กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 351 ใครจะตายก็ได้
“ท่านพ่อกล่าวว่า: อดีตอ๋องสิ้น หัวใจข้าตายไปด้วย บัดนี้ไร้ใจต่อใต้หล้าแล้ว” ฮุ่ยจางกวาดตามองสีหน้าของเว่ยเฮ่อด้วยความรวดเร็ว แล้วก้มศีรษะด้วยความเคารพ
เว่ยเฮ่อมองเข้าไปในห้องนอน เม้มปากแน่น ตกตะลึงเป็นเวลานานก่อนจะเอ่ยช้าๆ “กว่าเหรินรู้แล้ว”
ตั้งแต่ขึ้นสู่บัลลังก์ เว่ยเฮ่อรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่ตัวเองคิด โลกยังคงเป็นโลกเดียวกัน ทว่าเมื่อยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าแล้วมองลงมา ความซับซ้อนและความไม่แน่นอนของหัวใจมนุษย์ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว
ศีลธรรมอันดีของฮุ่ยซือเป็นที่รู้จักกันดีในใต้หล้า เขาไม่เคยสงสัยในข้อนี้เลย แต่เขายังไม่ทันได้ปรับตัวกับสถานะที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ลืมไปว่าตอนนี้ไม่มีข้างฝ่ายที่จะพูดด้วยแล้ว รัฐเว่ยนี้เป็นรัฐเว่ยของเขาเอง ขุนนางทั้งหมดนี้ก็เป็นขุนนางของเขา! ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เห็นฮุ่ยซือเป็นข้างฝ่ายของตัวเอง ทั้งยังคงปรึกษาเกี่ยวกับปัญหาของหมิ่นฉือกับฝ่ายขององค์รัชทายาทเดิม เขารู้อยู่ในใจเลือนรางว่าหากบอกเรื่องนี้ให้ฮุ่ยซือรู้ล่วงหน้า มันย่อมไม่เกิดเรื่องแน่
ราคาของความเอาแต่ใจในชั่วขณะหนึ่งคือหัวใจของขุนนางผู้ซื่อสัตย์
ในเวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็นึกถึงคำพูดที่หมิ่นฉือเคยกล่าวในวันนั้น: อิ๋งซื่อเป็นคนอย่างไร?
บัดนี้เองที่เขาตระหนักว่าหมิ่นฉือไม่ได้ถามเกี่ยวกับมุมมองของเขาเกี่ยวกับอิ๋งซื่อ แต่กำลังบอกเขาว่าควรจะเป็นกษัตริย์อย่างไร
เว่ยเฮ่อกลับถึงพระราชวัง สั่งให้ทุกคนออกไปแล้วนั่งอยู่ในตำหนักตามลำพัง
ทุกอย่างที่ผ่านมาในช่วงนี้วูบผ่านตรงหน้าเขาไม่หยุดหย่อน เขาตกตะลึงเมื่อรู้ตัวว่าต่อให้รัฐเว่ยไม่มีเขาทุกอย่างก็ยังคงสามารถดำเนินต่อไปได้ และดูเหมือนการดำรงอยู่ของเขาจะเป็นเพียงสัญลักษณ์เท่านั้น! เมื่อคิดดูแล้วเสด็จพ่อของเขา ยังมีฉินอ๋องและฉีอ๋องต่างหากจึงจะเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า!
