กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 346 คำแนะนำสุดท้าย
ซ่งชูอีนั่งตัวตรงพูดว่า “กองทัพใหม่ไม่เหมาะสมที่จะโจมตีนคร บัดนี้เรื่องที่พวกเราได้รับหน้าไม้มาจากสำนักม่อนำไปสู่การเฝ้าระวังของนานารัฐแล้ว หากเปิดเผยเรื่องกองทัพอีก เกรงว่าจะไม่เป็นผลดีในระยะยาว ดังนั้นแม้ว่าจะต้องเผชิญกับการสู้รบในระยะสั้น แต่กระหม่อมไม่ได้วางแผนที่จะใช้รูปแบบกองทัพขนาดใหญ่ สิ่งสำคัญคือการฝึกการต่อสู้เดี่ยว ความยืดหยุ่นและการสะสมประสบการณ์ในสนามรบ ฝ่าบาทเห็นเยี่ยงไร?”
“ไม่มีปัญหา” เสียงของอิ๋งซื่ออ่อนแอเล็กน้อย
ซ่งชูอีเห็นว่าสีหน้าของเขาซีดขาว รีบลุกขึ้น “ขันทีเถา รีบเรียกหมอเร็วเข้า!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีเถาที่อยู่นอกม่านรีบสั่งให้คนไปเชิญหมอหลวงทันที
อิ๋งซื่อหลับตาลง เม้มริมฝีปากแน่น ดูไม่สบายตัวเป็นอย่างยิ่ง
ซ่งชูอีเอามือสอดไว้ในแขนเสื้อแล้วนั่งลงข้างเขาเงียบๆ แสงพระอาทิตย์ที่ส่องผ่านกิ่งไม้และใบไม้หนาแน่นนอกหน้าต่างทิ้งรอยเงาเป็นหย่อมๆ อยู่บนพื้น ดูเหมือนเวลาจะเดินช้าเป็นพิเศษ
ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นบนบันได ขันทีเถากับหมอสองท่านเดินนำหน้าคนกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามา ทำให้ซ่งชูอีต้องหลบไปด้านข้าง
ทั้งๆ ที่มีคนอยู่เต็มห้องทว่ากลับเงียบงันจนน่ากลัว มีเพียงเสียงสวบสาบของเสื้อผ้าที่เสียดสีกันเท่านั้น
ซ่งชูอีถอยออกไปนอกม่าน
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งถ้วยชา เด็กในวังสองคนก็พยุงอิ๋งซื่อลงมาชั้นล่าง
ขันทีคนหนึ่งค้อมตัวเอ่ย “กั๋วเว่ย ตอนนี้ฝ่าบาทพักผ่อนอยู่ที่ชั้นสอง ท่านเห็นว่า…”
“ข้าจะลงไปเยี่ยม” ซ่งชูอีก็ตามลงไปเช่นกัน
การตกแต่งของชั้นสองเรียบง่ายอย่างยิ่ง นอกเหนือจากม่านที่ยาวจรดพื้นแล้วก็มีเพียงเตียงหลังหนึ่ง ตะเกียงหลายขาสองอันกับกระถางธูปทองสัมฤทธิ์แกะสลักหนึ่งใบ
ซ่งชูอียืนอยู่นอกห้อง รอจนหมอออกมาแล้วก็รั้งทั้งสองคนไว้ “ระยะหลังมานี้ฝ่าบาทเป็นเช่นนี้บ่อยหรือ?”
ทั้งสองคนหลุบตาลงทันที หัวหน้าหมอเอ่ยว่า “กั๋วเว่ยได้โปรดให้อภัย ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าไม่ให้เปิดเผยอาการป่วยกับใคร”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซ่งชูอีก็รู้ว่าคงถามไม่ได้ความอะไรอีกจึงโบกมือให้พวกเขาลงไป
ซ่งชูอีเลิกม่านขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้อง ได้ยินขันทีเถายืนอยู่หน้าเตียงพร้อมเอ่ยถามเสียงเบา “ฝ่าบาท ต้องการจะเรียกเว่ยเต้าจื่อหรือไม่?”
