กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 340 เป็นศัตรูซึ่งหน้า (1)
เมื่อได้ยินว่าจะไม่ทำร้ายชีวิตขององค์ชายซื่อในขณะนี้ องค์รัชทายาทจึงรับปากว่าจะจัดกำลังคนเพื่อสกัดกั้นจดหมายทันที
หมิ่นฉือสั่งให้คนคอยสอดส่องสวีจ่างหนิงเป็นเวลานาน ด้วยเหตุนี้จึงส่งคนข้างกายเข้ามาร่วมมือด้วย
แสงจันทร์สว่างไสว ทั่วทั้งลานถูกปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง
หมิ่นฉือสั่งให้คนออกไปทั้งหมดแล้วไปที่ลานด้านหลังตามลำพัง นำกรงนกพิราบออกจากถ้ำเทียมที่มุมหนึ่ง หยิบแถบผ้าไหมสีแดงออกจากหน้าอกแล้วรัดที่ขาของนกพิราบให้แน่น ทันทีที่ยกแขนเสื้อขึ้น นกพิราบก็กระพือปีกหายไปในยามวิกาล
เขากลับไปที่ห้อง นำกรงนกพิราบไม้ใส่ในเตาอั้งโล่ เอามือสอดไว้ในแขนเสื้อแล้วนั่งลง มองดูกรงที่ถูกไฟกลืนกินเงียบๆ
เขาอยู่ในรัฐเว่ยมาหลายปีแต่กลับไม่ได้ทำอะไรเลย
เขารู้จักกับตู้เหิงมาเป็นเวลาสิบปีแล้ว รู้ว่าเขาไม่ใช่สุภาพบุรุษแต่เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะเลวร้ายถึงขั้นขาดศีลธรรมและขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษของคนอื่น ท้ายที่สุดเขาก็เดินเขาไปสู่หลุมพลางจริงๆ
หมิ่นฉือไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกที่ตู้เหิงมีให้ตู้เจา เขาไม่เคยลิ้มรสความรักจากการทรยศคนอื่นเช่นนี้ ยิ่งไม่เคยแม้แต่ตกหลุมรักกับผู้หญิงคนไหนและไม่สนใจความรักแบบเด็กๆ
เขามีมิตรภาพกับตู้เหิงมาสิบปี การตายของเขาคือความเจ็บปวดในใจของหมิ่นฉือ ทว่าเขาก็พบกับสิ่งที่เป็นประโยชน์มากมายเช่นกัน
ตู้เหิงต้องการสนับสนุนให้ตู้เจาได้เป็นหวังโฮ่วแห่งรัฐเว่ย แน่นอนว่าได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับพระราชวังเว่ยอ๋องไปมาก หมิ่นฉือใช้เวลาสองปีกว่าจะพบงานอันปราณีตที่ตู้เหิงแทรกซึมเข้าไปในพระราชวังรัฐเว่ย ทั้งยังค้นพบวิธีติดต่อสื่อสารของเขา มิฉะนั้นเขาก็คงไม่สามารถรับจดหมายลับที่ตู้เหิงส่งให้กับตู้เจาจากรัฐฉินได้
“ปาสู่ หึ” หมิ่นฉื่อยิ้มเยาะ
ในจดหมายลับกล่าวว่ากองทัพใหม่ของรัฐฉินอยู่ในปาสู่ เขาเดาว่ารัฐฉินจะลงมือกับรัฐฉู่ก่อน ดังนั้นฉันจึงเชื่อในตอนแรกแต่หลังจากวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วกลับพบว่ามันไม่น่าเชื่อถือ
ตู้เหิงแลกเปลี่ยนด้วยชีวิต คิดไม่ถึงว่ามันจะเป็นข่าวปลอม ไม่เพียงแค่นั้นแต่จดหมายฉบับนี้ยังแต่งแต้มด้วยธูปติดตามอีกด้วย
จะต้องเป็นเพราะความเคียดแค้นที่อิ๋งซื่อมีต่อผู้ที่อยู่เบื้องหลังการขุดสุสานเป็นแน่ จึงต้องการที่จะมั่นใจว่าผู้นั้นคือใครกระมัง!