เมื่อแสงอาทิตย์แรกส่องเข้ามาในห้องโถง เว่ยเฮ่อตกใจมากเมื่อรู้ว่าเขานั่งอยู่ตลอดทั้งคืนโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่เขาตระหนักได้ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือสั่งให้ตบรางวัลฮุ่ยซือมากมาย ทั้งยังตัดสินใจไปเยี่ยมอาการป่วยด้วยตนเองอีกครั้งในตอนเย็น ขอร้องให้เขากลับไปที่ราชสำนักเพื่อช่วยเหลือตน
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือไม่ใช่ทุกคนในโลกนี้ที่จะมีโอกาสกลับใจ เขายังไม่ทันจะออกจากวังก็ได้ข่าวว่า:
ฮุ่ยซือออกไปจากที่ว่าการแล้ว และพาฮูหยินและลูกกลับรัฐซ่งเมื่อตอนเที่ยงวัน
ครอบครัวส่วนใหญ่ของฮุ่ยซือไม่ได้อยู่ข้างกายเขา เขามีลูกชายสองคน ทุกคนต่างบรรลุนิติภาวะ ลูกชายคนโตอยู่ในรัฐซ่งเพื่อปกป้องรากเหง้าของตัวเองและได้แต่งงานไปนานแล้ว ฮุ่ยจางที่อยู่ข้างกายเขาเป็นลูกชายคนเล็กอายุสิบเจ็ดปี วันแต่งงานได้ถูกกำหนดขึ้นในรัฐซ่ง หลังจากผ่านสิ้นปีฝ่ายหญิงก็จะเข้าสู่วัยที่แต่งงานได้ ขณะที่เขาจากไปก็นำเพียงของเล็กน้อยที่พอใช้ได้ระหว่างทาง รถม้าสองคันกับเด็กรับใช้ที่จงรักภักดีสองสามคน ละทิ้งธุรกิจของครอบครัวทั้งหมดในรัฐเว่ยและจากไปอย่างรวดเร็ว
บัดนี้เขาออกจากนครแล้ว ในช่วงเวลาที่ตึงเครียดของสงครามนี้ หากเว่ยเฮ่อตามไปด้วยตัวเองก็ดูไม่ใคร่สมจริงนัก และฮุ่ยซือไม่มีที่ว่างสำหรับการเปลี่ยนใจแม้แต่น้อย เกรงว่าต่อให้รั้งเขาได้ก็ไม่มีทางกลับมาอย่างแน่นอน
บ้านเมืองจะไม่มีมหาเสนาบดีไม่ได้ ก่อนหน้านี้หรงจวี้รักษาการแทนก็มิได้ทำอะไรผิดพลาด ด้วยความรีบร้อนเว่ยเฮ่อทำได้เพียงแต่งตั้งให้เขาเป็นมหาเสนาบดีอีกครั้ง
ในเวลานี้ หมิ่นฉือออกจากต้าเหลียงมาได้ยี่สิบกว่าลี้แล้ว กำลังเข้าใกล้ซานหยาง
กองทัพรักษาการณ์นครผิงโจวที่อยู่มาเป็นเวลาแปดวันเก้าคืนท้ายที่สุดก็ถูกกองทัพฉินบุกยึดได้ แม่ทัพเว่ยที่ปกป้องนครก็เสียชีวิตในสนามรบ
กองกำลังทางเรือของรัฐเว่ยที่ออกเดินทางจากผิงโจวได้ขึ้นฝั่งเพื่อโจมตีนครเฝินเฉิงแล้ว
ซ่งชูอีสั่งให้คนพาตัวกงซุนเหยี่ยนกลับเสียนหยาง ส่วนตัวเองกลับประจำการใกล้เฝินเฉิงเพื่อขอแรงสนับสนุนได้ตลอดเวลา
อีกทางหนึ่งจางอี๋ส่งราชทูตไปยังรัฐเว่ยเพื่อส่งสาร ทำการแลกเปลี่ยนตัวกงซุนเหยี่ยนด้วยผลประโยชน์สูงสุด อีกทางหนึ่งก็ส่งจดหมายไปยังหานเจ้า หว่านล้อมให้ทั้งสองรัฐฉวยโอกาสโจมตีเว่ย
ครั้งก่อนรัฐเว่ยและรัฐฉีร่วมมือกันและยึดพื้นที่ขนาดใหญ่ของรัฐเจ้าไว้ได้ รัฐเจ้าเฝ้ามองฉินเว่ยทำสงครามมานาน จางอี๋กล่าวเพียงไม่กี่คำเพื่อใส่ไฟ รัฐเจ้าก็เริ่มเตรียมกองทัพและเปิดฉากโจมตีเว่ยครั้งใหญ่แล้ว
