กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 352 ฝันอีกครั้งยามเย็น
ก้อนหินในน้ำตื้นไหลไปตามสายฝนฤดูใบไม้ร่วงที่โปรยปราย
เดิมทีมันคือทัศนียภาพอันงดงามของจงตู แต่น่าเสียดายที่กองทัพฉินเฝ้าอยู่ห่างออกไปกว่ายี่สิบลี้ ทั้งเมืองอยู่ในความระวังตัว ชุดเกราะที่เย็นเยียบบนหอคอยนั้นเพิ่มแรงอาฆาต น้ำฝนห่าใหญ่ชะล้างเลือดบนกำแพงนครจงตู กลิ่นอับชื้นที่มาพร้อมกับความหนาวเย็นทำให้ผู้คนรู้สึกอ้างว้างอย่างมาก
ภายในลานแห่งหนึ่ง ประตูและหน้าต่างของประตูห้องทางทิศตะวันออกเปิดกว้าง ลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดผ่านห้องโถง หมิ่นฉือสวมชุดเกราะสีทองแดงนั่งไขว่ห้างอยู่บนที่นั่ง โดยใช้มือข้างหนึ่งหนุนศีรษะไว้กับโต๊ะเพื่องีบหลับ
ลมพัดปอยผมที่กระจัดกระจายบนหน้าผาก ความรู้สึกคันเล็กน้อยทำให้เขาขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้นอนหลับสนิทมาเดือนกว่าแล้ว ความรู้สึกไม่สบายเล็กๆ น้อยๆ นี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการนอนหลับเลย
มีบางอย่างเย็นๆ ประพรมบนใบหน้า ฉากหิมะอันกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นในการหลับใหลของหมิ่นฉือ เสียงตะโกนของการต่อสู้ที่ดังขึ้นข้างหูนั้นสมจริง
เขาเห็นตัวเองพลิกตัวลงจากม้า รีบพุ่งขึ้นไปบนหอคอยเมือง ความรู้สึกกระวนกระวายใจก่อตัวขึ้นในใจ
ลมหิมะกรีดร้องอยู่เหนือกำแพงเมือง พัดเสื้อคลุมบินว่อน
ในขณะที่เดินเข้าไปใกล้หอคอย สายตาของหมิ่นฉือจับจ้องไปที่ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่ง ชาวหนุ่มผู้นั้นมองเขา แววตาที่สงบนิ่งนั้นคุ้นเคยยิ่ง รอยแผลเป็นตรงกลางคิ้วสะท้อนอยู่บนใบหน้าซีดขาวอย่างชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้
“ชูอี ข้ามารับเจ้า…”
ทันทีที่กล่าวคำพูดนี้ออกมา เขาก็เห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากปากของชายหนุ่ม
ทันใดนั้น สมองของเขาก็ว่างเปล่า ทุกอย่างดูเหมือนจะหยุดนิ่ง ความเจ็บปวดเสียดแทงจนหายใจไม่ออก
หมิ่นฉือเบิกตาโพรงขึ้นด้วยความตื่นเต้น สองมือประคองขอบโต๊ะไว้พร้อมหายใจอย่างกระหืดกระหอบ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาฝันแบบนี้ เขาจำใบหน้าของคนในฝันทุกครั้งที่ตื่นนอนไม่ได้ ทว่าแววตาที่คุ้นเคยกับประโยคที่ว่า “ชูอี ข้ามารับเจ้า” กลับชัดเจนไร้อย่างที่เปรียบ
“ชาติที่แล้วข้าติดค้างใครเช่นนั้นหรือ?” หมิ่นฉือหันไปมองสายฝนฤดูใบไม้ร่วงที่โปรยปรายนอกหน้าต่าง
นั่งเหม่อลอยเนิ่นนาน เขาลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง เดินไปข้างๆ เพื่อรินน้ำหนึ่งแก้ว
ครั้นน้ำเย็นเข้าไปในลำคอ ก็เริ่มมีสติมากขึ้น
เมื่อครั้งที่หมิ่นฉือและซ่งชูอีถูกกักบริเวณด้วยกันในรัฐเว่ย เขานั่งอยู่ใต้หน้าต่างก็สามารถมองเห็นทุกการเคลื่อนไหวของนางในลานบ้าน ท่าทีที่นางอ่านหนังสืออย่างสงบ ตั้งใจเล่นหมากรุก ดีดพิณอย่างสบายๆ…หรือแม้แต่การประชดประชันที่พูดคุยกับเขาในบางครั้งล้วนทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยและรู้สึกอยากเข้าใกล้อย่างประหลาด…
ตอนนั้นเขาก็เคยฝันถึงฉากที่นางตายครั้งหนึ่ง หลังจากหลายปีมานี้ก็ไม่ได้ฝันถึงนางอีกและค่อยๆ ลืมหายไปแล้ว ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้กลับฝันแบบเดิมอีกครั้ง
