับเพียงแค่ถอนหายใจอย่างเรียบเฉย…น่าเสียดายนัก!
“ปล่อยไปตามวิถีแห่งสวรรค์ เข้าใจการสิ้นสุดของชะตากรรม ยอมรับเหตุผลในความเป็นไป ก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล!” ซ่งชูอียิ้มเอ่ย “ผู้คนล้วนอิจฉาความอิสระเสรีแห่งสำนักเต๋าของข้า เมื่อเห็นว่าเป็นสิ่งที่ดี ข้าจะปล่อยปละละเลยได้อย่างไร? อีกทั้ง การได้นอนเคียงข้างวีรบุรุษแห่งยุค ก็ถือเป็นการดำเนินชีวิตตามความทะเยอทะยานของข้าเช่นกัน”
“เยี่ยม” ตู้เหิงลุกขึ้นยืน กล่าวกับทหารรักษาการณ์นอกประตู “ทหาร เอาตะเกียงของกั๋วเว่ยออกไป”
“ช้าก่อน” ซ่งชูอีเอ่ย “หากท่านตั้งใจจะกักขังข้าให้ตาย เช่นนั้นก็ให้ข้าออกไปเดินเล่นเป็นครั้งสุดท้ายเถิด”
ตู้เหิงหยุดและลังเลอยู่นาน ทว่าก็ยังพยักหน้า “แค่ในท้องพระโรงหลักเท่านั้น”
“ได้” ซ่งชูอีลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ตามเขาออกไป
เมื่อเดาออกว่าตู้เหิงเป็นสายสืบแห่งรัฐเว่ย ซ่งชูอีก็สามารถเดาได้ว่าไม่ว่าจะบอกความลับของรัฐฉินหรือไม่ เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้นางมีชีวิตรอดออกไปได้ และสิ่งที่ตู้เหิงทำไปทั้งหมดในตอนนี้ก็เพียงเพื่อทำลายอุปสรรคในใจของนาง เพราะว่าคนที่มีความตั้งใจและวางแผนอย่างรอบคอบเช่นเขา หากไม่ได้มีความหวังที่จะล้วงความลับใดจริงๆ ก็คงฆ่านางปิดปากไปแล้วกระมัง!
ซ่งชูอีเปลี่ยนใจ นางเดินไปที่เสาหินทั้งสองด้านของห้องโถงอย่างเงียบๆ เงยหน้ามองเสา ยกมือเพื่อเลิกผ้าม่านออก
ภายในห้องโถงเหมือนกับพระราชวังเสียนหยางไม่มีผิดเพี้ยน ด้านบนมีโต๊ะหินตัวหนึ่งที่มีกองเอกสารไผ่จำนวนมากวางซ้อนกันบนนั้น รูปแกะสลักของสัตว์ร้ายในตำนานขนาดมหึมาด้านหลังพระที่นั่งสูงยังคงดูทรงพลัง แต่แสงไฟในโคมไฟหยกห้าขาสองข้างส่องแสงเพียงจางๆ มีความมืดมนเล็กน้อยท่ามกลางความน่าเกรงขามและสง่างามนั้น
โคมไฟหยกห้าขานี้สูงเจ็ดฉื่อ ตัวพานชือ[1]ขดตัวขึ้นด้านบน มีไฟอยู่ในปาก ไฟนั้นไม่ใช่สีเหลืองส้มธรรมดาแต่เรืองแสงเย็นจางๆ หากมองจากที่ไกลๆ เกล็ดบนร่างของตัวพานชือขยับเล็กน้อย ระยิบระยับดุจดวงดาวบนท้องฟ้า
แม้แต่ภายในพระราชวังเสียนหยางของจริงก็ไม่มีรูปแบบเช่นนี้!
