กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 337 แซ่อิ๋งผู้เก่งกาจ
ต้าเหลียงแห่งรัฐเว่ยเป็นนครที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดแห่งหนึ่ง มีร้านค้าหนาแน่นและฝูงชนมากมาย
พระราชวังต้าเหลียงอันเป็นวิมานหยกอันงดงาม ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สวยที่สุดของนครอันเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจสูงสุดของการเป็นกษัตริย์
ฤดูหนาวที่เย็นยะเยือกได้ทำให้นครหลวงแห่งนี้กลายเป็นน้ำแข็ง ไม่มีฉากของหญิงงามที่หยอกล้อกันอย่างมีชีวิตชีวาเป็นประจำในพระตำหนักอันงดงาม แสงแดดที่ซีดขาวราวกับแสงจันทร์กลับส่องแสงแพรวพราว
ภายในห้องบรรทมของเว่ยอ๋องเงียบสงัด ชาววังเป็นเหมือนเครื่องตกแต่งที่ไร้ชีวิต ในพระตำหนักอบอวลไปด้วยกลิ่นยาหนักหน่วง
“ท่านอ๋อง ได้เวลายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าวเสียงเบาอยู่นอกฉากกั้น
เสียงไอเป็นระลอกดังมาจากข้างใน
“เข้ามา” องค์รัชทายาทเอ่ย
ขันทีนำบ่าวในวังสองคนเข้าไปในห้องชั้นใน องค์รัชทายาท องค์ชายซื่อและหลางจงฝ่ายขวาล้วนอยู่ข้างใน
ทั้งสองคนลุกขึ้นพร้อมกัน องค์รัชทายาทก้าวไปรับถ้วยยามาก่อน เตรียมที่จะป้อนยาด้วยตัวเอง
เว่ยอ๋องโบกๆ มือ “มีซื่อเอ๋อร์อยู่ เจ้าไปจัดการเรื่องกิจการบ้านเมืองเถิด”
องค์รัชทายาทเอ่ยด้วยความเป็นกังวล “เสด็จพ่อทรงพระประชวร หัวใจของลูกยากที่จะสงบได้”
หลวงจงฝ่ายขวาหมิ่นจื๋อห่วนขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น แต่ไม่ได้ขัดจังหวะ
องค์ชายซื่อยื่นมือไปรับถ้วยยา มุมปากบางๆ กระตุกยิ้มน้อยๆ “ในอนาคตองค์รัชทายาทต้องเป็นจวินแห่งรัฐ จะพูดในสิ่งที่เอาแต่ใจเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้ว่าน้องชายจะเกียจคร้านเป็นประจำ ทว่าเรื่องปรนนิบัติอาการประชวรเช่นนี้ท่านก็สามารถแบ่งปันความกังวลมาให้น้องชายได้”
องค์รัชทายาทไร้คำพูด เขาเป็นห่วงจากใจจริง แต่ก็กลัวว่าองค์ชายซื่อจะใส่ร้ายเขาต่อหน้าเสด็จพ่อจึงต้องการที่จะอยู่ต่อ ใครจะรู้ว่าเขาจะกล่าวกระแนะกระแหนเช่นนี้
“คำพูดของซื่อเอ๋อร์มีเหตุผล กว่าเหริน…” เว่ยอ๋องหายใจกระหืดกระหอบ
องค์ชายรีบเข้าไปช่วยเขาให้หายใจสะดวก
เว่ยอ๋องปรับลมหายใจ เห็นเขามีความกตัญญูก็อดที่จะทอดถอนใจอย่างแรงไม่ได้ “กว่าเหรินเกลียดซีฉิน แต่ก็ต้องยอมรับว่าตระกูลอิ๋งอย่างพวกเขาเก่งกาจจริงๆ! ตั้งแต่เซี่ยนกงถึงเซี่ยวกง แล้วอิ๋งซื่อในตอนนี้อีก ช่างเป็นองค์จวินโดยกำเนิดโดยแท้! อิ๋งซื่อผู้นั้นอายุยังไม่ถึงสามสิบก็โหดร้ายไม่น้อยไปกว่าพ่อของเขาแล้ว เจ้า…เจ้าดูทางทิศประจิม! ไอ้สารเลวพวกนั้นใกล้จะมาถึงนครหลวงแล้ว องค์รัชทายาทของข้าต้าเว่ยยังมัวแต่ป้อนยาอยู่ที่นี่! สวรรค์ต้องการจะทำลายต้าเว่ยของข้าจริงๆ!”
