กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 33 หญิงงามกลางป่า
ซ่งชูอีหยุด เงยหน้ามองไปทางนั้น นายทหารกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมวงราวกับกำลังดูอะไรบางอย่าง
“ข้าจะไปดูเสียหน่อย” ซ่งชูอีลุกขึ้นมาจากพื้น ตบๆ ฝุ่น แล้วเดินไปทางนั้น
ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ก็ได้ยินเสียงถกเถียงกันเซ็งแซ่ ซ่งชูอีมองไม่เห็น จึงย่อตัวลงไปกับพื้นเพื่อมองลอดช่องว่างระหว่างฝูงชน “ว้าว มีเสน่ห์ยิ่งนัก”
สาวงามสองนางถูกล้อมรอบอยู่ตรงกลาง เสื้อผ้าบนตัวขาดวิ่นจนแทบไม่ปกปิดส่วนใดๆ บนร่างกาย ขาวเรียวยาวและสะโพกกลมๆ ล้วนเผยให้เห็นอยู่ด้านนอก แม้นเนื้อตัวมอมแมมแต่ยังสามารถเห็นความขาวด้านล่างได้อย่างเลือนราง เอวบางเพียงคืบ เนินอกสองข้างอวบอิ่ม หนึ่งในนั้นหมอบราบอยู่บนพื้น ซ่งชูอีมองไม่เห็นใบหน้า แต่อีกนางหนึ่งกำลังลุกขึ้นมา กอดสตรีที่อยู่บนพื้นไว้ในอ้อมอกด้วยความสั่นเทา ซุกศีรษะด้วยความตกใจกลัว
นางหันหน้ามาทางซ่งชูอีพอดี แม้นเพียงเสี้ยววินาที ซ่งชูอีก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจน ผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงบดบังใบหน้าของนาง เค้าโครงหน้าที่เห็นเพียงคร่าวๆ นั้นเป็นรูปไข่ ปากนิดจมูกหน่อย ช่างเป็นสตรีรูปงามโดยแท้
“จุ๊ เนื้ออ้วนๆ สองชิ้นมาเข้าปากของหมาป่าเสียแล้ว” ซ่งชูอีรวบแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืน
ขณะที่กำลังจะกลับกองไฟ นายร้อยสองสามคนที่กำลังมุงดูเห็นนางก็รีบร้องเรียก “ท่าน!”
ทุกคนหลีกทางให้นางโดยอัตโนมัติ นายร้อยผู้หนึ่งกลืนน้ำลาย เอ่ยถาม “พวกท่านแม่ทัพกำลังหารือราชการ พวกข้าไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับพวกนางเช่นไร?”
ซ่งชูอีแอบยิ้มในใจ ไม่ใช่ไม่รู้กระมั้ง? แต่ไม่กล้ามากกว่า
ซ่งชูอีไม่มีตำแหน่งใดๆ ในกองทัพนี้ แต่ว่าด้วยความเคารพที่จี๋อวี่มีต่อนาง รวมทั้งแม่ทัพทั้งสามก็เคยเรียกนางไปถามถึงแผนการ ทุกคนต่างแต่งตั้งให้นางเป็นกุนซือและแขกผู้มีเกียรติไปแล้ว
ซ่งชูอีกวาดตามองเล็กน้อย โดยรอบล้วนเต็มไปด้วยแววตาสีเขียวเปล่งประกายของหมาป่าชั่วร้าย หากนางปล่อยสองคนนี้ไปล่ะก็ เกรงใจว่าจะสร้างปัญหาใหญ่ ยิ้มเอ่ยเบาๆ “ทุกท่านเกรงใจแล้ว ข้าน้อยมิอาจตัดสินใจเรื่อง…”
ยังมิทันพูดจบ หญิงผู้ที่ยังมีสติฝ่าฝูงชนเข้ามาฉับพลัน ผู้คนโดยรอบวาดดาบทันที หญิงสาวผู้นั้นสะดุดล้มห่างจากซ่งชูอีไม่ไกล คืบคลานไปเบื้องหน้า ดึงชายผ้าของนางพลางร้องไห้อ้อนวอน “ท่านได้โปรดช่วยพี่สาวของข้าด้วย! ท่านได้โปรดช่วยนางด้วย! นางใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว!”