ตู้เหิงกล่าวว่า “นี่คือตะเกียงที่ฉินอ๋องขอให้คนสร้างขึ้นทั้งวันและคืนในขณะที่ปิดสุสาน ข้างในคือไขมันปลาฉลามจากทะเลใต้ แสงไฟสามารถส่องสว่างถึงหมื่นปี”
ซ่งชูอีหันมาเห็นสีหน้าของเขาหดหู่ แสงเย็นจางๆ สะท้อนในดวงตาที่สดใส คนทั้งคนก็ยิ่งเย็นชาลงทุกที
อิ๋งซื่อทุ่มเททั้งกายและใจเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเคารพบิดาของตัวเองมากเพียงใด
“ท่านรู้ไม่น้อยทีเดียว” ซ่งชูอีเอ่ย
ตู้เหิงยิ้มเยาะเย้ย “ซ่งจื่อลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีอาชีพอะไร? ใต้หล้านี้มีเพียงสิ่งที่ข้าไม่ต้องการรู้ ไม่มีสิ่งที่ข้าไม่สามารถรู้ได้”
“ข้าเชื่อ” หากไม่ใช่เพราะความสามารถนี้ เขาจะสามารถลักพาตัวนางออกมาจากเสียนหยางได้อย่างไร อีกทั้งจะสามารถเข้ามาในสุสานของเซี่ยวกงอย่างง่ายดายได้อย่างไร? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ามีกองทัพขนาดใหญ่ประจำการอยู่รอบๆ สุสาน แม้แต่ทางเข้าและรูปแบบของสุสานก็เป็นความลับเช่นกัน
ตู้เหิงพูดต่อ “รัฐฉินสนับสนุนการฝังศพแบบเรียบง่าย สุสานมิได้ถูกสร้างขึ้นอย่างปราณีต ไม่แสวงหาความหรูหรา แต่ติดอยู่กับโครงสร้าง มาตราส่วนของสุสานแห่งนี้ด้อยกว่าของอ๋องแห่งฉี ฉู่และเว่ยมาก อย่างไรก็ตามเค้าโครงดังกล่าวเป็นการออกแบบร่วมกันของจวี้จื่อแห่งสำนักม่อรุ่นก่อนและลูกหลานของกงซูปัน[2] หากไม่รู้ข้อมูลสำคัญก็จะไม่มีวันออกไปได้”
สำนักม่อชื่นชมพระมหากษัตริย์เช่นเซี่ยวกง จึงเป็นเรื่องธรรมเที่จะออกแบบหลุมฝังศพที่แยบยลและไม่สิ้นเปลืองเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพ
พวกเขาดูเหมือนคุยสัพเพเหระทั่วไป ทว่าในคำถามของซ่งชูอีล้วนเป็นไปด้วยการสืบสาวราวเรื่อง ส่วนตู้เหิงก็พยายามอย่างเต็มที่ในการโจมตีเจตจำนงของซ่งชูอีในทุกประโยค
ระหว่างการต่อสู้ลับนี้ ก็ต้องดูว่าใครฉลาดกว่าและสติปัญญาของใครจะมั่นคงมากกว่ากัน เห็นได้ชัดว่าตู้เหิงสู้ซ่งชูอีไม่ได้ในทั้งสองแง่ ทว่าเขาอยู่ในตำแหน่งที่ยับยั้งชั่งใจได้มากกว่าซึ่งทำให้เขานำหน้าไปก้าวหนึ่งในจุดนี้
“ท่านสามารถหาแผนที่สุสานได้ด้วยรึ?” ซ่งชูอีรู้สึกชื่นชมเขาขึ้นมาเล็กน้อยจริงๆ
“ผู้คนใต้หล้าที่พลุกพล่านล้วนอยู่ด้วยผลประโยชน์” ตู้เหิงกล่าวเยาะเย้ย “คุณธรรมและความดีอะไรนั่นขึ้นอยู่ว่าท่านให้ได้มากพอหรือไม่”
วาจานี้คือความผิดใหญ่หลวงเมื่อร้อยปีก่อน ทว่ากลับเป็นเหตุผลที่แน่นอนในตอนนี้
คนที่เต็มใจตายเพราะรอยเปื้อนแห่งคุณธรรมมีน้อยลงทุกที
“ที่ท่านกล่าวก็มิได้ถูกต้องทั้งหมด” ซ่งชูอีเดินไปมาอยู่ภายในห้อง เสียงที่ไม่ดังมากของนางดังก้องอยู่ในห้องโถง มันผ่อนคลายทว่ามีความแน่วแน่ “ผู้คนเหล่านั้นที่ถูกล่อลวงด้วยความมั่งคั่งไม่ได้ละทิ้งคุณธรรม แต่เป็นเพียงเพราะพวกเขาไม่เชื่อมั่นในตัวเองมากพอ”