เว่ยอ๋องยิ่งพูดยิ่งโมโห หมัดฟาดลงบนกระดานเตียงอย่างแรง “เจ้ารีบไสหัวไปที่ท้องพระโรงเดี๋ยวนี้ รีบประชุมราชสำนักต่อต้านฉิน!”
“เสด็จพ่ออย่าทรงกริ้ว ลูกจะไปเดี๋ยวนี้!” องค์รัชทายาทคำนับแล้วก็ออกไปทันที
องค์ชายซื่อนั่งอยู่บนขอบเตียง เอื้อมมือประคองเว่ยอ๋องลุกขึ้นนั่ง “เสด็จพ่อกินยาเถิด”
“ถ้าเซินอยู่ก็ดีสิ” เว่ยอ๋องทอดถอนใจ
องค์ชายเซินผู้ล่วงลับไม่ได้เก่งกาจอะไร แต่เขามีความเป็นกษัตริย์มากกว่าองค์ชายเฮ่อและเขาก็ปฏิบัติตามความปรารถนาของเว่ยอ๋องเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นองค์ชายเซินเป็นโอรสคนโตของเว่ยอ๋อง เติบโตขึ้นมาเคียงข้างเขา ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกนั้นลึกซึ้งกว่าลูกชายคนอื่นเสียอีก เขายังคงช้ำชอกกับการเสียชีวิตขององค์ชายเซินจนกระทั่งทุกวันนี้
อิ๋งซื่อพลางยกช้อนยาขึ้นจรดปากของเว่ยอ๋องพลางเออออกับคำพูดของเขา “พี่ใหญ่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล แต่ท้ายที่สุดแล้วเสด็จพ่อไม่ได้เป็นคนสอนด้วยตัวเอง จึงมีนิสัยอ่อนโยนอย่างช่วยไม่ได้ อย่างไรเสียเสด็จพ่อก็รีบรักษาตัวให้หายเถิด มีเสด็จพ่อดูแลเป็นการส่วนตัว ภายภาคหน้าพี่ใหญ่ก็จะสามารถรับตำแหน่งองค์จวินได้”
ประโยคนี้เสียดแทงทุกถ้อยคำ นี่เป็นความเจตนาหรือเปล่า?
เว่ยอ๋องหรี่ตาสำรวจเขา
ลักษณะขององค์ชายซื่อคล้ายกับองค์ชายเซินมาก โดยเฉพาะถ้อยคำที่สละสลวยและเฉียบคม ทำให้เว่ยอ๋องตกอยู่ในภวังค์พลางย้อนรำลึกไปในช่วงเวลาที่พ่อลูกหารือกันเรื่องบ้านเมืองจนไม่ได้กินไม่ได้นอน ในใจก็ยิ่งรู้สึกขมขื่น “กว่าเหรินต่อต้านรัฐฉินมาได้สามชั่วอายุคน บัดนี้…”
พูดไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างแรง
เมื่อเผชิญหน้ากับความเฉียบคมของอิ๋งซื่อ เว่ยอ๋องอยากที่จะสู้ต่อไปอีกยี่สิบปีเหลือเกิน แต่น่าเสียดายที่บัดนี้รู้สึกไร้เรี่ยวแรงเต็มที ผู้สืบทอดรัฐเว่ยก็บอบบางเหมือนสตรีเพศเพียงนี้…
เว่ยอ๋องมององค์ชายซื่อด้วยความล้ำลึก หลับตาลง
องค์ชายซื่อไม่เคยคิดลบและไร้ระเบียบเหมือนองค์ชายอั๋งเลย เว่ยอ๋องไม่รู้เลยว่าหากเขามอบบัลลังก์อ๋องให้แก่องค์ชายซื่อแล้ว ความว่านอนสอนง่ายของเขาจะพารัฐเว่ยไปในทิศทางใด?
