กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 342 ฝีมือของใคร
เนื่องจากมีการตอบสนองภายในของสวีจ่างหนิง ชาวฉินจึงสามารถจับตัวตู้เจาได้ตั้งแต่เริ่มสงครามและใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายส่งนางไปยังรัฐฉิน สถานะของตู้เจาถูกเปิดโปง ข่าวแพร่กระจายไปถึงรัฐเว่ย ขณะองค์ชายซื่อคิดจะฆ่าตู้เจาเพื่อเป็นการล้างมนทินให้ตัวเองอยู่นั้นก็พบว่าตู้เจาหายตัวไปแล้ว ดังนั้นจึงหานางบำเรอคนหนึ่งเป็นตัวตายตัวแทนทันที ทรมานนางจนแทบไม่สามารถแยกแยะรูปลักษณ์ได้ก่อนที่จะสังหารนางต่อหน้าสาธารณชน
คนในสกุลตู้ก็ถูกกวาดล้างทั้งหมดด้วยเหตุนี้
ลานของตู้เจาถูกปิดตั้งแต่บัดนี้ นกพิราบที่อยู่ข้างในตายเพราะความหิวโหยนานแล้ว เหลือเพียงกรงนกเท่านั้น
เมื่อตู้เจาตายแล้ว คนที่ปล่อยนกพิราบเป็นใครนั้นก็พร้อมที่จะปรากฏ…
ตอนที่อิ๋งซื่อได้รับข่าวนี้ เขากำลังหารือการเมืองกับชูหลี่จี๋ที่มุมหอคอย
หิมะตกอีกครั้ง
เตาไฟข้างกายลุกช่วง อิ๋งซื่อลุกขึ้นมองไปยังลมหิมะที่คำรามอยู่ด้านนอก ถอนหายใจ “คานอำนาจกับต้าฉินของข้ามาถึงสามช่วงอายุคน แต่กลับตายอย่างน่าสมเพศเยี่ยงนี้ ช่างน่าขันเหลือเกิน”
เว่ยอ๋องได้ตัดสินใจผิดพลาดมากมาย รัฐเว่ยค่อยๆ เดินเข้าสู่ความล่มสลายตามวัยชราของเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่ารัฐเว่ยได้กลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้าในมือของเขาเช่นกันและเคยมีความรุ่งโรจน์ของกองทัพเว่ยที่อยู่ยงคงกระพันด้วย
อิ๋งซื่อหันหน้ามาช้าๆ ถามชูหลี่จี๋ว่า “ใครเป็นผู้ลงมือ?”
ชูหลี่จี๋เอ่ย “ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ทว่ากั๋วเว่ยยืนกรานหนักแน่นว่าเป็นฝ่ายองค์รัชทายาทรัฐเว่ย กระหม่อมยากที่จะจินตนาการว่าบรรดาแขกที่ปรึกษาขององค์รัชทายาทเว่ยจะมีคนประเภทนี้ด้วย”
“เป็นหมิ่นจื๋อห่วนกระมัง” อิ๋งซื่อตบราว เอ่ยอย่างผ่อนคลาย “เรื่องนี้จัดการได้งดงามมาก”
ชูหลี่จี๋เห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของเขา ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รู้ว่าเขาสนใจคนเก่ง
“กั๋วเว่ยกับบุคคลผู้นี้ราวน้ำกับไฟ” ชูหลี่จี๋รู้ว่าอิ๋งซื่อเป็นคนที่มีเหตุผลมาก แต่กลับอดไม่ได้ที่จะเตือนสติเสียหน่อย
อิ๋งซื่อยกมุมปากยิ้ม เหลือบมองเขาแต่ไม่ได้พูดอะไร
ใต้หล้านี้มีคนเก่งกาจมากมาย อิ๋งซื่อไม่เคยคิดที่จะครอบครองทั้งหมด ตัวอย่างเช่นคนเก่งอย่างกงซุนเหยี่ยน บทจะปล่อยก็ปล่อยไปในพริบตา เพียงแต่กษัตริย์ที่มีความทะเยอทะยานสูงล้วนมีความรักลึกซึ้งที่เกือบจะเป็นความหวาดระแวงต่อคนที่มีความสามารถก็เท่านั้น
รัฐเว่ยในปลายฤดูหนาวช่างเป็นอะไรที่วุ่นวายเสียจริง
ในที่สุดเนื่องจากปัญหาในต้าเหลียงยากที่จะประสาน ฮุ่ยซือจึงยากที่จะถอนตัว ทำได้เพียงมอบงานเจรจาต่อรองที่ยากลำบากนี้ไว้บนบ่าของกงซุนเหยี่ยนด้วยความสิ้นหวัง
เมื่อหนึ่งในแม่ทัพของกองทัพเว่ยออกจากสนามรบ กองทัพทั้งสองก็ต่อสู้กันอีกครั้ง แม้ว่ากงซุนเหยี่ยนได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าและสั่งการจากระยะไกลในเวลาเดียวกัน แต่ท้ายที่สุดแล้วตัวเขาเองไม่ได้สู้อยู่ในสนามรบ ไม่ถึงสามวันกองทัพเว่ยก็ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ บวกกับความวุ่นวายทางการเมืองที่อยู่เบื้องหลังส่งผลให้กงซุนเหยี่ยนตกเป็นฝ่ายถูกกระทำในระหว่างการเจรจาต่อรอง
เรื่องที่องค์ชายซื่อสังหารเว่ยอ๋องนั้นยังมีจุดที่น่าสงสัยมาก อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในบ้านเมืองกลับแย่ลงซึ่งทำให้ทุกคนในรัฐเว่ยตระหนักถึงวิกฤตครั้งใหญ่และเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องสนับสนุนกษัตริย์องค์ใหม่
กงซุนเหยี่ยนเขียนบันทึกด่วนกลับไปท่ามกลางตารางงานอันยุ่งเหยิง ขอให้มีการแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่โดยเร็วที่สุด
เขาพูดเพียงว่าต้องรีบแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่โดยเร็วที่สุดแต่กลับไม่ได้ชี้ว่าเป็นใคร เพราะว่าตัวเขาอยู่ในสนามรบ ได้รับข่าวช้ากว่า ไม่รู้ว่าสถานการณ์โดยละเอียดว่าเป็นอย่างไร หากองค์ชายซื่อยึดอำนาจได้สำเร็จเล่า? ในเวลานี้เขาไม่สามารถทำผิดต่อใครได้ ไม่ว่าใครจะขึ้นครองราชย์ก็ดี เขาก็มีความเชื่อมั่นว่าตนจะสามารถสนับสนุนบ้านเมืองได้
ภายใต้สถานการณ์ของบ้านเมืองในตอนนี้ ฮุ่ยซือสั่งประหารองค์ชายซื่ออย่างโหดเหี้ยมเพื่อสนับสนุนองค์รัชทายาทขึ้นสู่บัลลังก์ ผลปรากฏว่าองค์รัชทายาทไม่อาจตัดใจทำร้ายพี่น้องได้ จึงประนีประนอมและเปลี่ยนเป็นการคุมขังแทน
หากไม่ฆ่าตอนนี้แล้วจะรอถึงเมื่อไรเล่า!
เปลวไฟก่อตัวอยู่ในใจของหมิ่นฉือ เกลียดที่ไม่สามารถสังหารองค์ชายซื่อด้วยตัวเองได้!
หนึ่งเดือนแห่งความอลหม่าน ในที่สุดฮุ่ยซือก็นำตระกูลราชวงศ์และเหล่าขุนนางประกอบพิธีฝังศพของกษัตริย์องค์เก่าและแต่งตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ได้สำเร็จ จากนั้นก็ล้มหมอนนอนเสื่อทันทีที่เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ
สงครามแห่งฉินเว่ยยืดเยื้อเนิ่นนาน จางอี๋เจรจาต่อรองกับกงซุ่นเหยี่ยน หลังจากไกล่เกลี่ยกันมากว่าหนึ่งเดือนก็ยังไม่เกิดผล
สงครามอันยาวนานไม่เพียงทดสอบนายหทารและผู้นำทัพเท่านั้น แต่ยังมีกองหนุนเบื้องหลังอีกด้วย
เสบียงพัสดุทางการทหารของรัฐฉินมีซ่งชูอีเป็นผู้ดูแล ส่วนเสบียงพัสดุทางการทหารของรัฐเว่ยก็มีสวีมู่ดูแล สวีมู่ย่างเข้าอายุห้าสิบแล้ว ผ่านประสบการณ์โชกโชน การจัดหาเสบียงให้รัฐเว่ยในตอนแรกเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่ง ทว่าเรื่องที่เขาสนับสนุนองค์ชายซื่อนั้นไม่ใช่ความลับ ทันทีที่องค์รัชทายาทขึ้นสู่ตำแหน่งก็ต้องการจะกำจัดเขาก่อนแล้วเติมเต็มตำแหน่งนี้ด้วยหรงจวี้แขกที่ปรึกษาขององค์รัชทายาท
หรงจวี้ไม่เคยทำหน้าที่นี้มาก่อน มีความสามารถหรือไม่นั้นตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่สงครามเบื้องหน้าคับขันกว่า หากให้ขุนนางใหม่รับหน้าที่นี้จะต้องใช้เวลานานโข! เหล่าทหารจะทนรอขุนนางคนใหม่ไหวหรือ?