หมิ่นฉือหยิบสมุดไผ่ขึ้นมา เขียนข้อโต้แย้งของตัวเองต่อ
ในเตาอั้งโล่ส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ จนกระทั่งรูปทรงของกรงนกพิราบพังทลายลงจนกลายเป็นกองขี้เถ้า หมิ่นฉือจึงหยุดพัก แสงยามรุ่งอรุณเผยให้เห็นนอกหน้าต่างแล้ว
เขาสั่งให้สาวใช้เข้ามาปรนนิบัติเปลี่ยนเสื้อและล้างหน้าล้างตา จากนั้นก็นั่งลงในห้องกินข้าวเพื่อกินอาหารเช้าช้าๆ
“ท่าน! ในวังส่งคนเข้ามาเชิญท่านด่วนขอรับ!” พ่อบ้านกล่าวอย่างกระหืดกระหอบอยู่ด้านนอก
หมิ่นฉือยกมือขึ้น สาวใช้ส่งน้ำให้ถึงมือ เขาบ้วนปากอย่างสงบนิ่ง ลุกขึ้นจัดกระชับเสื้อผ้าแล้วเดินออกไป
เมื่อมาถึงพระราชวัง ก็รีบเดินตามเด็กรับใช้เข้าไปในห้องบรรทมของเว่ยอ๋อง ผู้คนหมอบกราบเต็มพื้น เสียงสะอื้นไห้อย่างสิ้นหวังดังระงมไปทั่ว
องค์รัชทายาทฟุบอยู่หน้าเตียง ดวงตาบวมเป่งดุจลูกวอลนัทคู่หนึ่ง
หมิ่นฉือคุกเข่าลงหน้าเตียง จากนั้น ไว่เซียง (ขุนนางกระทรวงต่างประเทศ) ฮุ่ยซือและองค์ชายซื่อก็รุดเข้ามา
“อ๋องข้า!”
ทันทีที่ฮุ่ยซือเห็นว่าเว่ยอ๋องบนเตียงสีหน้าซีดขาวก็ตื่นตระหนก ล้มลงหน้าเตียงทันที
องค์ชายซื่อก้าวเท้ายาวๆ หน้าเตียง ยื่นมือสำรวจลมหายใจของเว่ยอ๋อง เอ่ยด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด “เป็นไปไม่ได้ เมื่อวานเสด็จพ่อยังดีๆ อยู่เลย!”
วินาทีที่พบว่าเว่ยอ๋องสิ้นนั้น อารมณ์แรกที่ปรากฏขึ้นในใจขององค์ชายซื่อมิใช่ความเศร้าโศกแต่เป็นความหวาดกลัว สถานการณ์ที่เขากำลังอยู่ในขณะนี้ไม่เอื้ออำนวยเลย เมื่อเว่ยอ๋องสิ้น ตัวเขายังอยู่ในต้าเหลียง พื้นที่พระราชทานนั้นอยู่ไกลเกินไป กองทัพของเขาไม่พอเพียง ทันทีที่องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์เขาคิดจะทำอย่างไรกับเขาย่อมได้!
ฮุ่ยซื่อซับน้ำตาด้วยแขนเสื้อ ลุกขึ้นพยุงองค์รัชทายาท “หัวใจของท่านอ๋องกังวลเกี่ยวกับสงครามมากที่สุด กระหม่อมขอให้องค์ชายหักห้ามใจ รีบกอบกู้สถานการณ์โดยเร็วที่สุด บ้านเมืองจะขาดจวินไม่ได้”
องค์ชายซื่อตำหนิอย่างเย็นชา “ไว่เซียงเยี่ยงเจ้ามีสิทธิ์ใดก้าวก่ายกิจการภายใน!”