น้ำเสียงของหญิงสาวแหบแห้ง ทุกคำพูดราวกับว่าถูกบีบเค้นมาจากลำคอด้วยความยากลำบากยิ่ง แต่สามารถบ่งบอกได้เลือนรางว่านางยังเยาว์นัก
“ท่าน!” เมื่อหญิงสาวเห็นว่าซ่งชูอีไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาวิงวอน
ซ่งชูอีหลุบตาลง เห็นว่าใบหน้าเปื้อนดินของนางถูกน้ำตาชะล้าง เผยให้เห็นผิวพรรณขาวผุดผ่อง ด้วยสายตาในการแยกแยะผู้คนของซ่งชูอีนั้น หญิงผู้นี้น่าประทับใจโดยแท้ ไม่นับเรื่องที่นางหน้าตาดีหรือไม่ แต่ด้วยสภาพสะบักสะบอมเช่นบัดนี้ยังมีท่าทีชวนให้คนหวั่นไหวได้ ไม่ธรรมดาจริงๆ
หญิงผู้นี้มีสำเนียงรัฐเว่ย แต่ว่าบัดนี้ดินแดนส่วนใหญ่ของรัฐเว่ย์ถูกรัฐเว่ยยึดครอง แม้ว่าซ่งชูอีสามารถพูดได้หลายภาษา แต่ไม่มีความสามารถในการแยกแยะสำเนียงที่แตกต่างกันในระยะสิบลี้ และนางก็ไม่มีอำนาจเก็บหญิงสาวผู้ไม่ทราบที่มาอย่างแน่ชัดภายในค่ายทหารตามที่นางกล่าว
อย่างไรก็ตามนางจะทำคุณก็ย่อมได้ ซ่งชูอีกล่าวกับนายร้อยสองสามนาย “ไม่รู้ถึงที่มา จับตัวไว้ก่อน รอคำสั่งท่านแม่ทัพ ในระหว่างนี้ใครก็ห้ามแตะต้องพวกนาง”
“ขอรับ!” ทุกคนประสานมือตอบรับพร้อมเพรียง
ในความเป็นจริงแล้ว ทหารเหล่านี้เพียงเพราะไม่ได้เห็นสตรีเพศเป็นเวลานานจึงถูกกระตุ้นก็เท่านั้น ซ่งชูอีไม่เชื่อว่าผู้ชายคนไหนจะยังมีกะใจทำเรื่องอย่างว่าหลังจากเร่งเดินทัพเป็นเวลาเจ็ดวัน
“หาหมอมาช่วยดูแม่นางผู้นั้น อย่าให้ตายเสีย” ซ่งชูอีเงยคางขึ้น ชี้ไปยังหญิงหมดสติ
“ท่านมีพระคุณยิ่งใหญ่ ข้าน้อยจะไม่มีวันลืม!” หญิงสาวยืดตัวตรงอย่างยากลำบาก ค้อมตัวต่ำให้ซ่งชูอี
ซ่งชูอีเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูจากการค้อมคำนับของนางแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่หญิงสาวที่มาจากครอบครัวทั่วไป ยิ่งไม่ได้เป็นสาวใช้ ในปัจจุบันที่จริงแล้วสาวใช้มิได้มีการคำนับอะไรที่เป็นพิเศษ เมื่อเห็นผู้สูงศักดิ์ ก็จะทำเพียงสองอย่างคือหมอบคลานกับค้อมตัว ต่อหน้าผู้สูงศักดิ์ ไม่ว่าทำเรื่องอะไรก็ต้องค้อมตัว เวลาทำความเคารพก็ต้องหมอบคลานไปกับพื้น อีกทั้งการคำนับทั้งหมดคือสิ่งของชั้นสูงที่มีไว้วางมาตรฐานผู้มีสถานะ
ซ่งชูอีมองดูหญิงสาวทั้งสองคนถูกพาตัวไป เสียงของจี๋อวี่ดังขึ้นจากด้านหลัง “ท่านหวยจิน”
“หารือเสร็จแล้วหรือ?” ซ่งชูอีหันตัวไปถาม
จี๋อวี่แทงดาบสัมฤทธิ์เข้าไปในดินเบื้องหน้า สองมือดันดาบ ซ่งชูอีเหลือบมอง รู้ว่าเขาต้องการคุยด้วย จึงรอเขาเอ่ยก่อนด้วยความสงบนิ่ง
จี๋อวี่ชำเลืองมองรอบกาย กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ล้อมรัศมีห้าจั้งห้ามใครเข้าใกล้!”