“ไม่จำเป็น” น้ำเสียงอิ๋งซื่อแหบแห้ง
“พ่ะย่ะค่ะ” ขันทีเถาหันมาเห็นซ่งชูอีก็รายงานเสียงเบาอีกครั้ง “ฝ่าบาท กั๋วเว่ยมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ยังไม่ทันได้คำตอบ แต่ว่าด้วยประสบการณ์ของขันทีเถาแล้ว รู้ว่านี่ไม่ใช่การขับไล่นางจึงก้าวไปข้างหน้าและดึงม่านไม้ไผ่ขึ้นเพื่อเชิญนางเข้าไปข้างใน
ขันทีคนหนึ่งย้ายเก้าอี้หินไปไว้หน้าเตียง ซ่งชูอีนั่งลงแล้วสำรวจสีหน้าของอิ๋งซื่ออย่างละเอียดก่อนที่จะเรียกเสียงเบา “ฝ่าบาท”
ซ่งชูอีถามด้วยความห่วงใย “ฝ่าบาทเจ็บหรือไม่?”
อิ๋งซื่อลืมตาขึ้นมองนางเล็กน้อย ในความมืดสลัว ดวงตาสีเข้มคู่หนึ่งค่อยๆ เผยรอยยิ้มจางๆ ซึ่งหายไปในพริบตา
“ฝ่าบาทยิ้มอะไร?” ซ่งชูอีรู้สึกตื่นตระหนกในใจเล็กน้อย ความรู้สึกนี้เหมือนกับเห็นภูเขาน้ำแข็งหมื่นปีเริ่มคลายตัว และนางที่อยู่ใต้ภูเขากลัวว่าจะถูกหิมะทับตาย
อิ๋งซื่อไม่ได้ตอบ สำหรับเขาแล้ว การมีนางอยู่ด้วยในตอนนี้ถือเป็นความหรูหราที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต แต่ความรู้สึกเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้
“ไหนลองเล่าเรื่องตลกมาสิ” อิ๋งซื่อเอ่ย
“ขอกระหม่อมคิดก่อน” ซ่งชูอีลำบากใจมาก จะเล่าประวัติศาสตร์ เล่ายุทธพิชัยสงครามก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ระยะหลังมานี้นางไม่ได้คิดค้นเรื่องตลกเลย…
นางสอดแขนไว้ในแขนเสื้อ เงยหน้ามองคานหลังคาพักหนึ่ง พลันนึกถึงเรื่องตลกที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้วจึงพูดด้วยความร่าเริง “มีอยู่เรื่องหนึ่ง มีผู้สูงศักดิ์ที่มักมากในกามคนหนึ่งได้กล่าวกับแขกเหรื่อของตัวเองว่า: ข้าเห็นว่าภรรยาของท่านงดงาม จึงเรียกให้ไปปรนนิบัติในห้องนอน คิดไม่ถึงว่านางจะลีลาดี ดีกว่านางบำเรอทั้งหมดของข้าเสียอีก แขกผู้นั้นกล่าวว่า: ข้าก็รู้สึกว่าลีลาของนางดีกว่านางบำเรอของท่านทั้งหมด ฮ่าๆๆๆ!”
ซ่งชูอีหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง ครั้นได้สติกลับมาจึงพบว่าอิ๋งซื่อกำลังจ้องนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“แค่ก ไม่ตลกหรือ?” ซ่งชูอีเก็บอาการ “เช่นนั้นกระหม่อมจะคิดอีกเรื่อง”
“ช่างเถิด” อิ๋งซื่อกล่าว “กั๋วเว่ยควรสนใจการเมืองมากกว่านี้”
ซ่งชูอีตอบด้วยความเคารพ “พ่ะย่ะค่ะ”
“กลับไปเตรียมตัว ออกจากบ้านเร็วหน่อย” เสียงของอิ๋งซื่อต่ำและเชื่องช้าราวกับว่าเขากำลังจะหลับ
“ฝ่าบาทพักผ่อนให้เต็มที่” ซ่งชูอีลุกขึ้นถอยออกไปสองก้าวแล้วคำนับ ขณะที่ออกไป เด็กในวังก็ยกยาเข้ามา
ขันทีเถาเดินไปที่เตียง “ฝ่าบาท ได้เวลายาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
ได้ยินคำตอบของอิ๋งซื่อแล้ว ขันทีเถาก็เอื้อมมือประคองเขา เด็กในวังปูผ้าอยู่บนตั่ง
“ให้กระหม่อมปรนนิบัติฝ่าบาทเถิด” ซ่งชูอีพูดพลางยกยาขึ้น
อิ๋งซื่อจ้องนางด้วยแววตาล้ำลึก “กั๋วเว่ยไม่มีอะไรทำรึ?”
แม้มีหลายเรื่องที่ยุ่งเหยิง ทว่าเพียงสละเวลาป้อนยาก็ไม่ใช่เรื่องยากกระมัง! ซ่งชูอีคิดว่าอารมณ์ของคนป่วยขึ้นๆ ลงๆ เป็นธรรมดาจึงไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ดังนั้นจึงยื่นยาให้ขันทีเถา “เช่นนั้นฝ่าบาทรักษาตัวด้วย กระหม่อมทูลลา”
ขันทีเถาปรนนิบัติอิ๋งซื่อมาหลายปีย่อมรู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่หวั่นไหวโดยง่าย ยิ่งไม่ชอบแสดงอารมณ์ออกมาให้เห็น แต่ว่าวันนี้กลับประหลาด ประเดี๋ยวมีความสุข ประเดี๋ยวตำหนิ
ทันทีที่ซ่งชูอีออกจากวังก็รีบไปยังที่ว่าการเพื่อจัดเตรียมกิจการทางทหารทันที
จนกระทั่งท้องฟ้ามืดแล้ว นางก็จัดการภารกิจของกั๋วเว่ยตามสมควร จากนั้นก็ไปยังจวนของชูหลี่จี๋เพื่อหารือเรื่องถ่ายโอนกิจการงาน
“เฮ้อ!” ชูหลี่จี๋ได้ยินจุดประสงค์ของนางแล้วก็ยกมือขึ้นวดคลึงขมับ “หวยจิน ข้าเป็นกังวลมาก”
ซ่งชูอีเอ่ย “สุขภาพของฝ่าบาท?”
“ใช่สิ!” ชูหลี่จี๋มีสีหน้าอิดโรย
ซ่งชูอีได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็อดที่จะเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้ ดูจากการเตรียมการกิจการรัฐของอิ๋งซื่อล่าสุดนั้น เขาได้คิดอย่างรอบคอบแล้ว “ฝ่าบาทได้เตรียมการส่งต่ออำนาจให้พี่ใหญ่แล้ว?”
อิ๋งซื่อมอบหมายงานให้ชูหลี่จี๋อย่างหน้ามืดตามัว บางครั้งเมื่อเห็นว่าเขามีปัญหาในการจัดตารางเวลาก็จะยื่นมือช่วยเหลือเพื่อที่เขาจะได้ไม่เหนื่อยล้า นี่เป็นการฝึกความสามารถของชูหลี่จี๋อย่างชัดเจน หากวันใดที่เขาจากไปอย่างกะทันหัน รัฐฉินก็ยังมีคนให้พึ่งพา
ต่อให้ถึงเวลาแล้วชูหลี่จี๋เข้าแทนที่ตำแหน่ง รัฐฉินก็ยังคงอยู่ในมือของสกุลอิ๋ง ไม่ตกเป็นของอำนาจภายนอก
แม้ว่าซ่งชูอีและจางอี๋จะแข็งแกร่งมากเพียงใด สุดท้ายแล้วก็เป็นขุนนางนอกสกุล อิ๋งซื่อในฐานะองค์จวิน เขาสามารถให้ความสำคัญกับพวกเขาในแง่ของการบ้านการเมือง แต่เขาจะไม่ไว้วางใจใครในเรื่องของการสืบทอดอำนาจ
ชูหลี่จี๋โยนหินถามทาง “ในเมื่อเข้าใจแล้ว เหตุใดต้องรู้สึกผิดหวังด้วยเล่า?”
ซ่งชูอียิ้มพลางส่ายหัว “ข้ามิได้ต้องการเฉิดฉายผ่านพงศาวดารแห่งประวัติศาสตร์ และไม่ต้องการครองใต้หล้า เหตุใดต้องผิดหวังด้วย? เพียงแค่องค์จวินกับขุนนาง ข้าเพียงกังวลว่าองค์จวินคนต่อไปจะไม่เหมือนฝ่าบาท หรืออาจจะปฏิเสธข้อโต้แย้งของข้า”
ความสัมพันธ์ระหว่างองค์จวินและขุนนางนั้น ซ่งชูอีได้คิดอย่างถี่ถ้วนระหว่างที่นางถูกคุมขังอยู่ในเสียนหยางเป็นระยะเวลาครึ่งปีแล้ว
“เจ้าไม่เคยทำให้ใครผิดหวังเลย” ชูหลี่จี๋นิ่งไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงมีความซับซ้อน “ฝ่าบาทก็คงคิดถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว จึงให้เจ้าเป็นอาจารย์สอนองค์ชายกระมัง”
หากต้องการจะมีอิทธิพลต่อคนคนหนึ่ง การเริ่มจากวัยเยาว์ย่อมเป็นเรื่องง่ายอย่างไม่ต้องสงสัย
ซ่งชูอีก็คิดถึงข้อนี้จึงได้รับปากว่าจะเป็นอาจารย์ให้กับองค์ชายตั้ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุใดตอนนั้นพี่ใหญ่ถึงคัดค้านอย่างแรงกล้าเล่า?”
ชูหลี่จี๋รู้ดีว่านางอยู่ในสถานการณ์ มองเห็นภาพรวมไม่ชัดเจน จึงชี้จุดบอดนี้ให้เห็นอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาทไม่เคยเชื่อใครง่ายๆ หากเขาเชื่อใจเจ้าแล้วก็มีความเป็นไปได้สองอย่าง ข้อหนึ่งคือต้องการควบคุมเจ้า อีกประการหนึ่งก็คือ…เขามีวิธีที่จะควบคุมเจ้าอย่างแน่นหนา”
ถ้าอิ๋งซื่อยังมีสุขภาพที่ดี ชูหลี่จี๋ก็คงจะไม่ตรงไปตรงมากับซ่งชูอีเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วนางก็จะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและมีเวลาที่จะตอบสนอง ทว่าชูหลี่จี๋เคยคุยกับเว่ยเต้าจื่ออย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง ด้วยอาการของอิ๋งซื่อ หากรักษาอย่างดีก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกยี่สิบถึงสามสิบปีอย่างไร้กังวล แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่อาการจะกำเริบกะทันหัน อย่างสั้นที่สุดก็สิบกว่าวันก็สิ้นแล้ว
ซ่งชูอีคิดดูอย่างละเอียดแล้วตอนนี้ตนยังไม่ถูกอิ๋งซื่อควบคุมอะไร ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัวและรู้สึกขอบคุณชูหลี่จี๋มากขึ้นเรื่อย ๆ จึงค้อมคำนับด้วยความจริงจังพร้อมเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ชี้แนะ!”
“หวยจิน ต่อไปอย่าได้เชื่อข้าอีกเลย” เขาเอ่ยขึ้นเชื่องช้า
ซ่งชูอีเงยหน้าขึ้นทันควัน
ดวงตาที่ชัดเจนของชูหลี่จี๋ค่อยๆ พร่ามัวไปตามเปลวไฟในตะเกียงน้ำมันที่วูบไหว เขาหลุบตาลง หลบสายตาของ
ซ่งชูอีที่มองสำรวจมา
“อืม” ซ่งชูอีรับคำ นางรู้ดีกว่าความไว้วางใจที่สมบูรณ์ระหว่างตัวเองและชูหลี่จี๋เริ่มแตกสลายลงแล้ว “ข้าได้คาดเดาไว้แล้วว่าวันนี้จะต้องมาถึง เพียงแค่มันเร็วจนข้ารับมือไม่ทัน”
ในแง่ของความสัมพันธ์ส่วนตัวทั้งสองคบกันอย่างเปิดเผยและจริงใจเสมอมา ทว่าซ่งชูอีก็ไม่เคยลืมว่าชูหลี่จี๋แซ่อิ๋ง เป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์ต้าฉิน เป็นชาวฉินที่มีหัวใจเพื่อต้าฉิน! หากมีความจำเป็นในอนาคต เขาก็จะจัดการกับนางเพื่อต้าฉินเช่นกัน