เสียงของหลางจงฝ่ายซ้ายแหบแห้ง เอ่ยเชื่องช้า “ไว่เซียงก็เป็นขุนนาง ท่านอ๋องเคยตรัสไว้ว่าหากไม่มีมหาเสนาบดี
ฮุ่ยจื่อมีสิทธิ์เต็มที่ในฐานะมหาเสนาบดี แต่ว่ากระหม่อมคิดว่าคำพูดขององค์ชายซื่อก่อนหน้านี้ก็มีเหตุผล ท่านมหาเสนาบดีได้รับคำสั่งจากท่านอ๋องให้ออกรบเมื่อห้าวันก่อน เมื่อวานท่านอ๋องยังกระปรี้กระเปร่าอยู่เลย วันนี้กลับไม่ทันได้สั่งเสียสักคำและไม่มีใครในวังนี้สังเกตเห็น! จะไม่มีเงื่อนงำได้อย่างไร?”
ในเวลานี้องค์รัชทายาทที่กำลังจมอยู่ในการโจมตีและความเศร้าโศกครั้งใหญ่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลางจงฝ่ายซ้ายกับองค์ชายซื่อสนิทกันมาก เขาช่วยกันกัดเรื่องนี้ไม่ปล่อยเป็นเพราะอะไรกัน? เพียงต้องการปกป้องชีวิตหรือว่า…
เขารู้สึกสับสนในใจ มองไปที่หมิ่นฉือโดยไม่รู้ตัว
หมิ่นฉือสบตาของเขา ขมวดคิ้วกันเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น
องค์รัชทายาทละสายตา
หมิ่นฉือจึงเอ่ยว่า “กระหม่อมก็รู้สึกว่ามีเงื่อนงำ ทว่ากระหม่อมเห็นด้วยกับคำพูดของท่านมหาเสนาบดี เรื่องสงครามสำคัญ บ้านเมืองจะขาดจวินไม่ได้แม้แต่วันเดียว ถ้าอย่างไรขอให้ท่านมหาเสนาบดีแต่งตั้งกษัตริย์พระองค์ใหม่โดยเร็วที่สุด”
ฮุ่ยซือเป็นคนเถรตรง เขาไม่ได้ชื่นชอบองค์รัชทายาทเท่าใด แต่เขาก็ดูหมิ่นองค์ชายซื่อเช่นกัน หากมีเขาเป็นผู้ดูแลสถานการณ์โดยรวมในขณะนี้ องค์รัชทายาทก็จะสามารถนั่งอยู่บนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง
องค์ชายซื่อและหลางจงฝ่ายซ้ายได้ยินเช่นนี้ก็มองหมิ่นฉือด้วยความประหลาดใจ ตามการอนุมานของพวกเขา มันน่าจะเป็นเพราะองค์รัชทายาทจงใจไล่มหาเสนาบดีกงซุนเหยี่ยนและท่านแม่ทัพจิ้นปี่ออกไป จากนั้นก็ฉวยโอกาสปลงพระชนม์ท่านอ๋องเพื่อขึ้นู่ตำแหน่งอ๋องโดยเร็ว
เช่นนั้นหมิ่นฉือมิใช่คนขององค์รัชทายาทหรอกรึ? เหตุใดต้องช่วยพวกเขาพูดด้วย!