หมิ่นฉือสังเกตทุกการกระทำของเว่ยอ๋อง หัวใจก็ค่อยๆ จมดิ่งลง ท่าทางเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าหวั่นไหวเข้าให้แล้ว
เรื่องที่องค์รัชทายาทอยู่ในรัฐฉินได้ถูกองค์ชายซื่อต้อนจนมุม แต่ว่าก็สูญเสียความไว้วางใจจากเว่ยอ๋องในเวลานี้เช่นกัน
นี่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด! หมิ่นฉือลอบวางแผนอยู่ในใจ เขาควรถอนตัวจากการแข่งขันครั้งนี้หรือว่าเผชิญกับความยากลำบากดีเล่า การสนับสนุนองค์รัชทายาทมันคุ้มค่าแล้วหรือไม่
หลังจากเว่ยอ๋องกินยาแล้วก็หลับไป พวกเขาถอยออกไปจากตำหนักเงียบๆ
หมิ่นฉือออกมาจากท้องพระโรงก็เห็นขันทีคนสนิทขององค์รัชทายาทอรอยู่ข้างนอก
องค์ชายซื่อเหลือบมองขันทีผู้นั้น กระตุกมุมปากยิ้มแล้วเดินลงบันไดไปโดยไม่หันมามอง
“ท่านหมิ่น องค์รัชทายาทขอเชิญขอรับ” ขันทีเอ่ยกระซิบ
“อืม นำทางเถิด” หมิ่นฉือทั้งจนปัญญาและชื่นชมกับการกระทำขององค์รัชทายาทเช่นนี้ การตามหาเขาอย่างเร่งรีบในเวลานี้เป็นการแสดงความขี้ขลาดต่อหน้าองค์ชายซื่ออย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ทว่าการที่องค์รัชทายาทสามารถมอบความไว้วางใจในช่วงวิกฤตนั้นเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
ขันทีนำทางหมิ่นฉือมาถึงห้องโถงเล็กที่ไว้สำหรับหารือกิจการบ้านเมือง “องค์ชายอยู่ข้างใน ไม่จำเป็นต้องรายงานตัว”
หมิ่นฉือพยักหน้า ผลักประตูเดินเข้าไป
องค์รัชทายาทที่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องโถงเดินเข้ามารับหน้าอย่างรวดเร็ว “ท่านหมิ่น เสด็จพ่อคิดจะกำจัดข้าเช่นนั้นหรือ?”
“องค์ชายโปรดอย่าร้อนใจ” หมิ่นฉือเดินไปยังหน้าโต๊ะรินน้ำแก้วหนึ่งแล้วยื่นให้เขา “ยิ่งในเวลานี้ องค์ชายยิ่งต้องสงบสติอารมณ์”
องค์รัชทายาทรับถ้วยชามา ข่มความกระวนกระวายใจ ฝืนจิบคำหนึ่ง
หมิ่นฉือกล่าวว่า “ท่านอ๋องมิได้หนักแน่นเช่นก่อนหน้านี้แล้ว ตามความเห็นของกระหม่อม คนที่เปลี่ยนความคิดของท่านอ๋องไม่ใช่องค์ชายซื่อ หากแต่เป็นองค์ชายเอง”
องค์รัชทายาทหลุบตาลง เอ่ยว่า “ข้ารู้…”
“ในอดีต ขณะที่ท่านอ๋องสุขภาพแข็งแรงก็สามารถจัดการเรื่องบ้านเมืองได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นหัวใจของความเมตตากรุณาขององค์ชายจึงไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้กองทัพฉินกำลังตีเข้ามาอย่างดุเดือด ท่านอ๋องไม่อาจจัดการเองได้ สิ่งที่อยากเห็นในใจคือผู้สืบทอดบัลลังก์ที่เข้มแข็งและฉลาด! องค์ชายต้องทำให้ได้พ่ะย่ะค่ะ!” หมิ่นฉือกล่าวด้วยความจริงใจ
องค์รัชทายาทกุมถ้วยชาไว้แน่น บนใบหน้าที่ขาวสะอาดมีความเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ข้าไม่เคยละเลยเรื่องการเมือง ทว่าเสด็จพ่อนอนป่วยอยู่บนเตียง ในใจข้าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ข้าแค่อยากทำหน้าที่ลูกกตัญญูในช่วงที่ว่างเว้นจากความยุ่งเหยิง”
หมิ่นฉือเงียบไปไม่กี่อึดใจ “องค์ชายเมตตาและกตัญญู” หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งเขาก็ถามขึ้น “องค์ชายเข้าใจฉินอ๋องมากน้อยเพียงใด?”