ความตั้งใจเดิมในมิตรภาพของชูหลี่จี๋กับนางก็เพื่อดึงดูดผู้ที่มีความสามารถให้กับต้าฉิน ให้ยาระงับการเจริญเติบโตทางเพศของนาง ขอให้เปี่ยนเชวี่ยเก็บความลับทางเพศของนางไว้…สิ่งเหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าทำลงไปเพราะเสียดายพรสวรรค์
จนกระทั่งได้ให้ยาคุมกำเนิดกับนาง…
เนื่องจากยาค่อนข้างเป็นพิษ ไม่ว่าจะจ่ายยาชั้นยอดเพียงใด ยาคุมกำเนิดทุกชนิดก็จะส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ชีพจรของนางเคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน บวกกับเคยกินยาระงับการเจริญเติบโตก่อนหน้านี้ เดิมทีร่างกายฟื้นตัวได้อย่างยากลำบากอยู่แล้ว นางจึงอาจไม่สามารถทนต่อฤทธิ์ยาที่คนธรรมดาทนได้
หากเจ้าอี่โหลวเป็นเพียงของเล่นชั่วคราว เกรงว่าซ่งชูอีก็คงกินยาคุมกำเนิดพวกนั้นเข้าไปจริงๆ แล้ว ทว่านางจดจำสัญญายี่สิบปีไว้ในใจว่าจะรักษาชีวิตของตัวเองให้ดีและจะแก่เฒ่าไปพร้อมกันกับเขา
“ระหว่างเจ้ากับข้านั้นก็ชัดเจนอยู่แล้ว ที่รับมือไม่ทันเป็นเพียงเพราะว่าต้องฉีกชั้นหนังหน้าที่เปื้อนเลือดต่างหาก” ชูหลี่จี๋เอ่ยเชื่องช้า
ซ่งชูอียิ้มอย่างเปิดเผย “วันนี้พี่ใหญ่สามารถชี้แนะข้าเช่นนี้ได้ ข้าก็เข้าใจเจตนาของพี่ใหญ่แล้ว ในเมื่อข้าเลือกที่จะเดินทางนี้ ก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง เรื่องในวันนี้ก็เป็นไปตามคาดอยู่แล้ว ข้าจะสามารถตัดพ้อได้อย่างไร?”
แน่นอนว่าชูหลี่จี๋เข้าหาและช่วยเหลือนางเพื่อต้าฉิน ทว่าระหว่างที่รู้จักกันนี้ ซ่งชูอีสามารถรู้สึกได้ถึงทุกการปกป้อง ดังนั้นเมื่อทุกอย่างกระจ่างชัดในวันนี้และบัดนี้ นางจึงรู้สึกปวดใจ
มีความขมขื่นเจือจางอยู่ในรอยยิ้มของชูหลี่จี๋
“สองสามวันนี้ข้าต้องรีบไปที่สนามรบ ได้โปรดพี่ใหญ่สนับสนุนด้วย” ซ่งชูอีประสานมือเอ่ย
ชูหลี่จี๋ประสานมือกลับ “ขอให้นำชัยชนะกลับมา”
“สมพรปากพี่ใหญ่” ซ่งชูอียิ้มแล้วลุกขึ้นจากไป
ชูหลี่จี๋เหม่อมองไปยังประตูที่ปิดลงอย่างเงียบ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางลง นึกถึงคำพูดนี้ของซ่งชูอีที่ว่า “ตราบใดที่มีหัวใจดวงนี้อยู่ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้” เขาทอดถอนใจ ตั้งแต่ที่เขาเข้าสำนักอาจารย์ก็ต้อง “รักษาคุณธรรม ทำลายความปรารถนาส่วนตัว” อยู่ตลอดเวลา จึงมีชื่อเรียกว่าซิงโส่ว แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มีหัวใจจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีอคติและเป็นทุกข์
อันที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ได้ ทว่าอาการป่วยของอิ๋งซื่อยิ่งรุนแรงขึ้นทุกที ชูหลี่จี๋กลัวว่าวันนั้นจะมาถึงเร็วเกินไป ครั้นพูดออกมาเช่นนี้ก็เท่ากับว่าทนไม่ไหวที่จะวางแผนต่อกรกับนางแล้ว มันดีกว่าแทงข้างหลังนางอย่างเย็นชาและมันถูกต้องแล้วที่จะติดค้างซึ่งกันและกันน้อยลง