คนที่มั่นใจอย่างแท้จริงจะรู้สึกว่าความสามารถของตนเองตอบสนองความต้องการตามธรรมชาติในแง่ของความหรูหราและความสะดวกสบายได้อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สมัครใจที่จะทรยศต่อคุณธรรมของพวกเขา มีเพียงความมั่นใจในตัวเองและความหยิ่งยโสเช่นนี้เท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติในการเฉิดฉายผ่านพงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์
“ผู้ที่มีความทะเยอะทะยานมีชื่อเสียงและผลประโยชน์หลากหลาย ความมั่งคั่งนั้นน่าหวั่นไหว หลายๆ คนที่มีผลงานโดดเด่นนับตั้งแต่สมัยโบราณจวบจนปัจจบันก็ชอบความหรูหราเช่นกัน ทว่าในบรรดาพวกเขาจะมีกี่คนที่ยอมจำนนต่อการล่อลวง?” ซ่งชูอีหันมองเขา
ตู้เหิงพยักหน้าเห็นด้วย จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ซ่งจื่อก็ออกมาเดินเล่นนานแล้ว”
“อืม” ซ่งชูอีหมุนตัวเดินไปยังที่นั่งหลัก จัดแจงเสื้อผ้าและผมเผ้า สะบัดแขนเสื้อ แล้วคำนับต่ำด้วยความเคารพ
จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องเล็กห้องนั้นโดยไม่หันกลับมามอง
ตู้เหิงมองดูแผ่นหลังอิสระเสรีของนาง สีหน้าสลับซับซ้อน เขาทำการค้ามานานหลายปี ได้เห็นทัศนคติของผู้คนมากมายเหลือเกิน ดังนั้นทุกครั้งที่ได้พบคนที่เห็นคุณค่าทั้งความสามารถและคุณธรรมก็ยากที่จะซ่อนความปิติในใจ ทั้งยังปฏิบัติต่อด้วยความเอื้อเฟื้อยิ่งขึ้น ซ่งชูอีล้มเหลวในสถานะผู้หญิงอย่างแท้จริง ทว่าในสถานะของกุนซือ แม้จะมีส่วนที่ไม่น่าชื่นชอบอยู่บ้าง ทว่าจุดแข็งกลับกลบเกลื่อนจุดด้อยจนสิ้น
บัดนี้เขาต้องลงมือสังหารนางด้วยตัวเอง ในใจก็ยิ่งหดหู่มากขึ้น
ทว่า…รัฐเว่ยมีผู้คนรวมถึงสิ่งที่เขาหวงแหนและคิดถึงมากเกินไป ดังนั้นเพื่อมาตุภูมิแล้ว เขาสามารถทิ้งภาระในใจได้ทั้งหมด
“ซ่งหวยจิน”
ภายในห้องโถง เสียงพึมพำของตู้เหิงที่ดังก้องนั้นเจือปนไปด้วยความรู้สึกผิดและความเด็ดขาด
ครั้นกลับเข้าไปในห้องเล็กๆ อีกครั้ง ตะเกียงน้ำมันก็ถูกถอดออกแล้ว ตู้เหิงสั่งให้คนปิดหน้าต่างฉลุลายบุปผาด้วยม่านหนา แสงตะเกียงสองดวงที่เล็ดลอดมาจากห้องโถงใหญ่นั้นก็ถูกบดบังเช่นกัน ภายในห้องมืดสนิทจนไม่เห็นกระทั่งห้านิ้วของตัวเอง แม้แต่อากาศก็น้อยอย่างน่าเวทนา
อากาศภายในสุสานหนาวเย็นผิดปกติ เมื่ออยู่นานๆ ไอหนาวนั้นก็ราวกับทะลุเข้าไปในกระดูก มันหนาวสะท้านทั้งภายในและภายนอก แม้จะถูกห่อด้วยผ้านวมสองผืนก็ยากที่จะป้องกันความหนาวเย็นเอาไว้ได้
หลังจากนี้ก็ไม่มีใครส่งอาหารเข้ามาอีก ซ่งชูอีรู้ว่าถึงตะโกนออกไปก็ไร้ประโยชน์ จึงทำได้เพียงอยู่เฉยๆ เพื่อเก็บพลังงาน ห่อตัวอยู่ภายในผ้าห่ม เมื่อตื่นขึ้นมาก็ครุ่นคิดถึงแผนการที่จะหนีออกไป
น่าเสียดายที่ที่นี่เรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบ สิ่งที่มีประโยชน์ทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ในร่างกายต่างถูกริบออกไปหมดแล้ว ไม่สามารถใช้อะไรได้เลย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุคคลที่ตัดใจจะฝังนางไว้ที่นี่ด้วยความแน่วแน่ ไม่ว่ากลยุทธ์ใดๆ ก็ยากที่จะนำออกมาใช้