นายทหารที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินดังนี้ก็ตอบรับ ถอยออกไปภายนอกห้าจั้งอย่างรวดเร็ว
จี๋อวี่สำรวจคนที่อยู่เบื้องหน้าอีกรอบหนึ่ง ตอนนั้นเขาถูกกักตัวภายในอาณาเขตรัฐซ่ง ไม่เพียงแต่ไม่สามารถอยทัพ แต่ยังถูกตัดขาดจากข่าวสารโลกภายนอก ครั้นเดินมาถึงทางตันก็บังเอิญได้พบกับจางอี๋และซ่งชูอี อดไม่ได้ที่จะปลาบปลื้มเหลือล้น บัดนั้นเขาใช้นางด้วยการเดิมพันทั้งหมดที่มี จนถึงเมื่อครู่จึงรู้สึกว่าตนมองคนไม่ผิด
ซ่งชูอีให้ความรู้สึกอันแปลกประหลาดแก่จี๋อวี่มาก เห็นได้ชัดว่ามีลักษณะของเด็กหนุ่ม แต่ว่าบุคลิกในตัวบวกกับแววตาสดใสเจือปนรอยยิ้มของนาง ทำให้เขารู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือบัณฑิตผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
“ลมเหนือช่างแรงเหลือเกิน นายพลจี๋คงมิได้เพียงต้องการมองดูความเยือกเย็นในสายลมนี้หรอกกระมัง?” ซ่งชูอียิ้มกว้าง แต่กลับสูดเอาลมหนาว นางสำลักจนกลอกตา
“แม้ข้าจะมีสัญญากับท่านหวยจิน แต่กลับมิได้บอกจำนวนปีที่แน่ชัด ท่านมีความสามารถ คงไม่อยู่ในรัฐเว่ย์ตลอดไปกระมัง” จี๋อวี่ไม่คิดอ้อมค้อม เขาหาศพของเจ้าอี่โหลวไม่เจอ หากซ่งชูอีจะกล่าวว่าสัญญาเป็นโมฆะ ก็ไม่นับว่าทำเกินไป “ท่านอายุยังน้อย ตอนนี้นอกจากรัฐเว่ย์แล้ว เกรงว่าคงไม่มีที่อื่นที่ยอมใช้ท่าน”
ซ่งชูอีอบอุ่นร่างกาย เอ่ยขึ้น “ความหมายของนายพลจี๋คือ?”
“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลงกู่เต็มใจเชิญท่านแม่ทัพให้เป็นแขกผู้ทรงเกียรติและเพื่อวางแผนทางการเมือง โดยใช้ระยะเวลาสามปี หลังจากสามปีแล้ว ท่านสามารถไปไหนก็ได้ตามอิสระ” จี๋อวี่กล่าว
ยุคสมัยนี้บัณฑิตผู้มากความสามารถใต้หล้าล้วนมุ่งหน้าไปยังเจ็ดมหานครรัฐ บ้างเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ บ้างมีความทะเยอทะยาน เจ็ดมหานครรัฐก็ปฏิบัติต่อพวกเหล่าบัณฑิตอย่างดีทีเดียว นี่จึงทำให้มีคนสนใจรัฐเล็กน้อยลง รัฐจึงอ่อนแอลงทุกวัน และรัฐที่เข้มแข็งก็แข็งแกร่งขึ้น
“ข้าซาบซึ้งในน้ำใจนัก” ซ่งชูอีค้อมต่ำ ยืดตัวตรง แล้วเอ่ยต่อ “ท่านนายพลจี๋ไม่ทอดทิ้ง นับว่าเป็นบุญคุณต่อข้าน้อย แต่สำหรับข้าแล้ว เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ข้าขอคิดสักคืนหนึ่งเถิด”
ซ่งชูอีรู้แก่ใจดี หากหลงกู่ชิ่งให้ความสำคัญกับนางจากใจจริง จะรอกระทั่งจี๋อวี่มาส่งสารได้อย่างไรกัน? อย่างไรก็ดีหลังจากนางพิจารณาและประเมินสถานการณ์แล้ว บัดนี้นางก็คงทำได้เพียงอยู่ในรัฐเว่ย์เท่านั้น
“แน่นอน” จี๋อวี่ตอบรับอย่างผ่อนคลาย
จากนั้นก็มีคนเข้ามานำทางซ่งชูอีไปยังกระโจมของนาง เนื่องด้วยนางเป็นบัณฑิตเพียงผู้เดียว ดังนั้นจึงได้รับการดูแลเป็นพิเศษและได้พักในกระโจมแยกเดี่ยว กระโจมนั้นเล็กมาก ด้านในวางเตียงได้หนึ่งหลัง วางโต๊ะเตี้ยได้หนึ่งตัว แต่ว่านางพอใจยิ่ง สบายกว่าพวกคนที่นอนรวมกันมากแล้ว
ซ่งชูอีเอนตัวลงบนเตียง ความเจ็บปวดและอ่อนล้าทั่วร่างกายถาโถมเข้ามาฉับพลัน นางถอนหายใจสบายๆ หลับตาลง
จุดจบอันล้มเหลวของชาติที่แล้ว ทำให้นางคิดว่าไม่จะอยู่ที่ใดก็จำต้องปกป้องตัวเองให้ได้ ในฐานะกุนซือ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสามารถปกป้องตัวเองได้ซึ่งเป็นพื้นฐานขั้นแรกในการเป็นกุนซือ ซ่งชูอีตัดสินใจที่จะอยู่ที่รัฐเว่ย์ในสามปีนี้เพื่อสร้างตัวเองให้แข็งแกร่ง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ซ่งชูอีม้วนตัวลงมาจากเตียง ออกไปจากกระโจม สอบถามทหารยามถึงที่อยู่ของหญิงสาวสองนางนั้น แล้วเดินไป