หานอ๋องเห็นกองหลังของฉางเซ่อถูกย้ายออกไป กงซุนเหยี่ยนซึ่งจัดตั้งพันธมิตรในตอนแรกก็ถูกรัฐฉินจับตัวเป็นเชลย สัญญาก็เท่ากับเป็นโมฆะและก็รู้สึกว่าไม่อาจเสียโอกาสนี้ไปได้ จึงส่งทหารเข้าโจมตีฉางเซ่อและอานหลิงทันที
รัฐหานจับจ้องไปที่ฉางเซ่อและอานหลิงด้วยทัศนคติที่ว่าหากยึดครองได้แค่ไหนก็แค่นั้น พร้อมกับคอยดูว่าคนอื่นมีพฤติกรรมอย่างไร ถ้ารัฐฉินและรัฐเจ้าสามารถทำให้รัฐเว่ยล่มสลายได้จริงๆ หานอ๋องก็ยินดียิ่งที่จะเข้าร่วมสงครามการทำลายล้างครั้งนี้ จับปลาในน้ำขุ่นฉวยโอกาสยึดเอาส่วนแบ่ง
ระยะเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งเดือน ชายแดนของรัฐเว่ยก็เต็มไปด้วยหมอกควัน
กองทัพเว่ยในเฝินเฉิงพ่ายแพ้ยับเยิน มีเพียงจงตูซึ่งมีจิ้นปี่เป็นกองกำลังหลักเท่านั้นที่ยังไม่สามารถทำลายได้ อย่างไรก็ตามบัดนี้มีสงครามเกิดขึ้นทุกที่ในรัฐเว่ย จิ้นปี่จำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์โดยรวม ไม่สามารถติดอยู่ในจงตูเพื่อปกป้องนครได้ตลอดเวลา จิ้นปี่คิดว่าแม่ทัพฉีเชาของกองกำลังเสริมนั้นกล้าหาญแต่ไม่ฉลาดนัก ยังพอที่จะเป็นผู้เบิกทางได้ ทว่าภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูแข็งแกร่งกว่านั้นไม่เพียงพอที่จะปกป้องสถานที่ที่สำคัญเช่นนี้ได้อย่างแท้จริง จิ่นปี้จึงรีบส่งจดหมายกลับไปยังต้าเหลียง ขอให้ส่งแม่ทัพอีกคนมาเป็นกำลังเสริม ส่วนเขาก็ยังคงยึดมั่นต่ออีกพักหนึ่ง
จนกระทั่งถึงกลางเดือนเก้า หมิ่นฉือก็นำทัพมาถึง จิ้นปี่สังเกตอยู่หลายวันและเห็นว่าเขาเก่งในเรื่องการทหารก็ยกจงตูให้เขาแล้ว ส่วนเขาถอยตัวเองออกมาไปยังกองทัพส่วนกลางเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวม
รัฐฉินและรัฐเจ้าก็เหมือนเสือกับหมาป่า รัฐหานรอเก็บเนื้อกินอยู่ข้างๆ รัฐเว่ยกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูสามฝ่ายในชั่วข้ามคืน บัดนี้กำลังตกอยู่ในอันตราย แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นซึ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างไม่ต้องสงสัย…ต้าเหลียงเกิดเรื่องแล้ว!
รัฐเว่ยตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เว่ยเฮ่อพยายามดับต้นเพลิงของสงคราม หลังจากที่เขากำจัดกองทหารบนที่ดินศักดินาขององค์ชายซื่อแล้วก็รู้สึกว่าไม่มีภัยคุกคามใดๆ อีก ครั้นการป้องกันถูกละเลย ยามรักษาการณ์ในเรือนจำคลายตัว จึงเป็นโอกาสให้องค์ชายซื่อกับติดต่อกับพรรคพวกเก่าๆ อีกครั้ง
หลังจากที่องค์ชายซื่อออกมาจากเรือนจำแล้วแอบเข้าไปในพระราชวังด้วยความเร็วดุจสายฟ้าโดยใช้ประโยชนจากคนที่เขามอบหมายหน้าที่ในวังเมื่อนานมาแล้ว
ยิงสังหารเว่ยเฮ่อ!