“หลางจงฝ่ายขวากล่าวมีเหตุผล” ฮุ่ยซือเหลือบมองไปที่เว่ยอ๋องบนเตียงและเรียกขันทีคนสนิทเว่ยอ๋อง “ไปเชิญหมอหลวง”
ไม่ว่าเขาจะถูกสังหารหรือไม่ก็ตาม เว่ยอ๋องจะต้องได้รับการเห็นจากหมอหลวงก่อนที่เขาจะถูกบรรจุไว้ในโลงศพ เพื่อเป็นการสงบจิตใจข้าราชบริพาร ฮุ่ยซือทำเช่นนี้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง ไม่มีใครสามารถยับยั้งได้
ระหว่างที่รอหมอหลวงมาถึง ทุกคนในห้องโถงต่างคิดต่างกัน
ทันใดนั้นเวลาก็ดูยาวนานมาก
ยิ่งองค์ชายซื่อคิดถึงเรื่องนี้เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถจากไปได้ เมื่อจากไปแล้วหากไม่มีอะไรก็จะกลายเป็นมีอะไรทันที เมื่อเวลาผ่านไปอย่างช้าๆ เขาเสียใจมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เขาออกมาอย่างรีบร้อนเกินไปและไม่ได้พาสวีจ่างหนิงเข้าวังพร้อมกับเขา
เวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หมอหลวงหกคนก็เข้ามาในพระตำหนักตามลำดับ
“ท่านทั้งหลายเชิญ” ฮุ่ยซือกล่าว
องค์รัชทายาทหลบตัวไปด้านข้าง ทั้งหกคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตรวจสอบ
เมื่อทุกคนตรวจสอบเสร็จแล้ว ฮุ่ยซือถาม “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ทั้งหกคนยังไม่ได้ตอบ แต่ใบหน้าซีดเซียวของพวกเขาได้อธิบายปัญหาทั้งหมดแล้ว หัวหมอก้าวออกมาข้างหน้า เอ่ยว่า “เรียนมหาเสนาบดี ท่านอ๋องดื่มยาที่มีพิษสูงเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ!”
อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม “ขณะนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นพิษประเภทใด อย่างไรก็ตามยังมีคราบเลือดอยู่ในปากของท่านอ๋อง เห็นได้ชัดว่าถูกคนทำความสะอาดมาก่อน”
ใบหน้าขององค์รัชทายาทกลายเป็นสีเขียว เขาหันกลับไปถามขันทีอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าปรนนิบัติเสด็จพ่อตลอดเวลา เหตุใดเมื่อคืนจึงไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว!”
“บ่าวสมควรตาย!” ขันทีล้มลงกับพื้น ทั้งตัวสั่นเสียงกรอบแกรบ “เมื่อคืนบ่าวเผลอหลับไปอย่างประหลาด เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าท่านอ๋องกำลังหลับอยู่ บ่าวเรียกเบาๆ ท่านอ๋องก็ไม่ตอบ บ่าวนึกว่าท่านอ๋องกำลังหลับสนิทจึงไม่กล้ารบกวนอีก”
หากขันทีคนหนึ่งไม่มีหลักฐานก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ในที่สาธารณะส่งเดช ฮุ่ยซือรวบรวมคนในวังทั้งหมดเพื่อสอบปากคำเป็นการส่วนตัวทันที
แต่เด็กในวังทุกคนที่เฝ้ายามค่ำคืนต่างบอกว่าตนหลับไปครู่หนึ่ง อีกทั้งเวลาก็ไม่ต่างกันมาก ล้วนเป็นก่อนและหลังยามจื่อ
นั่นเป็นเวลาที่ทหารรักษาการณ์เปลี่ยนเวรยาม แม้ว่าจะไม่มีช่องว่างให้เจาะ แต่การที่ทุกคนในห้องโถงด้านในหลับไปนั้นย่อมเป็นจุดที่สังเกตเห็นได้ยากที่สุด
รัฐเว่ยไม่เหมือนกับรัฐฉิน ระบบการฝังคนเป็นไปพร้อมกับศพยังคงอยู่ เว่ยอ๋องไม่มีชีวิตอยู่ก็หมายความว่าคนในวังเหล่านี้ก็จะไม่มีชีวิตอยู่เช่นกัน พวกเขาทุกคนต่างหวังว่าเว่ยอ๋องจะมีชีวิตที่ยืนยาว