“ไม่เคยพบหน้าแต่ก็นับว่ารู้จักดี ปกติแล้วเสด็จพ่อมีความแค้นต่อเขาอย่างใหญ่หลวง ทว่าก็กลับชื่นชมวิธีการจัดการกิจการบ้านเมืองของเขาต่อหน้าข้า” องค์รัชทายาทเอ่ย
เว่ยอ๋องต่อต้านรัฐฉินมาถึงสามชั่วอายุคน ในรัชสมัยฉินเซี่ยนกง รัฐฉินยากจนมาก แม้แต่อาวุธและเสื้อเกราะของเหล่ากองทัพก็ยับเยินจนดูไม่ได้ บัดนั้นรัฐเว่ยเป็นเจ้าแห่งจงหยวน ภายใต้กำลังที่ไม่เท่าเทียมกันเช่นนี้ แม้ว่าฉินเซี่ยนกงจะกล้าหาญและเก่งในการทำสงครามก็ยากที่จะต้านทานเว่ยอ๋องผู้ทรงอำนาจ ส่วนในรัชสมัยของฉินเซี่ยวกง รัฐเว่ยถูกบีบจนถอยร่นไปทีละน้อย ความแค้นของเว่ยอ๋องยิ่งซับซ้อนขึ้น มีทั้งความเสียใจที่ปล่อยให้ซางยางไปและมีทั้งความเคียดแค้นต่อฉินเซี่ยวกงและซางยาง…จนมาถึงอิ๋งซื่อ ความทรงพลังของเขาที่ไม่อาจก้าวข้ามได้ รวมถึงความเด็ดขาด ไหวพริบและความโหดเหี้ยมในระหว่างที่กำลังต่อสู้ได้กลับกระตุ้นจิตวิญญาณที่ถูกทำลายจนเหลือไม่มากของเว่ยอ๋องขึ้นมาอีกครั้ง
“องค์ชายเห็นว่าบุคคลนี้เป็นอย่างไร?” หมิ่นฉือถาม
องค์รัชทายาทครุ่นคิด “ไร้หัวใจไม่มีความเมตตาและเยือกเย็น”
ครั้นได้ยินคำตอบเช่นนี้ หมิ่นฉือก็ได้แต่ลอบถอนหายใจ: เมื่อจุดยืนในการมองเห็นปัญหาต่างกัน การมองเห็นสิ่งต่างๆ ย่อมต่างกันตามคาด!
องค์รัชทายาทนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนเสริมว่า “ฉลาดและเด็ดขาด”
หมิ่นฉือจึงพยักหน้าด้วยความชื่นชมเล็กน้อย “ถูกต้อง แต่ใช่ว่าองค์ชายไม่รู้ ท่านอ๋องรอคอยที่จะได้เห็นกษัตริย์ผู้เด็ดเดี่ยวที่สามารถต่อกรกับเขาได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เว่ยอ๋องมีความทะเยอทะยาน ทว่าช่วยไม่ได้ที่บัดนี้อายุมากแล้ว เวลาที่เหลืออยู่ก็มีไม่มากแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเพราะความปรารถนาของเว่ยอ๋องเองหรือความต้องการในอนาคตของรัฐเว่ยก็ตาม เขาก็หวังจะได้เห็นผู้สืบทอดบัลลังก์เยี่ยง
อิ๋งซื่อ
องค์รัชทายาทตระหนักได้ในทันที สะบัดแขนเสื้อกว้าง ค้อมคำนับต่ำ “ได้โปรดท่านชี้แนะข้า!”