ในนครเสียนหยาง เหนือศีรษะของผู้มีตำแหน่งสูงและมีอำนาจทั้งหมดต่างถูกปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้ม เจ้าอี่โหลวไม่ได้เข้าประชุมราชสำนัก นำไป๋เริ่นออกค้นหาคนด้วยตัวเองและสอบถามความคืบหน้าในการค้นหากับชูหลี่จี๋เป็นครั้งคราว อิ๋งซื่อยึดอำนาจทางการทหารไปจากเขา เขาถูกโบยด้วยหน้าไม้ทหารสี่สิบที ได้รับบทลงโทษเป็นเวลาหนึ่งปีและเพียงถูกปล่อยไป
การลงโทษของอิ๋งซื่อครั้งนี้นับว่าเบามาก เขาก็ร้อนใจมากทั้งยังเข้าใจความทุกข์ทรมานของเจ้าอี่โหลวเช่นกัน ทว่าก็ไม่อาจละเมิดกฎได้ หากองค์จวินไม่กำหนดแบบอย่างที่ดี เช่นนั้นก็เกรงว่ากฎของรัฐฉินที่แข็งแกร่งราวถูกชุบด้วยทองคำก็อาจเกิดหายนะจากการละเลยเพียงเล็กน้อย
สิ่งที่เขาสามารถทำได้คือลงโทษเจ้าอี่โหลวสถานเบา หักล้างกับผลงานที่เขาเคยสร้างไว้
ในการค้นหาสองสามวันแรกของเจ้าอี่โหลวกับไป๋เริ่นเป็นไปด้วยความราบรื่นยิ่ง แต่เมื่อไปถึงนอกเมืองมันกลับลังเล ราวกับเบาะแสของกลิ่นหายไป หรือเพราะกลิ่นเจือจางและยุ่งเหยิงเกินไปจนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี
หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน เจ้าอี่โหลวผอมลงไปมาก เคราที่ยุ่งเหยิงซ่อนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ดวงตาที่สดใสเหมือนดวงดาวที่เย็นยะเยือกค่อยๆ สูญเสียความแวววาว เขากลับสู่สภาพเมื่อเจ็ดปีที่แล้วเพียงชั่วพริบตา เหมือนสัตว์ร้ายที่สิ้นหวัง ตามหาคนอยู่ที่ชานเมืองทุกระเบียดนิ้วด้วยเนื้อตัวที่เต็มไปด้วยบาดแผล
ปากแผลที่สมานกันเปิดออกอีกครั้ง เปิดออกแล้วก็สมานกลับอีกครั้ง วนเวียนเช่นนี้อยู่หลายรอบ บาดแผลบางส่วนมีอาการบวมแล้ว อุณหภูมิของร่างกายก็กำลังสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ชูหลี่จี๋เกลี้ยกล่อมซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่เป็นผล ทำได้เพียงส่งคนที่มีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้สองสามคนมัดตัวเขากลับมา จากนั้นก็ใช้ยาสลบจึงจะสามารถรักษาบาดแผลได้
ภายในสุสาน
ซ่งชูอีไม่รู้เดือนรู้ตะวันและไม่รู้ว่าถูกควบคุมตัวมานานแค่ไหนแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเคยผ่านช่วงเวลาตาบอดมาระยะหนึ่ง นางคงจะทรุดไปนานแล้ว
“เด็กๆ!” บัดนี้เสียงของซ่งชูอีอ่อนแออย่างมาก
แน่นอนว่ามีคนตอบอยู่หน้าประตู “กั๋วเว่ยมีสิ่งใดจะสั่ง?”
“ข้าต้องการพบตู้เหิง” ซ่งชูอีเอ่ย
“ได้โปรดรอสักครู่” คนข้างนอกจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานตู้เหิงก็มาถึง “ซ่งจื่อคิดได้แล้วหรือ?”
ซ่งชูอีตอบ “ถูกต้อง”
“ซ่งจื่อยอมปริปากบอกตำแหน่งของกองทัพใหม่ และส่งมอบตราทหารรึ?” ตู้เหิงพูดอีก
ไอ้เจ้าสารเลว! ซ่งชูอีลอบด่าในใจ “เจ้าคนต่ำช้าได้คืบจะเอาศอก!”