หลังจากดื่มน้ำเสร็จ หมิ่นฉือก็สลัดความคิดเหลวไหลออกไป กางแผนที่อยู่บนโต๊ะ นิ้วที่เรียวยาวเคาะอยู่บนตำแหน่งของจงตูบนแผนที่ ครุ่นคิดสักพักก่อนถอนหายใจเอ่ยว่า “ทางตัน”
เขาไม่ได้กล่าวถึงสนามรบในจงตู หากแต่หมายถึงตัวเอง ทันทีที่เว่ยเฮ่อตาย เขาก็เข้ามาสู่ทางตัน สงครามครั้งนี้ไม่ว่าจะหรือชนะ เมื่อเขากลับไปที่รัฐเว่ยอีกครั้งหากไม่ตายก็จะต้องมีชีวิตอย่างน่าสังเวช
นิสัยขององค์ชายซื่อสุดโต่ง จะต้องแก้แค้นอย่างแน่นอน เขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าเว่ยเฮ่อไม่ใช่คนที่โหดร้าย เช่นนั้นคนที่ฆ่าเว่ยฮุ่ยอ๋องแล้วใส่ความเขาครั้งนี้จะต้องเป็นที่ปรึกษาข้างกายเว่ยเฮ่ออย่างไม่ต้องสงสัย! ดูจากรูปแบบขององค์ชายซื่อแล้ว หากไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นฝีมือใคร เช่นนั้นก็จะฆ่าทิ้งเสียให้หมด แต่ไม่ว่าจะฆ่ามากแค่ไหนก็จะไม่ปล่อยผู้บงการไปอย่างเด็ดขาด
เมื่อใคร่ครวญถึงสิ่งที่เขาทำในครั้งนี้ หมิ่นฉือรู้สึกว่าเขายังไม่สงบพอ เขามักจะคิดว่าตัวเองเข้าใจบุคลิกของเว่ยเฮ่อ แต่ก็น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วจิตใจของมนุษย์ก็เหมือนทะเลที่เปลี่ยนแปลงได้และไม่แน่นอน
สำหรับแผนปัจจุบัน ทำได้เพียงสู้สงครามครั้งนี้ให้ดีที่สุดเท่านั้น รอเมื่อฉินเว่ยว่างเว้นจากสงครามแล้วค่อยหาโอกาสที่จะหลบหนีจากรัฐเว่ยและหันไปหารัฐเจ้า
แต่กองทัพฉินมีจำนวนหนึ่งแสนสามหมื่นนาย และบัดนี้กองทัพเว่ยที่รักษานครก็มีน้อยกว่าแปดหมื่นนาย ในนั้นก็ยังรวมกองกำลังเก่าขององค์ชายซื่อที่เขาพามาจากฉางเซ่อ เขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อพาคนกลุ่มนี้เข้าสู่จงตู จนถึงตอนนี้เขายังไม่สามารถรับประกันได้ว่าเขาจะสามารถสั่งการคนเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์
เดิมทีสถานการณ์ก็เสียเปรียบอยู่แล้ว หากกองทัพหมดกำลังใจอีก ก็ยากที่จะชนะศึกนี้!
ฝนหยุกตกแล้ว
ซ่งชูอีรีบกลับจากเฝินเฉิงไปยังผิงโจว เมื่อสั่งการให้เหล่านายพลปักหลักกองทัพแล้วก็รีบไปหาซือหม่าชั่วเพื่อหารือแผนการโจมตีนคร
ทางตะวันตกของรัฐเว่ยมีที่ราบ ภูเขา และเนินเขาเป็นหลัก ทางเหนือคือลุ่มน้ำไท่หยวน ทางใต้คือที่ราบแนวแม่น้ำเฝินซึ่งเชื่อมต่อกับที่ราบแม่น้ำเว่ยที่ตั้งอยู่ในเสียนหยางของรัฐฉิน ที่ดินมีความอุดมสมบูรณ์ ประชากรหนาแน่นมาก ส่วนจงตูอยู่ในลุ่มน้ำไท่หยวนมีภูมิประเทศเป็นที่ราบ ไม่มีสิ่งกีดขวางทางธรรมชาติ
ที่นี่เคยเป็นเมืองหลวงของรัฐเล็กๆ ในยุคสมัยชุนชิว กำแพงเมืองโดยรอบสูงและแข็งแรงกว่ากำแพงเมืองปกติซึ่งเป็นประโยชน์สำหรับการป้องกัน
“คิดไม่ถึงว่าหมิ่นจื๋อห่วนจะสามารถพาทหารนายห้าหมื่นนายไปถึงจงตูได้จริงๆ” ซือหม่าชั่วอุทาน “ข้านึกว่าคนนี้มีเพียงวิธีของคนต่ำช้า ที่แท้ก็ประเมินเขาต่ำเกินไปมาโดยตลอด”
ซือหม่าชั่วมีประสบการณ์การทหารเป็นเวลานาน เข้าใจเป็นอย่างดีว่าไม่สามารถควบคุมทหารม้าห้าหมื่นนายด้วยวิธีสกปรกได้
“ที่พามาก็ไม่เห็นว่าจะสู้ได้ ที่สู้ได้ก็ไม่เห็นว่าจะชนะ” ซ่งชูอีจ้องแผนที่โดยไม่สนใจหัวข้อนี้ จากนั้นก็ถามต่อ “ท่านแม่ทัพคิดว่า องค์ชายซื่อขึ้นตำแหน่งอ๋องแล้วจะทำอย่างไรกับทหารม้าห้าหมื่นนายนี้?”