เพียงชั่วข้ามคืน รัฐเว่ยก็เปลี่ยนกษัตริย์อีกพระองค์!
ในยามทุกข์ยาก ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนผักปลา ไม่ว่าจะสูงส่งหรือต่ำต้อย ไม่มีใครดวงแข็งไปกว่าใคร ทุกคนสามารถถูกฆ่าได้ทุกเวลา
เมื่อซ่งชูอีที่ประจำการอยู่แม่น้ำเฝินสุ่ยอ่านจดหมายลับแล้วก็อดที่จะอุทานไม่ได้ เอ่ยถามว่า “หลังจากองค์ชายซื่อครองบัลลังก์แล้วทำอะไรต่อไป?”
กู่หานเอ่ย “พลิกคดีให้ตัวเอง กล่าวว่าตอนนั้นเว่ยฮุ่ยอ๋องเปิดเผยเจตนารมณ์ว่าต้องการแต่งตั้งให้เขาเป็นองค์รัชทายาทส่งผลให้เว่ยเฮ่อรีบร้อนขึ้นเป็นรัชทายาททันที ดังนั้นเขาจึงสมรู้ร่วมคิดกับขุนนางเพื่อใส่ร้ายว่าน้องชายทำร้ายอดีตอ๋อง อีกทั้งช่วงเวลาที่เขาเป็นอ๋องนี้ ไม่อาจสงบความวุ่นวาย ไร้ความสามารถ ไร้ความซื่อสัตย์ และอะไรเทือกนี้อีกมากมายขอรับ”
“และยังได้ยินมาว่าองค์ชายซื่อร่ำไห้ต่อหน้าสุสานผู้เป็นพี่ กล่าวถึงความเป็นพี่น้องต่างๆ นานา องค์ชายซื่อใจกว้างต่อพรรคพวกเก่าขององค์รัชทายาทเป็นอย่างมาก ไม่ได้ฆ่าใครทั้งสิ้น และอนุญาตให้อยู่ต่อหรือจากไปได้อย่างอิสระ คนที่อยู่ต่อแทบจะอยู่ในตำแหน่งเดิมของพวกเขา ยังไม่ถูกเลิกจ้าง แต่ผู้ที่ต่อต้านเขาจะถูกฆ่าโดยไม่คำนึงถึงสถานะหรือภูมิหลัง”
หากติดตามข้าจะรุ่งเรือง ต่อต้านข้าจะวอดวาย นี่คือการพรรณนาลักษณะนิสัยขององค์ชายซื่ออย่างแท้จริงที่สุด ถ้าคนของเว่ยเฮ่อรู้จักเขาสักหน่อย พวกเขาก็จะไม่อยู่ต่อด้วยความโง่เขลา เพราะสาเหตุที่เขายังไม่ฆ่าในตอนนี้เพราะว่าโอกาสยังไม่เอื้ออำนวย ต่อไปก็ไม่แน่
ในวันเดียวกัน ซ่งชูอีได้รับคำสั่งทางทหารที่ซือหม่าชั่วส่งมา สั่งให้นางรีบนำกองทัพกลับไปที่ผิงโจวและยึดครองจงตูพร้อมเขาอย่างรวดเร็วเพื่อครอบครองพื้นที่ป้องกันที่ดี ด้วยวิธีนี้พวกเขาสามารถจัดระเบียบและโยกย้ายชาวเว่ยที่เต็มใจเข้าสู่รัฐฉินได้
ซ่งชูอีกำลังพิจารณาถึงสถานการณ์ปัจจุบัน รู้สึกว่าแม้ว่ากองทัพเว่ยจะพ่ายแพ้ในการเผชิญหน้าครั้งแรก ทว่าค่ายประจำการในระยะใกล้กับพวกเขาจะยังคงเป็นอันตรายที่ซ่อนอยู่ ดังนั้นนางจึงวางแผนอย่างรอบคอบ ส่งจดหมายลับไปยังเจ้าอี่โหลว ร่วมกันซุ่มโจมตีกองทัพเว่ยที่อยู่ใกล้กับนครเฝินเฉิงในคืนนั้น
การต่อสู้เป็นไปอย่างไม่คาดคิด กองทัพใหม่ที่ซ่งชูอีนำไปทำการโจมตีด้านหน้า เจ้าอี่โหลวนำคนไปแอบอยู่ด้านหลังกองทัพศัตรู กองทัพเว่ยที่ถูกขนาบทั้งหน้าและหลังแทบล้มทั้งยืน ทหารม้าที่เหลือก็เริ่มถอยทัพกลับ
แสงแดดที่เปื้อนเลือดยามเช้าแดงกว่าเดิมเล็กน้อย สายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านแม่น้ำเฝินนั้นเยือกเย็น เสียงตะโกนฆ่าแหบแห้งลงไปแล้ว
ซ่งชูอีมองเห็นเจ้าอี่โหลวบนหลังม้าจากระยะไกลและชุดเกราะสีดำของเขาก็แดงฉานไปด้วยเลือด ดาบจวี้ฉางทอแสงอยู่ในมือ เลือดสาดกระเซ็นทุกที่ที่เขาเหยียบย่ำ ดูน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้มีหนวดยาวแล้วเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด ดูน่าทึ่งเป็นอย่างยิ่งในแสงยามเช้า!
เขาผอมกว่าเดิมทว่าดูสงบนิ่งมากขึ้น
ดูเหมือนว่าเจ้าอี่โหลวจะรู้สึกได้ถึงสายตาของซ่งชูอีจึงหันไปยังทิศทางที่นางอยู่ทันที ทว่ายังไม่ทันพบคนที่เฝ้าคิดถึง หูที่ว่องไวก็พลันได้ยินเสียงมีดและดาบบุกเข้ามาจากด้านหลัง เขาขี่ม้าหันกลับไปและตัดแขนของทหารเว่ยสองนายออกเป็นสองท่อน
ในตอนนี้ทหารเว่ยส่วนใหญ่ออกจากสนามรบแล้ว ยกเว้นแต่ขบวนทหารม้าที่วิ่งนำหน้า คนที่อยู่ข้างหลังต่างกระเจิดกระเจิงไปนานแล้ว แม้แต่ธงผืนใหญ่ก็ยังถูกโยนลงบนพื้น นี่นับเป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมในการสะสางกองกำลังทหารที่กำลังพ่ายแพ้
เจ้าอี่โหลวยกดาบออกคำสั่งให้ไล่ฆ่า เขาดึงบังเหียนเพื่อหันหัวม้า ในขณะที่หันไปนั้นก็เห็นร่างผอมบางในระยะไกล แววตาที่เงียบสงบยังคงเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับว่าช่วงเวลาแห่งความหดหู่และความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกเมื่อสองสามวันก่อนไม่เคยปรากฏเลย
คนที่เขาเฝ้าคิดถึงทุกวันคืนอยู่ตรงหน้าแล้ว!