หมิ่นฉือคุกเข่าลงทันที ขอร้องให้กษัตริย์องค์ใหม่ใช้สวีมู่เป็นการชั่วคราว กษัตริย์องค์ใหม่เป็นคนที่รับฟังผู้อื่น เมื่อเห็นว่าคำพูดของหมิ่นฉือมีเหตุผลก็ถอนหรงจวี้ออกจากตำแหน่งทันที ให้สวีมู่คืนสู่ตำแหน่ง
อย่างไรเสียสุดท้ายก็เป็นมือใหม่ เรื่องดีๆ ก็สามารถจัดการให้กลายเป็นเรื่องล้มเหลวได้! เขาถอนหรงจวี้แล้วจัดหาตำแหน่งผู้ว่าการในต้าเหลียงให้ ผู้ว่าการต้าเหลียงที่ดูแลนครหลวงก็เป็นงานสำคัญมากงานหนึ่ง แต่สิ่งที่แย่คือชั้นลำดับขุนนางของทั้งสองเท่ากัน เช่นนั้นสู้ปลดตำแหน่งหรงจวี้แล้วคืนตำแหน่งให้สวี่โยวไม่ดีกว่าหรือ! นี่ไม่ใช่เป็นการบอกทุกคนเป็นนัยๆ ว่าหรงจวี้ไม่มีความสามารถหรอกหรือ?
การถูกตบหน้าครั้งนี้งดงามนัก! หรงจวี้เป็นคนสำนักขงจื้อ ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงและหน้าตาเสมอ ครั้งนี้จะทนได้หรือ? หัวใจของขุนนางคนสนิทถูกทำร้ายจนแตกสลายแล้ว
ส่วนสวีโยวถูกปลดแล้วก็ถูกคืนตำแหน่งด้วยเหตุผลอะไรนั้นทุกคนย่อมรู้ดี กษัตริย์องค์ใหม่ไม่มีการดำเนินการอื่นใดนอกจากการเรียกเขากลับมาใช้งานใหม่! สวีโยวจะทุ่มเทแรงกายแรงใจไปเพื่ออะไร? อ๋อ เพราะข้าเป็นคนขององค์ชายซื่อ เจ้าบอกว่าจะลดตำแหน่งข้าก็ลด อีกประเดี๋ยวคิดจะใช้งานข้าก็คืนตำแหน่งให้ หลังจากหมดประโยชน์แล้วก็จะฆ่าทิ้งหรือเปล่า?
เรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นเป็นวันที่สอง หมิ่นฉือก็รีบไปพบกษัตริย์องค์ใหม่เป็นการส่วนตัวเพื่อบอกถึงข้อดีข้อเสียและแนะนำให้จวี้หรงเป็นเสนาบดี
กษัตริย์องค์ใหม่เว่ยเฮ่อเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ทำเช่นนี้จะทำให้คนอื่นเห็นว่าเป็นการเล่นพรรคพวก ส่งผลให้เหล่าขุนนางไม่พอใจหรือเปล่า?”
หมิ่นฉือไร้คำพูด เงียบงันครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “อ๋องข้า ท่านหรงติดตามท่านเป็นเวลาสิบกว่าปี ท่านน่าจะเข้าใจความสามารถของเขาอย่างลึกซึ้ง อ๋ององค์ก่อนใช้งานคนเพราะความสามารถไม่ใช่เพราะความสนิท นับประสาอะไรกับการเป็นเพียงเสนาบดีเล่า”
“ท่านพูดมีเหตุผล” เว่ยเฮ่อพยักหน้า
หมิ่นฉือกล่าวต่อ “อีกอย่างท่านอ๋องต้องเลื่อนขั้นให้สวี่โยวและเรียกเขามาคุยอย่างเปิดอก บอกเขาในนามของกษัตริย์ว่าท่านอ๋องจะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง[1]”
องค์รัชทายาทเข้าใจความหมายของเขาในทันทีจึงรับปาก “กว่าเหรินเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ ไม่คุ้นเคยกับกิจการของรัฐ ท่านได้โปรดชี้แนะด้วย”
หมิ่นฉือเห็นว่าเขามีความจริงใจอย่างยิ่ง ความโมโหในใจก็บรรเทาลงบ้าง รีบเอ่ยขึ้นว่า “อ๋องข้าให้ความสำคัญกับคนเก่งเพียงนี้ แม้จะไม่ชำนาญในช่วงแรก ภายหน้าหน้าก็สามารถเทียบเคียงพระเจ้าเหยา[2]ซุ่น[3]ได้พ่ะย่ะค่ะ”
“กว่าเหรินอยากเลื่อนขั้นท่านเป็นหัวหน้าหลางจง ท่านมีความเห็นเยี่ยงไร?” เว่ยเฮ่อถาม
หมิ่นฉือรู้สึกบีบหัวใจ หากเขาขึ้นเป็นจิ่วชิง[4]ในตอนนี้ก็ดูสะดุดตาเกินไป การที่เขาใช้ตู้เหิงเพื่อใส่ร้ายองค์ชายซื่อว่ามอบหมายให้ตู้เจาเข้ามาเป็นไส้ศึกในวังก็ใช่ว่าจะไม่มีช่องโหว่ แม้ว่าคนอื่นไม่สามารถหาหลักฐานที่จับต้องได้ว่าเป็นฝีมือของเขา ทว่าเขาเคยติดต่อกับตู้เหิงเมื่อนานมาแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่มีคนรู้มากทว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง จู่ๆ เขาก็ได้รับการไว้วางใจจากองค์รัชทายาทก็จะก่อให้เกิดความน่าสงสัยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เว่ยเฮ่อเป็นคนกตัญญูและบริสุทธิ์ หากเกิดความเคลือบแคลงใจย่อมไม่ดีแน่
ความคิดวูบเข้ามาในหัว หมิ่นฉือยิ้มเอ่ยน้อยๆ “ขอเชิญท่านอ๋องคงตำแหน่งขุนนางเดิมไว้ก่อน ประการที่หนึ่งหัวหน้าหลางจงในปัจจุบันมีความสามารถมาก ประการที่สองสงครามภายนอกตึงเครียด ท่านมหาเสนาบดีในราชสำนักสองท่าน ท่านหนึ่งอยู่ข้างนอก ท่านหนึ่งล้มป่วย ท่านอ๋องเพิ่งจะขึ้นครองราชย์ จำเป็นต้องมีคนเหล่านี้ที่คุ้นเคยกับการปกครองบ้านเมืองทำให้สถานการณ์โดยรวมมีเสถียรภาพ ไม่แนะนำให้โยกย้ายตำแหน่งเป็นจำนวนมาก ถ้าท่านอ๋องไม่ได้เลื่อนตำแหน่งทางการของขุนนางหลังจากพ้นไประยะหนึ่งแล้ว กระหม่อมเกรงว่าจะมีข้อตำหนิได้!”
ในที่สุดใบหน้าที่เหนื่อยล้าและหดหู่ของเว่ยเฮ่อก็เผยรอยยิ้มจางๆ
เหตุผลของหมิ่นฉือนี้ไม่สามารถหาข้อบกพร่องได้เลย ทั้งยังพูดตรงไปตรงมา ช่วงนี้เว่ยเฮ่อเหนื่อยล้าไปทั้งร่างกายและจิตใจ และยิ่งรู้สึกว่าหมิ่นฉือคิดเพื่อตน
[1] ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง เปรียบเปรยว่าพอหมดประโยชน์แล้วก็ถีบหัวส่ง
[2] เหยา หรือ พระเจ้าเหยา (ตามตำนาน 2356-2255 ก่อนคริสตกาล) คือ ผู้ปกครองจีนตามตำนาน ในยุคสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ เป็นพระราชโอรสองค์ที่สองของจักรพรรดิคู่
[3] ซุ่น (ประมาณศตวรรษที่ 23 ก่อนคริสต์ศักราช) ปราชญ์และผู้นำในตำนาน
[4] จิ่วชิง เสนาบดีเจ้ากรมต่างๆ