“คนเหล่านี้เป็นทหารเก่าของเขาเอง หากสามารถกลับต้าเหลียงได้หลังศึกนี้ องค์ชายซื่อคงมอบหมายงานที่สำคัญให้กระมัง” ซือหม่าชั่วกล่าว
นี่เป็นความคิดธรรมดาทั่วไป ในตอนนี้ต้องพูดกันด้วยกำปั้นเท่านั้น กำปั้นของใครหนักกว่าก็ได้อำนาจไป องค์ชายซื่อฆ่าพี่ชายตัวเองเพื่อครองบัลลังก์ มิได้มาด้วยความชอบธรรมและความเหมาะสม จะต้องเผชิญกับแรงต้านทานของกองกำลังฝ่ายค้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงจำเป็นต้องมีทหารของตนเองเพื่อรวมระบอบการปกครอง
ซ่งชูอีส่ายหน้า “การมีทหารของตัวเองเป็นกองหนุนแน่นอนว่าได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่า อย่างไรก็ตามแม้ว่าองค์ชายซื่อจะครองบัลลังก์ด้วยการกบฏ แต่ก็พบกับการต่อต้านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ประการแรก ขณะที่เว่ยเฮ่อเป็นองค์รัชทายาท อำนาจในมือมีจำกัด กล่าวได้ว่ากองทหารเกือบทั้งหมดจงรักภักดีต่อเว่ยอ๋อง ตราบใดที่เหล่าขุนนางในราชสำนักคำนึงถึงอาชีพการงานไม่มีการกบฏกษัตริย์องค์ใหม่อีก องค์ชายซื่อก็จะสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งกษัตริย์ได้อย่างมั่นคง: ประการที่สอง ปัจจุบันมีปัญหาภายนอกมากกว่าปัญหาภายใน ในขณะที่กำลังจัดการปัญหาภายนอกก็เป็นโอกาสอันดีที่พระเจ้าประทานให้เขารวบรวมกำลังทหาร”
ผู้อื่นมาบุกถึงหน้าประตูบ้านแล้ว หากไม่สามัคคีกันต่อสู้แม้แต่บ้านเมืองก็จะมอดม้วยไปด้วย ใครจะไปมีกะใจสนใจความขัดแย้งภายในเล่า!
นอกจากนี้โดยทั่วไปแล้วนายพลและทหารระดับต่ำจะไม่สนใจมากนักว่ากษัตริย์คือใคร ผู้ที่สามารถมีอิทธิพลต่อพวกเขาคือขุนนางและแม่ทัพระดับสูงที่มีอำนาจในราชสำนัก บัดนี้กงซุนเหยี่ยนถูกจับเป็นเชลย ฮุ่ยซือละทิ้งวังหลวง จิ้นปี่ก็สู้ศึกอยู่ภายนอก องค์ชายอั๋งป่วยหนัก องค์ชายคนอื่นๆ ในรัฐเว่ยส่วนใหญ่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง พวกเขากำลังรอใครที่สามารถดูแลสิ่งต่างๆ ได้!
“ความหมายของกั๋วเว่ยก็คือ…” ซือหม่าชั่วเดาไม่ออกว่าเหตุใดนางถึงกล่าวเช่นนี้
ซ่งชูอีกล่าว “หมิ่นฉือเป็นคนของเว่ยเฮ่อ แต่ทหารในมือขององค์ชายซื่อเหล่านี้กลับเชื่อฟังคำสั่งของเขา! จะไม่ให้องค์ชายซื่อโมโหได้อย่างไร?”
ความโกรธนี้จะต้องถูกระบายออกไปยังผู้นำทัพอย่างแน่นอน
ซือหม่าชั่วกล่าวด้วยความงุนงง “ทว่าพระราชโองการของกษัตริย์ดุจขุนเขา ก็คงโทษคนเหล่านั้นไม่ได้กระมัง?”
ซ่งชูอีหรี่ตาแล้วหัวเราะเอ่ย “ระหว่างที่องค์ชายซื่อถูกคุมขัง มีเพียงสวีจ่างหนิงเท่านั้นที่นำคนไม่ถึงห้าร้อยคนช่วยเขาออกจากคุก ทว่าทหารส่วนตัวของเขากลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย จากนั้นก็ยังเชื่อฟังเว่ยเฮ่อ เท่ากับมีความคิดจะยอมแพ้มิใช่หรือ?”
ครั้นซือหม่าชั่วนึกถึงสถานะของสวีจ่างหนิง ก็เข้าใจในทันที “ที่แท้กั๋วเว่ยก็วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว”