กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 338 กุนซือไร้ศีลธรรม
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย หมิ่นฉือก็คำนับด้วยความถ่อมตัว “องค์ชายนับถือนักปราชญ์ กระหม่อมนับถือยิ่ง”
หลายปีมานี้องค์รัชทายาทรับแขกที่ปรึกษาเข้ามาไม่น้อย แต่เป็นเพราะความชอบในการใช้คนของเขาบวกกับการขัดขวางจากองค์ชายซื่อ แขกที่ปรึกษาในจวนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ส่งเสริมคุณธรรม ความชอบธรรมและมารยาท แม้แต่คนที่มีความเฉลียวฉลาดเพียงไม่กี่คนก็ยังระมัดระวังในเรื่องเหล่านี้ หลายครั้งไม่ใช่เพราะไม่คาดคิดทว่าไม่เต็มใจที่จะทำมากกว่า
เมื่อองค์รัชทายาทยืดตัวตรง หมิ่นฉือก็กล่าวว่า “องค์ชายไม่คิดว่าสองปีนี้องค์ชายซื่อเปลี่ยนไปมากหรือ?”
องค์รัชทายาทกล่าวว่า “แน่นอน ความคิดของเขาล้ำลึกกว่าเมื่อก่อนมากและยิ่งสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี”
ในอดีตองค์ชายซื่อเป็นคนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ กระทำการใดก็ขาดความใจเย็น เพื่อไม่ให้องค์รัชทายาทได้อยู่สบายแล้ว แม้กระทั่งคำพูดไม่กี่คำเขาก็จะพูด อย่างไรก็ดีสองปีมานี้เขากลับสงบนิ่งอย่างคาดไม่ถึง
หมิ่นฉือรักษาระยะห่างทางความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทและองค์ชายซื่อมาโดยตลอด ไม่เคยให้คำแนะนำใคร แต่เขาได้ตัดสินใจแล้วที่จะสนับสนุนองค์รัชทายาท ทว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่เคยคลายการสังเกตองค์ชายซื่อแม้แต่เค่อเดียว
หมิ่นฉือพูดเสียงต่ำ “ตอนที่กระหม่อมอยู่ในรัฐเว่ย์ได้รู้จักกับคนหนึ่ง เขาคือลูกชายคนโตของสกุลตู้แห่งต้าเหลียง”
หลังจากที่เขาข่มความรู้สึกตื่นตระหนกในใจขององค์รัชทายาทได้แล้วก็กลับทิ้งสาเหตุที่องค์ชายซื่อเปลี่ยนไป และเปลี่ยนหัวข้อมาที่ตู้เหิงแทน
“หรือว่า…เขาก็คือคนไร้ยางอายที่ขุดหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ!” องค์รัชทายาทประหลาดใจยิ่ง ไม่ทันสังเกตว่าหัวข้อสนทนาได้เปลี่ยนไปแล้ว
แม้ฉินและเว่ยเป็นศัตรูกัน ต่อสู้จนตายกันไปข้าง ในรอบร้อยปีพวกเขาก็ไม่เคยทำสิ่งที่ไร้ยางอายเช่นนี้ต่อกัน
“ถูกต้อง” เมื่อหมิ่นฉือเห็นความรังเกียจในดวงตาของเขา ก็ไม่รู้สึกรำคาญแต่กลับอดทนอธิบาย “กระหม่อมกับเขาเพียงติดต่อกันผิวเผิน สิ่งที่กระหม่อมต้องการบอกองค์ชายคือ ฮูหยินรองขององค์ชายซื่อก็คือน้องสาวของตู้เหิง”
องค์รัชทายาทรู้สึกสนใจ พูดว่า “นี่ไม่ใช่ความลับ”
“พ่ะย่ะค่ะ ก็เพราะสาเหตุนี้ ชาวฉินไม่มีทางที่สืบไม่เจอความสัมพันธ์นี้ แล้วเหตุใดพวกเขากลับบอกว่าตู้เหิงได้รับบัญชาจากองค์ชายเล่า?” หมิ่นฉือค่อยๆ ชี้นำความคิดขององค์รัชทายาท
“ชาวฉินคิดจะกำจัดข้า?” องค์รัชทายาทเดาผลลัพธ์ที่เขาไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ
“องค์ชายทรงพระปรีชา” หมิ่นฉือให้ความเห็นชอบทันที จากนั้นจึงอธิบายต่อ “เหตุผลที่ชาวฉินต้องการกำจัดองค์ชาย ไม่มีอะไรมากไปกว่าการพยายามทำให้องค์ชายต่อสู้กับองค์ชายซื่อ พวกเขาก็เพียงนั่งเก็บเกี่ยวผลประโยชน์”
แม้ว่ารัฐเว่ยจะไม่ใช่เจ้าแห่งใต้หล้าอีกต่อไปแต่ก็ยังคงเป็นเสือตัวหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะพลังงานส่วนใหญ่ขององค์รัชทายาทถูกองค์ชายซื่อเบี่ยงเบนไป รัฐฉินจะโจมตีนครได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?
