กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 335 องค์ชายอิ๋งตั้งแห่งฉิน
“บรรดาขุนนาง?” น้ำเสียงของอิ๋งซื่อเบามาก มันเจือปนความแหบแห้งเล็กน้อยทว่ากลับมีพลังข่มขู่ผู้คน “ผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อให้คนอื่นมาบงการตั้งแต่เมื่อใดกัน? ทำไม ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็สนับสนุนการปลดหวังโฮ่วเช่นนั้นรึ?”
ชูหลี่จี๋ค้อมตัวเล็กน้อย เอ่ยว่า “จะปลดหรือไม่ปลดหวังโฮ่วนั้นไม่ได้ส่งกระทบต่อการปกครอง กระหม่อมเพียงรู้สึกว่าควรทูลเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทรับทราบ”
ท้ายที่สุดนี่ไม่ใช่สิ่งที่ชูหลี่จี๋จะสามารถจัดการได้เป็นการส่วนตัว อีกทั้งการที่ชาวเว่ยขุดสุสานของจวินองค์ก่อน นั่นมิได้เป็นเพียงบิดาของอิ๋งซื่อเพียงผู้เดียวแต่ยังเป็นบิดาของชูหลี่จี๋อีกด้วย เหตุผลที่เขารายงานเรื่องนี้ต่อหน้าอิ๋งซื่อก็เป็นเพราะว่ารู้สึกต่อต้านชาวเว่ยเป็นอย่างมาก
“เหตุผล” อิ๋งซื่อเอ่ย
ชูหลี่จี๋เอ่ยว่า “ชาวเว่ยทำผิดต่อสุสานจวินองค์ก่อน องค์หญิงเว่ยเป็นหวังโฮ่วของต้าฉินเราเท่ากับเป็นการดูหมิ่น
จวินองค์ก่อน”
“หรือว่าคิดที่จะฆ่าองค์รัชทายาทเหมือนกัน?” อิ๋งซื่อดูเหมือนจะจริงจังในการขอความเห็นจากเขาเป็นอย่างมาก
ทว่าคนที่นั่งอยู่สามคนต่างรู้ว่าบัดนี้เขาโมโหมาก
อย่างไรก็ดีทั้งจางอี๋และซ่งชูอีล้วนไม่ใช่ชาวฉิน ไม่มีจุดยืนที่จะวิพากษ์วิจารณ์กิจการครอบครัวของกษัตริย์
“กระหม่อมโง่เขลา ท่านอ๋องได้โปรดอธิบาย” ชูหลี่จี๋แสร้งทำเป็นโง่ ถึงอย่างไรเขาไม่มีท่าทีเห็นด้วยหรือต่อต้านการปลดหวังโฮ่วอยู่แล้ว
อิ๋งซื่อละสายตากลับมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “จะสู่ขอหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับพวกเขา ทว่าในเมื่อเว่ยหว่านแต่งเข้ามาอยู่ในรัฐฉินแล้วก็เท่ากับเป็นผู้หญิงของรัฐฉิน และก็เป็นผู้หญิงของข้าอิ๋งซื่อ ไม่ใช่องค์หญิงเว่ยอะไรนั่น! หากพวกเขาเอาความพยายามในการทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งลำบากใจไปลงกับการเมือง ใยจะต้องกังวลว่ารัฐฉินอ่อนแอ? ใยจะต้องกังวลว่าแค้นนี้จะไม่ได้รับการชำระ!”
อิ๋งซื่อไม่เคยโหยหาความรัก การแต่งงานครั้งนี้ล้วนเป็นเหตุผลทางการเมืองทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีตอนที่ช่วยเว่ยหว่านขึ้นมาจากหิมะ นางทั้งตกใจและทำอะไรไม่ถูก แต่กลับสงบสติอารมณ์ได้และพูดว่า “ได้โปรดช่วยน้องสาวข้า” ไม่หยุด ความเมตตาและการได้รับการปลูกฝังเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้คู่ควรกับตำแหน่งกั๋วโฮ่ว สามารถติดตามเขาไปชั่วชีวิต
พูดได้ว่าในขณะนั้นเองเขาก็เคยมีความหวังริบหรี่ในการแต่งงานทางการเมืองครั้งนี้
ต่อมาเว่ยหว่านค่อยๆ สูญเสียการแยกแยะ และยิ่งเสียความสง่างามขึ้นไปทุกที เขาอยู่ข้างนอกดังนั้นจึงสามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในความรู้สึกของนางได้อย่างชัดเจน แม้ว่านางจะทำสิ่งต่างๆ มากมายเกินกว่าที่เขาจะอนุญาตแต่เขาก็ไม่เคยสืบสาวมันอย่างลึกซึ้ง
ด้วยนิสัยของอิ๋งซื่อ ตราบใดที่เว่ยหว่านไม่ได้ก่อเรื่องเกินกว่าที่เขาจะสามารถยอมรับได้ ตำแหน่งหวังโฮ่วของนางก็จะยังมั่นคง
ทั้งหมดนี้เพียงเพราะนางเป็นผู้หญิงที่เขาเคยเชื่ออย่างหนักแน่นและเป็นพระชายาของเขา
ในฐานะองค์จวินของบ้านเมือง เขาจำเป็นต้องเสียสละเรื่องส่วนตัวเพื่อส่วนรวมของรัฐแต่เขาจะไม่สูญเสียความรับผิดชอบที่ผู้ชายควรมี ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง หากไม่มีความสามารถแม้กระทั่งปกป้องภรรยาของตัวเองได้ จะพูดเรื่องอุดมคติและความทะเยอทะยานได้อย่างไร?
ชูหลี่จี๋ก็ค่อยๆ เข้าใจอุปนิสัยของเขาทีละน้อย ในฐานะผู้หญิงของเขา ขอเพียงไม่หาเรื่องใส่ตัว เขาก็จะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นทำร้ายนางแม้แต่ปลายผม
ผลลัพธ์นี้อยู่ในความคาดหมายอยู่แล้ว ชูหลี่จี๋ไม่ยินดียินร้าย “พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเข้าใจแล้ว”
ในเมื่อบัดนี้อิ๋งซื่อเอ่ยปากออกมาแล้ว เขาก็ต้องยับยั้งเรื่องนี้ มิฉะนั้นเขาก็ไร้ความสามารถในฐานะมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเช่นกัน
“ทว่า” ชูหลี่จี๋เปิดการสนทนา “ฝูงชนตื่นตระหนก หากไม่ให้คำอธิบายเกรงว่าจะยากที่จะปลอบโยนประชาชนได้ จะปลดหวังโฮ่วหรือไม่นั้นเป็นเรื่องรอง ทว่าองค์รัชทายาทเป็นอนาคตของต้าฉินเรา นี่คือต้นตอของความกังวลของเหล่าขุนนาง”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่ว่าเว่ยหว่านเป็นองค์หญิงแห่งรัฐเว่ยได้! ทว่าหวังโฮ่วเป็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ว่าชาวฉินทนผู้หญิงคนหนึ่งไม่ได้ ทว่าการปล่อยให้หญิงชาวเว่ยอบรมสั่งสอนองค์รัชทายาทต่างหากที่ทำให้พวกเขาทนไม่ได้! องค์รัชทายาทเป็นผู้สูงศักดิ์ ไม่สามารถปล่อยให้ผู้หญิงต่ำต้อยคนหนึ่งเลี้ยงดูได้ ดังนั้นเหล่าเหล่าขุนนางจึงคิดที่จะปลดหวังโฮ่ว
อาศัยตอนที่องค์รัชทายาทยังเด็ก แยกบุตรและมารดาออกจากกันคือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
“นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป กว่าเหรินจะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง”
อิ๋งซื่อตั้งความหวังไว้กับลูกชายคนแรกสูงมาก หวังว่าจะสามารถสืบทอดความทะเยอทะยานของเขาได้ ดังนั้นจึงตั้งชื่อว่าตั้ง ซึ่งมีความหมายในการทำให้จงหยวนสงบลง
ซ่งชูอีขมวดคิ้ว กลับเอ่ยว่า “ฝ่าบาททรงหนักเพื่อกิจการของรัฐ จะแบ่งใจไปดูแลองค์ชายที่อยู่ในวัยเยาว์ได้อย่างไร? ฝ่าบาทได้โปรดพิจารณา”
“กั๋วเว่ยกล่าวได้ถูกต้อง” จางอี๋เอ่ย
“ทำเช่นนี้ไปก่อนเถิด” เดิมทีอิ๋งซื่อตั้งใจที่จะสอนองค์ชายตั้งด้วยตัวเอง บัดนี้การเลี้ยงดูเด็กน้อยวัยสามขวบด้วยตัวเองนั้นเป็นเรื่องยาก ทว่าโชคดีที่มีแม่นม ไม่จำเป็นต้องอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา
“ฝ่าบาท หวังโฮ่วสั่งให้แม่นมพาองค์ชายมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถากล่าวอยู่หน้าประตู
ไม่กี่คนที่อยู่ในห้องมีความคิดที่แตกต่างกัน อิ๋งซื่อคิดว่าเว่ยหว่านจัดการเรื่องนี้ได้น่าพอใจยิ่ง นางมิได้ร้องไห้และเถียงกับเขา ในทางตรงข้ามกลับหาเวลาส่งโอรสเข้ามาเอง การทำเช่นนี้มีความเป็นกั๋วโฮ่วมาก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนอื่นก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้อีก ทำได้เพียงระงับเรื่องนี้ไว้ก่อน
“พอดีเลย พวกเจ้าจะได้พบกับองค์ชายด้วย” อิ๋งซื่อพูดจบก็เปล่งเสียงดัง “เข้ามา”
เสียงแอ๊ดดังขึ้น ประตูบานพับเปิดออก สาวใช้อายุประมาณยี่สิบอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามา
ซ่งชูอีถูกเด็กคนนั้นดึงดูดสายตาทันที ตัวเขาถูกห่อด้วยขนจิ้งจอกหนาราวกับลูกสุนัขจิ้งจอกตัวนุ่มนิ่ม มีเพียงใบหน้าขาวนวลโผล่ออกมาให้เห็นเท่านั้น ดวงตากลมโตที่เหมือนองุ่นม่วงนั้นดูไม่เหมือนอิ๋งซื่อเลย ระหว่างจมูกและปากคล้ายผู้เป็นบิดาเล็กน้อย ทว่าเจ้าตัวเล็กที่นุ่มนวลเช่นนี้ทำให้ยากที่จะเชื่อมโยงกับการอิ๋งซื่อผู้แข็งกร้าวและเยือกเย็น
เขาก็ไม่กลัวคนแปลกหน้า ดวงตาดำขลับนั้นหมุนไปรอบห้องแล้วหยุดอยู่ที่อิ๋งซื่อ จากนั้นก็เรียกออกมาด้วยความไร้เดียงสา “เสด็จพ่อ”
“วางเขาลง” อิ๋งซื่อเอ่ย
แม่นมอาศัยอยู่ในวังหลังตลอดเวลา ไม่เคยพบกับขุนนางใหญ่มาก่อน หลังจากได้ยินคำสั่งแล้วก็นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะวางหนูน้อยลงบนพื้นด้วยความตื่นตระหนก
ซ่งชูอีเห็นว่าทันทีที่เด็กน้อยคนนั้นเท้าแตะพื้นก็คว่ำขาสั้นๆ สองข้างแล้วรีบวิ่งไปหาอิ๋งซื่อ ร่างกายที่ถูกขนสุนัขจิ้งจอกพันจนกลมดิ๊กก็เหมือนกับลูกหิมะ น่ารักเป็นที่สุด
ฉากนี้ทำให้นางรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเจ็บปวดฉับพลัน แม้กระทั่งหายใจไม่ออก
อิ๋งซื่อยืนมือออกไปโอบเขา วางลงบนตักแล้วเอ่ยกับเขาว่า “มา พ่อจะแนะนำคนให้เจ้ารู้จัก”
อิ๋งตั้งเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ มองไปยังทุกคนตามมือของอิ๋งซื่อ “นี่คือมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายจางอี๋ นั่นคือมหาเสนาบดีของเจ้าชูหลี่จี๋และเป็นเสด็จอาของเจ้าด้วย ท่านนี้คือกั๋วเว่ยซ่งหวยจิน จำได้รึไม่?”
อิ๋งตั้งพยักหน้า
“ไปความเคารพสิ” อิ๋งซื่อวางเขาลง
เขาเดินโงนเงนไปยังจางอี๋ ยื่นมืออ้วนกลมออกมา กำหมัดเป็นลูกหมั่นโถวน้อยๆ เอ่ยด้วยคำพูดที่ไม่ชัดถ้อยชัดคำ “ตั้งเอ๋อร์คำนับท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย”
“องค์ชายทรงพระปรีชานัก!” จางอี๋เห็นว่าอิ๋งตั้งยังไม่ครบสามขวบดีก็รู้จักมารยาทแล้ว คำนับกลับด้วยความประหลาดใจ รีบลุกขึ้นประคองเขาขึ้นมาด้วยสองมือ
หลังจากอิ๋งตั้งคำนับแล้ว ก็หันมาทางชูลี่จี๋ “ตั้งเอ๋อร์คำนับเสด็จอาเสนาบดีฝ่ายขวา”
“ฮ่าๆๆ!”
คำพูดของเด็กน้อยทำให้ทุกคนหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง
ชูหลี่จี๋คำนับกลับก่อนที่จะยื่นมือประคองเขา
อิ๋งตั้งเห็นว่าทุกคนหัวเราะก็ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เมื่อหมุนตัวเท้าก็เหยียบเสื้อคลุมขนของตัวเอง ล้มลงบนกับพื้นเสียงดังโครมคราม
เขาสวมชุดหนามากจึงไม่เจ็บเลย ทว่าเพราะสวมเสื้อหนาเกินไปจึงกลิ้งอยู่บนพื้นหลายรอบ ลุกขึ้นมาไม่ได้เสียที
อิ๋งซื่อไม่มีคำสั่ง แม่นมก็ไม่กล้าขยับ อิ๋งตั้งเม้มริมฝีปากน้อยๆ ร้องฮึดฮัดอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งเมื่อเขากำลังจะแหกปากร้องไห้ มือคู่หนึ่งก็ดึงเขาขึ้นมาจากพื้น
อิ๋งตั้งเงยหน้าขึ้นก็พบกับสายตาที่สงบนิ่งและอ่อนโยนคู่หนึ่ง สูดหายใจฟึดฟัด ดึงแขนเสื้อของนางและร้องไห้เสียงดัง
ซ่งชูอีหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาให้เขา ช่วยเขาจัดผมเผ้าและเสื้อผ้าให้เรียบร้อย กุมมือที่นุ่มนิ่มของเขา แววตาเจือปนรอยยิ้มจางๆ มีสั่นเครือเล็กน้อยในน้ำเสียงจนแทบไม่สังเกตเห็น “กั๋วเว่ยซ่งหวยจิน คำนับองค์ชาย”