ครั้นสายตาประสานกัน เจ้าอี่โหลวต้องการที่จะควบม้าไปอยู่ข้างกายนางโดยไม่สนใจอะไรเสียเหลือเกิน อย่างไรก็ดีสงครามเป็นการละเล่นของเด็กที่ไหนเล่า? เขาคว้าบังเหียนม้าแน่น กัดฟันตัดใจละสายตาออกมา นำทัพพุ่งออกไปสังหาร
สายตาของซ่งชูอีมองตามแผ่นหลังของเขาไป อดไม่ได้ที่จะขี่ม้าไปข้างหน้าสองสามก้าว
“กั๋วเว่ย บัดนี้จัดขบวนเรียบร้อยแล้วขอรับ!” นายทหารห้านายเข้ามารายงานตามลำดับ
ซ่งชูอีมองไปยังการต่อสู้ที่ไกลๆ อีกครั้ง กล่าวด้วยความเคร่งขรึม “ถอนกำลัง!”
“ขอรับ!” ทหารทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกัน
คำสั่งไม่อาจถูกละเมิด ซ่งชูอีได้ช่วยเหลือเจ้าอี่โหลวในการโจมตีกองทัพเว่ยมาทั้งคืนและบัดนี้ก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ครั้งนี้เจ้าอี่โหลวไปเพื่อสะสางกองทัพเว่ยที่หลงเหลืออยู่เบื้องหลัง ใช่ว่าจะต้องกวาดล้างกองทัพเว่ยทั้งหมด แต่ศึกนี้จะไม่จบลงสักพักและยังมีอีกหลายอย่างที่ต้องทำหลังจากมันจบลง อย่างน้อยก็ต้องรอเป็นเวลาสองถึงสามชั่วยามกว่าเขาจะสามารถมีเวลาว่าง
ซ่งชูอีกลับหลังหันนำกองทัพกลับไปที่ค่ายเพื่อจัดระเบียบ จากนั้นก็จะนำกองทัพกลับไปที่ผิงโจว
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่องค์ชายซื่อขึ้นครองราชย์แล้วเขาก็กระทำการด้วยความโหดร้ายและว่องไวซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากพี่ชายของเขา เขาส่งราชทูตไปบอกกล่าวกับหานและเจ้าว่า: เดิมทีซานจิ้นคือหนึ่งครอบครัว หากไม่เห็นด้วยก็ตายพร้อมกัน จะตายก็ต้องแบ่งปันชะตาร่วมกัน
ทัศนคติที่ก้าวร้าวและวิธีอันธพาลของเขานั้นเหมือนกับเสด็จพ่อไม่มีผิด
บัดนี้รัฐหานได้ยึดครองฉางเซ่อแล้ว แม้จะเป็นดินแดนเล็กๆ ทว่าขายุงก็เป็นเนื้อเหมือนกัน! สำหรับหานอ๋องที่ไม่ได้เห็นของดีมานานหลายปีและชอบฉกฉวยผลประโยชน์นั้นก็ตื่นเต้นจนแทบนอนไม่หลับ ดังนั้นเมื่อราชทูตของรัฐเว่ยส่งสารมาถึง เขาก็ตอบรับทันที ไม่มีปัญหา ก็แค่การเจรจาไม่ใช่รึ ตราบใดที่รัฐเว่ยตกลงที่จะยกดินแดนให้ การหยุดทหารก็เป็นเรื่องง่าย…อะไรนะ? เจ้าถามว่าอยากได้เท่าไรรึ…อืม รออีกประเดี๋ยวเถิด กว่าเหรินอยากดูว่ารัฐเจ้าจะให้เท่าไร ก็เปรียบเทียบกับรัฐเจ้าก็แล้วกัน…
รัฐเจ้าเพิ่งจะฟื้นตัวจากการต่อสู้ครั้งล่าสุดระหว่างฉีและเว่ย ทุกอย่างเพิ่งจะคืนสภาพ หากไม่มีการต่อสู้เลยจะดีที่สุด รัฐเจ้าจึงตกลงที่จะหารือเกี่ยวกับสันติภาพและการหยุดทหาร ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น มีเพียงปัญหาของขนาดดินแดนที่จะมอบให้ที่ชะงักงันเล็กน้อย
ในขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีการพูดคุยกันแต่กลับถูกดึงลงมา ทำให้ในที่สุดรัฐเว่ยก็มีโอกาสหายใจหายคอ