“วิธีการของรัฐฉินโหดร้ายยิ่ง แม้ว่าองค์ชายจะรู้เจตนาของรัฐฉินโดยข้อมูลเชิงลึกแล้วก็ต้องสู้” หมิ่นฉือกล่าว
องค์รัชทายาทพยักหน้า เคยมีแขกที่ปรึกษากล่าวถึงแผนการชั่วร้ายของรัฐฉิน ทว่าองค์ชายซื่อกัดไม่ปล่อย เขาก็ไม่สามารถเพิกเฉยได้ “ท่านมีวิธีคลี่คลายสถานการณ์หรือไม่?”
หมิ่นฉือเอ่ย “ที่จริงการคลี่คลายสถานการณ์นั้นไม่ยาก ขึ้นอยู่ว่าองค์ชายจะทำได้หรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้องค์รัชทายาทก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “ท่านเชิญพูด”
“ข้อหนึ่งคือเชิญท่านอ๋องลงจากบัลลังก์” หมิ่นฉือจ้องหน้าองค์รัชทายาท สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปตามคาด
เขาไม่รอให้องค์รัชทายาทคัดค้าน ก็พูดต่อทันที “ข้อสองคือยืมโอกาสอันดีนี้สังหารองค์ชายซื่อ”
“เจ้า…เจ้า…” ใบหน้าขององค์รัชทายาทซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก ไม่สามารถพูดอะไรได้ไปชั่วขณะ เขาไม่ได้กลัวทว่าไม่เคยคิดวิธีที่ไร้คุณธรรมเช่นนี้
“องค์ชาย” หมิ่นฉือยกกาน้ำชาขึ้นแล้วรินชาให้เขาต่อ ในเสียงน้ำไหลจ้อกนั้นเจือปนเสียงที่อ่อนโยนและสงบนิ่งของเขา “ต่อหน้าความชอบธรรมแล้วความรักในครอบครัวของราชวงศ์ช่างเบาบางเหลือเกิน? องค์ชายโปรดอย่าลืมราษฎรทั้งหมดของรัฐเว่ย ชนวนแห่งไฟสงคราม ภูเขาแม่น้ำแตกสลายที่ต้องแลกกับความกตัญญูและความนับพี่ถือน้องของท่านเพียงคนเดียว ราษฎรทั่วไปใต้หล้าทำผิดใด? ประชาชนทำผิดใด?”
หลายปีมานี้ หมิ่นฉือเข้าใจอุปนิสัยขององค์รัชายาทเป็นอย่างดี ทุกประโยคบังคับให้เขาต้องเลือกระหว่างความชอบธรรมและความรักในครอบครัว
“ไม่มีทางอื่นให้เดินหรือ?” องค์รัชทายาทถามพึมพำ
หมิ่นฉือตัดสินใจที่จะทดสอบองค์รัชทายาทเป็นครั้งสุดท้าย ความเมตตากรุณาไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เพียงแต่กลัวว่าเขาจะอ่อนแอเพราะมัน เขาจึงให้ทางเลือกสำรองโดยไม่ลังเล “เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว กระหม่อมสามารถให้องค์ชายได้เพียงสามทางเลือก เชิญท่านอ๋อนลงจากบัลลังก์ สังหารองค์ชายซื่อ ยังมีอีกทางเลือกหนึ่ง…องค์ชายยอมละทิ้งตำแหน่งผู้สืบทอดบัลลังก์เสียเอง ทำให้พึงพอใจทั้งสองฝ่าย”
การสละตำแหน่งก็เท่ากับเป็นการยอมแพ้ต่อชีวิต องค์รัชทายาทเป็นพี่น้องแท้ๆ กับองค์ชายซื่อ ทั้งยังต่อสู้กันมาหลายปี ย่อมรู้จักเขาดีกว่าใครๆ ทั้งหมดเป็นธรรมดา ด้วยนิสัยใจคอเขา ถ้าไม่รีบฆ่าเขาก็จะไม่มีวันหยุดอย่างแน่นอน…แต่ว่า…
หมิ่นฉือสังเกตสีหน้าขององค์รัชทายาท หัวใจค่อยๆ จมดิ่งลง
“เห็นที มีเพียงข้าตายไปแล้วจึงจะสามารถทำให้รัฐเว่ยสงบได้!” พ่อลูกและความเป็นพี่น้องไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ
หมิ่นฉือได้ยินดังนี้ก็ลุกขึ้นทันที “องค์ชายซื่อผู้นี้ดื้อรั้นและมีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง จิตใจคับแคบ หากรัฐเว่ยอยู่ในมือของเขาก็เท่ากับล่มจม ในเมื่อองค์ชายมีความคิดเช่นนี้ กระหม่อมก็จะกลับไปเขียนหนังสือลาออกเพื่อหาทางออกอื่น”
หลังจากทิ้งประโยคนี้ หมิ่นฉือก็ไม่สนใจสีหน้าที่เปี่ยมด้วยความตกตะลึงขององค์รัชทายาทอีกและสาวเท้าจากไป
เมื่อองค์รัชทายาทได้สติคืนมา หมิ่นฉือก็ออกไปจากท้องพระโรงแล้ว เขามองดูแผ่นหลังที่ไกลออกไปนั้นพลางจมอยู่ในความคิด
หมิ่นฉือเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการทรยศและหาประโยชน์จากซ่งชูอีลับหลัง ทว่าสำหรับจวินองค์หนึ่งแล้ว การมีนิสัยดีหรือไม่นั้นไม่ใช่สิ่งสำคัญตราบใดที่มีความสามารถ หากจะกลัวก็กลัวที่หมิ่นฉือจะลอบยิงธนูเย็นจากข้างหลังหรือไม่!
องค์รัชทายาทไม่ได้ตั้งใจจะมีอะไรกับเขาในตอนแรก ทว่าแขกที่ปรึกษาในจวนแนะนำให้ดึงเขาเข้ามา อีกทั้งองค์รัชทายาทเห็นว่าองค์ชายซื่อตีสนิทเขาโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ดังนั้นจึงแสดงความโปรดปรานต่อเขาออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
องค์รัชทายาทไม่ชอบนิสัยของหมิ่นฉือ ดังนั้นจึงมิได้พยายามดึงเขาเข้ามามากนักในเริ่มแรก อย่างไรก็ดีหลังจากได้คลุกคลีกันมาหลายปี เขาก็ค่อยๆ รู้สึกว่าหมิ่นฉือมีความรู้และเจ้าแผนการ เป็นคนที่ซื่อสัตย์และบริสุทธิ์ไม่แย่เหมือนข่าวลือ ดังนั้นจึงผูกมิตรกับเขาด้วยความเต็มใจ
วันนี้หมิ่นฉือสะบัดแขนเสื้อจากไป ในใจขององค์รัชทายาทย่อมรู้สึกขุ่นเคืองไม่มากก็น้อย ทั้งไม่เชื่อจากก้นบึ้งของหัวใจว่าเขาจะลาออกจริงๆ สุดท้ายแล้วชื่อเสียงของเขาก็ถูกฝากไว้ที่นี่ ทันทีที่ออกจากรัฐเว่ยก็ยากที่จะมีโอกาสโดดเด่นอีกครั้ง
ทว่าแทบจะอยู่นอกเหนือความหมายขององค์รัชทายาท ไม่ช้าหมิ่นฉือก็นำหนังสือลาออกมาถึงโต๊ะของเขา ส่งมอบตราประจำตำแหน่งและเครื่องแบบข้าราชการเข้ามาพร้อมกัน
องค์รัชทายาทจึงเข้าใจว่าหมิ่นฉือต้องการจะลาออกจริงๆ! หมิ่นฉือเป็นคนที่เสด็จพ่อทุ่มพลังไปมากเพื่อให้ได้มา หากเขาต้องการเดินจากไป ก็ต้องหาเวลาไปลาออกกับเว่ยอ๋องด้วยตัวเอง เสด็จพ่อไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน ทว่าเขากลับหลีกเลี่ยงเว่ยอ๋องและให้ตนจัดการเรื่องนี้! อีกทั้งคำพูดที่จริงใจในจดหมายแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจที่จะไปจากรัฐเว่ยนั้นเด็ดเดี่ยว
นี่ทำให้องค์รัชทายาทต้องคิดทบทวนอีกครั้ง หรือว่าการที่องค์ชายซื่อขึ้นครองราชย์จะทำลายรัฐเว่ยจริงๆ?
“เด็กๆ!” องค์รัชทายาทวางสมุดไผ่ลง เปล่งเสียงดัง
“พ่ะย่ะค่ะ!”
“ไปเชิญหรงจวี้กับซือเจ้าเข้ามา”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีรับคำสั่งออกไป ไม่ช้าหรงจวี้กับซือเจ้าก็เข้ามาในตำหนัก
สองคนนี้ติดตามองค์รัชทายาทมากกว่าสิบปี นับได้ว่าเป็นแขกที่ปรึกษาคนสนิทที่ไว้ใจได้ การดึงหมิ่นฉือเข้ามาก็เป็นสองคนนี้ที่แนะนำ
“ท่านทั้งสองเชิญอ่านดู” องค์รัชทายาทผลักจดหมายลาออกของหมิ่นฉือไปข้างหน้า
ขันทีหยิบมันขึ้นมาและยื่นให้ทั้งสองคน
หลังจากทั้งสองอ่านจบแล้วก็งุนงง หรงจวี้เอ่ยถาม “บังอาจทูลถามองค์ชาย เหตุใดอยู่ดีๆ หลางจงฝ่ายขวาถึงจะลาออกเล่า?”
องค์รัชทายาทสั่งให้ทุกคนออกไป แล้วเล่าบทสนทนาในวันนั้นโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
หรงจวี้กับซือเจ้ามองหน้ากัน เงียบงันครู่หนึ่ง ทั้งสองก็คุกเข่าลงกลางท้องพระโรงพร้อมกัน ซือเจ้ากล่าวว่า “หากองค์ชายมีความคิดเช่นนี้จริงๆ พวกกระหม่อมก็ขอลาออกเช่นกัน”
ไม่กี่สิบปีก่อนหน้านี้ แขกที่ปรึกษาผูกติดกับชีวิตและความตายกับผู้เป็นนาย หากวันใดวันหนึ่งที่ความเห็นไม่ตรงกันก็สามารถแยกทางได้ตลอดเวลา
องค์รัชทายาทเงียบงัน
หรงจวี้กล่าวด้วยความเจ็บปวด “พวกข้ามีความฝันที่จะปกครองบ้านเมืองเพื่อสร้างสันติภาพในใต้หล้า นับตั้งแต่เข้ารัฐเว่ยมาก็มั่นใจว่าองค์ชายจะสามารถเป็นกษัตริย์ที่ดีพร้อมด้วยความเมตตากรุณาและความชอบธรรม นั่นคือเหตุผลที่ไม่ลังเลที่จะเสียเวลามากกว่าสิบปี หากองค์ชายมีความคิดเช่นนี้ในสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อแล้วจะให้พวกกระหม่อมทนได้อย่างไร!”
ครั้นสิ้นวาจา ทั้งสองคนก็น้ำตานองหน้า
คนเราจะอยู่ได้สักกี่สิบปีกัน? ทั้งสองคนอดทนรออย่างใจเย็นจากวัยเยาว์ที่เลือดร้อนและบ้าบิ่นจนกระทั่งศีรษะขาวโพลนอย่างทุกวันนี้ สิบปีแห่งความคาดหวัง สิบปีแห่งการทำงานหนัก อีกนิดเดียวก็จะบรรลุเป้าหมายแล้ว ทันใดนั้นก็สลายไปราวกับสายน้ำ มันยากเกินกว่าที่คนธรรมดาจะรับไหว
“ท่านทั้งสองรีบลุกขึ้นเถิด เพราะข้าเลอะเลือนเอง” องค์รัชทายาทเข้าไปประคองทั้งสองคนด้วยตัวเอง
พวกเขายกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตา
หรงจวี้กล่าวว่า “องค์ชายจะต้องรั้งหมิ่นฉือไว้ถึงจะถูก ท่านอ๋องฝ่าลมฝนมาช้านาน ต้องใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อเชิญเขาเข้ารัฐเว่ย เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์! สิ่งที่หมิ่นฉือทำนั้นเรียกได้ว่าร้ายกาจและไร้คุณธรรม ทว่าซ่งหวยจินและจางอี๋แห่งรัฐฉินจะดีกว่ากันสักเท่าไรเชียว? องค์ชาย สำนักยุทธพิชัยมีคำกล่าวว่าไม่มีหลอกลวงใดในสงครามที่มากเกินไป คนเยี่ยงพวกเขา ขอเพียงใช้งานให้ดีย่อมเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง”
“ข้าจะเก็บเขาไว้” องค์รัชทายาทเชิญพวกเขานั่งลง “อีกสองทางเลือกที่หมิ่นจื๋อห่วนได้ให้ไว้ ท่านทั้งสองเห็นเยี่ยงไร?”
ทั้งสองครุ่นคิดครู่หนึ่ง หรงจวี้เอ่ยว่า “ล้วนสามารถทำได้”
“ถูกต้อง” ซือเจ้าพยักหน้า “สองวิธีนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการยุติสถานการณ์ปัจจุบัน การเชิญท่านอ๋องลงจากบัลลังก์อาจเป็นเรื่องยากกว่าและไม่มีเหตุผลที่พอเพียง ในทางตรงกันข้ามมันเป็นไปได้มากกว่าที่จะใช้โอกาสนี้กำจัดองค์ชายซื่อ ในเมื่อหมิ่นจื๋อห่วนสามารถกล่าวออกมาได้ จะต้องมีแผนในใจแน่นอน”
ชั่วชีวิตนี้องค์รัชทายาทไม่เคยคิดที่จะสังหารน้องชายของตนเลย แม้ว่าจะตัดสินใจไปแล้วแต่หัวใจก็ยังคงสับสนวุ่นวาย
ซือเจ้านึกถึงคำบอกเล่าขององค์รัชทายาทเมื่อครู่ ถามด้วยความสงสัย “องค์ชาย หมิ่นจื๋อห่วนได้กล่าวถึงเหตุผลที่ความสุขุมขององค์ชายซื่อยิ่งล้ำลึกขึ้นทุกทีหรือไม่?”
องค์รัชทายาทพยักหน้า
“กระหม่อมคิดว่าเป็นผลงานของสวีจ่างหนิง” หรงจวี้กล่าว “มันชัดเจนมากเลยมิใช่หรือ? องค์ชายซื่อขัดขวางมิให้องค์ชายดึงสวีจ่างหนิงเข้ามา แต่กลับให้เขาเป็นรักษาการณ์มณฑล ทว่าท่านดูสองปีนี้เถิด องค์ชายซื่อกลับพึ่งพาสวีจ่างหนิงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่น้องสาวร่วมมารดาก็ยังยกให้เขาแล้ว”
หรงจวี้พ่นลมหายใจเย็นชา “สวี่จ่างหนิงผู้นี้เป็นผู้ต่ำต้อยที่ไร้ศีลธรรม ทำดีกับองค์ชายในตอนแรก เพียงไม่กี่วันก็ย้ายข้างไปหาองค์ชายซื่อ!”
ซือเจ้าไม่ประหลาดใจเลย “ปรมาจารย์เมิ่งกล่าวได้ถูกต้อง พวกกุนซือไม่มีอะไรมากไปกว่าวิถีของนางบำเรอ! เหล่ากุนซือพวกนั้นไม่มีความซื่อสัตย์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”
กลยุทธ์จ้งเหิงของกงซุนเหยี่ยนและจางอี๋ทำให้ใต้หล้าปั่นป่วน ศิษย์ของเมิ่งจื่อจิ่งชุนกล่าวว่า: กงซุนเหยี่ยนและจางอี๋มิใช่ลูกผู้ชายตัวจริงหรอกหรือ? ทันทีที่พวกเขาเกรี้ยวกราด แม้แต่เหล่าจูโหวก็ยังหวาดกลัว หากพวกเขาอยู่ในบ้านอย่างสงบ ใต้หล้าก็จะสันติสุข
เมิ่งจื่อกล่าวว่า: พวกเขาจะเรียกว่าลูกผู้ชายได้อย่างไร? เจ้าไม่เคยเรียนมารยาทหรือ? เมื่อชายหนุ่มเข้าพิธีสวมกวน ผู้เป็นพ่อก็จะสั่งสอนเขา เมื่อหญิงสาวออกเรือน ผู้เป็นแม่ก็จะสั่งสอนนาง ส่งนางที่หน้าประตูแล้วบอกว่า “เมื่อไปถึงบ้านเจ้า จะต้องมีความเคารพและระมัดระวัง อย่าได้ละเมิดผู้เป็นสามี!” การเชื่อฟังเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นหลักเหตุผลที่เหล่าสะใภ้พึงปฏิบัติตาม
ความหมายของเขาก็คือนักยุทธศาสตร์ก็เป็นเหมือนกับนางบำเรอ พวกนางรับใช้ตามความชอบของผู้ชายและไม่กล้าละเมิดพวกเขา
โดยส่วนตัวแล้วหรงจวี้คิดว่าคำพูดนี้โหดร้ายไปบ้าง ทว่าองค์รัชทายาทสนับสนุนสำนักขงจื่อ เคารพเมิ่งจื่อ เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรได้ ทำเพียงได้ข้ามหัวข้อนี้ไป “หมิ่นจื๋อห่วนจงใจเอ่ยถึงสวีจ่างหนิงมีความหมายอะไรลึกซึ้งหรือเปล่า? อย่างไรเสียองค์ชายก็พบเขาอีกสักครั้งจะดีกว่า”