ตู้เหิงหัวเราะเสียงต่ำ “สัญชาตญาณของพ่อค้าก็ได้คืบจะเอาศอกมิใช่หรือ!”
รออยู่สักพักก็ไม่มีเสียงตอบจากข้างใน
ตู้เหิงเรียกอีกสองสามครั้ง ซ่งชูอีก็ยังคงไม่ตอบ เขาก็ไม่รีบร้อน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาใช้วิธีนี้ ไม่มีผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งคนใดที่สามารถทนได้
เขาส่งอาหารเข้ามาทุกๆ สองวัน ซ่งชูอีกินโดยไม่เหลือสักมื้อ เห็นได้ชัดว่ามีความปรารถนาที่จะมีชีวิตรอด อีกทั้งเจตจำนงของนางก็ยังคงมีสัญญาณของการผ่อนคลาย ในช่วงเริ่มต้นเขาจงใจร้องขอในสิ่งที่ไม่โหดร้ายจนเกินไป ท้ายที่สุดแม้ว่าจะรู้ตำแหน่งของกองทัพใหม่ รัฐเว่ยก็ยากที่จะดำเนินการใดๆ ซึ่งทำให้ผู้คนถูกล่อลวงได้ง่ายขึ้น คนก็เป็นเช่นนี้ ทันที่ขีดจำกัดถูกทำลายก็จะยิ่งไร้ขีดจำกัดมากขึ้นทุกที บางครั้งผู้คนจำนวนมากไม่อยากมีชีวิตอยู่แต่แค่ขอตายอย่างมีความสุขก็พอ
เพียงพริบตาเดียว ซ่งชูอีก็ถูกคุมขังเป็นเวลาสี่เดือนแล้ว
เขายังคงส่งอาหารมาให้ทุกๆ สองวัน ไม่ว่าจะกินดื่มหรือขับถ่ายก็จะไม่ปล่อยให้นางออกไปจากห้องอันมืดมิดนี้
ต่อมาตู้เหิงเห็นว่าความอยากอาหารของนางค่อยๆ ลดลง จึงพาคนเข้ามาตรวจชีพจรและรักษาอาการป่วยของนาง
ซ่งชูอีนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ขยับเขยื้อน ลอบด่าอยู่ในใจ แม่งเตรียมการอย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ!
ภายในความมืดมิด ซ่งชูอีมองไม่เห็น ส่วนตู้เหิงก็มิได้สดใสและสะอาดสะอ้านเหมือนในตอนแรกอีกแล้ว แต่กลับเหี่ยวแห้งหมดสภาพ เดิมทีเขาทยอยขนย้ายอาหารแห้งที่เพียงพอสำหรับคนห้าคนตลอดทั้งปีเข้ามาในสุสาน แต่เมื่อไม่นานมานี้ฝนตกติดต่อกัน อาหารบางส่วนจึงขึ้นรา ทั้งยังมีกองทัพใหญ่เฝ้าอยู่ในละแวกนี้ การที่เขาเข้ามาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จึงไม่ยอมเสี่ยงอันตรายออกไปอีก ครั้นเห็นว่าอาหารแห้งขาดแคลน เขาจึงต้องลอบวางยาพิษและฆ่าผู้คุมสองคน เหลือเพียงผู้คุ้มกันที่จงรักภักดีคนหนึ่งข้างกายและสาวใช้ที่รู้ศิลปะการต่อสู้สองคน
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้เหมือนนรก เขาจึงต้องการผู้หญิงเพื่อระบายความหดหู่ในใจ และเพราะเหตุนี้วิญญาณของเขาจึงใกล้จะแตกสลายเต็มทน หากไม่ใช่เพราะซ่งชูอีเผยความผ่อนคลายออกมา เกรงว่าเขาคงจะตายไปกับนางแล้ว
[1] พานชือ สัตว์ประหลาดคล้ายงูในตระกูลมังกร ซึ่งเป็นมังกรยุคแรกที่ไม่มีเขา
[2] กงซูปัน หรือหลี่ว์ปันเป็นชาวหลี่ว์ในสมัยชุนชิว แซ่จี สกุลกงซู ชื่อรองอีจื้อ นามว่าปัน ชื่อของเขาได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของภูมิปัญญาของคนทำงานในสมัยโบราณ