กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 356 แผนทุบหม้อข้าว
แม้ว่าหมิ่นฉือจะส่งทูตลับไปหาจิ้นปี่เพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ความหวังทั้งหมดไม่ได้ถูกฝากไว้ที่การเสริมกำลัง
ไม่สามารถนั่งรอความตายได้!
ดวงตาของหมิ่นฉือเย็นชาลงทันใด รีบสั่งการให้เริ่มปรับใช้การตอบสนองหรือแม้แต่การโต้กลับทันที
หากการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่จุดเปลี่ยนของชีวิตก็คือจุดจบของชีวิต หมิ่นฉือรู้สถานการณ์ปัจจุบันของตัวเองเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่สามารถละทิ้งนครและหนีไปได้
เหตุผลที่เขาไม่ทำทุกอย่างด้วยความสุดโต่งเพราะเพื่อทำทุกอย่างให้มันดี แม้ว่าเขาจะไม่ใช่สุภาพบุรุษในแง่นี้ แต่ก็มีบางสิ่งที่ต้องยึดมั่น มิฉะนั้นเขาจะกลายเป็นคนหน้าด้านที่เอาแต่แสวงหาผลกำไรอย่างสมบูรณ์
หากตัดอนาคตของตัวเองทิ้ง แล้วจะรักษาชีวิตของตัวเองไปเพื่ออะไร?
“รายงาน…” หัวหน้ากองซือหม่ารีบเข้ามาในกระโจม “ท่านแม่ทัพ บัดนี้ทหารฉินข้ามแม่น้ำมาทางทิศเหนือของนครแล้ว มีประมาณห้าถึงหกพันคน ไม่สามารถยิงธนูได้ ท่านแม่ทัพซู่ถามว่าสามารถเปิดประตูนครเพื่อฆ่าได้หรือไม่”
หมิ่นฉือเอ่ย “ยิงธนูต่อไป ห้ามออกจากนคร”
หัวหนากองซือหม่าอึ้งไปครู่หนึ่ง “ขอรับ!”
กองทัพฉินไม่ได้อยู่ในระยะการยิงที่มีประสิทธิภาพอีกต่อไป การยิงธนูก็เป็นเรื่องสูญเปล่า ทว่าคำสั่งท่านแม่ทัพดุจขุนเขา แม้ว่าจะไม่มีใครขัดขวางแต่ก็มีบางคนตั้งคำถามขึ้น “ทหารของข้าถูกขังอยู่ในนคร ไม่สามารถเติมอาวุธได้ ท่านแม่ทัพหมิ่นใช้ธนูเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ?”
“หากไม่ต่อต้านเลยก็เป็นการบอกกองทัพฉินอย่างชัดเจนว่าเรามีแผนการอื่นไม่ใช่หรือ?” หมิ่นฉือถามกลับ
ทุกคนเข้าในทันที รวบรวมสมาธิและตั้งใจฟังการจัดเตรียมของเขาต่อ
ท้องฟ้ากำลังมืดลง ด้านในคูเมืองทางตอนเหนือของจงตูเต็มไปด้วยลูกศรขนนก บัดนี้คูเมืองถูกขุดหลุมยาวแปดถึงเก้าจั้งแล้ว น้ำในแม่น้ำเอ่อล้นจากตรงนั้นและไหลไปยังเมืองจงตูช้าๆ
ในตอนนี้ปริมาณน้ำล้นยังไม่มาก หากปลายน้ำทั้งหมดถูกปิดกั้น ระดับน้ำของคูเมืองจะสูงขึ้นภายในสองวัน แต่ก็ยังห่างไกลจากที่จะทำให้ถูกน้ำท่วมได้ ดังนั้นกองทัพฉันจึงเริ่มรับน้ำจากลำน้ำสาขาชุ่ยหูที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อนำไปสู่คูเมืองทั้งหมด
ลำน้ำสองสาขา บวกกับลำน้ำหลักสายหนึ่ง น้ำในแม่น้ำระเบิดออกอย่างรวดเร็วและไหลเข้าสู่นครจงตู
กำแพงดินที่แห้งกร่อนจะดูดซับน้ำอย่างรวดเร็วทันทีที่เจอน้ำ ในไม่ช้าผนังด้านทิศเหนือและทิศตะวันออกก็เปียกไปครึ่งหนึ่ง กระแสน้ำไหลมาบรรจบกัน กำแพงเมืองทางตอนใต้จึงยากที่จะต้านทาน
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะอยู่ในความควบคุมของซ่งชูอี
“ไม่ถูก” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความแน่วแน่ “หมิ่นฉือจะต้องมีแผนอื่นเป็นแน่ นั่งรอความตายไม่ใช่รูปแบบของเขา”
ซือหม่าชั่วมองแผนที่นั้น เอ่ยว่า “บัดนี้พวกเขาทำได้เพียงออกไปนอกเมืองและขุดคันดินทางทิศใต้เพื่อท่วมค่ายทหารของพวกเรา ข้าส่งคนไปสำรวจบริเวณใกล้เคียงคูเมืองแล้ว ทันทีทีทหารเว่ยมีความเคลื่อนไหวก็จะนำกองกำลังเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องคูเมืองทางตอนใต้ของเมืองทันที…นอกเหนือจากนี้ เขายังมีวิธีอื่นอีกหรือ?”
นี่เป็นหมากตัวสุดท้าย ถ้าไม่สามารถทำการโต้กลับได้ภายในสิบวันจะต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
เมืองที่โดดเดี่ยวถูกปิดล้อม แม้แต่ประตูชีวิตบานเดียวก็ถูกปิดกั้น นอกเหนือจากการปกป้องนครและรอการเสริมกำลังอย่างสิ้นหวังแล้วก็ต้องฝ่าออกไปจากนครและต่อต้านสุดชีวิต
“ข้าคิดอยู่เสมอว่าการย้ายตำแหน่งของค่ายทหารจะเป็นการดีที่สุด” ซ่งชูอีเอ่ย
พื้นที่ของที่นี่ต่ำ นอกเหนือจากนี้ยังมีทั้งทะเลสาบและแม่น้ำซึ่งไม่เหมาะสำหรับการตั้งค่าย ด้านหลังทางทิศตะวันออกห่างไปห้าสิบลี้ก็คือค่ายทหารของจิ้นปี่ ทางทิศเหนือติดแม่น้ำ ทางทิศตะวันตกมีแม่น้ำเฝินไหลผ่าน นอกจากนี้ยังมีแควมากมายที่แบ่งพื้นที่ราบออกเป็นส่วนๆ ซึ่งไม่เหมาะสำหรับการตั้งค่ายไปกว่าทางตอนใต้ของเมืองอีกแล้ว
ซือหม่าชั่วก็พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะเลือกที่ตั้งของค่าย “จะไปย้ายไปที่ใด?”
ซ่งชูอีส่ายหน้า “เป็นเพียงแค่ความรู้สึกของข้าเท่านั้น ท่านแม่ทัพใหญ่อย่าได้ถือสา”
การพูดถึงความรู้สึกระหว่างการเดินขบวนฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระมาก ทว่าซือหม่าชั่วเข้าใจความหมายของนาง “คำพูดของกั๋วเว่ยมีเหตุผล หมากคราวนี้กองทัพเว่ยจะถูกขังจนตาย แต่สถานการณ์ของเราก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน”
การถอยทัพเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามการถอยห่างออกไปหนึ่งหรือสองลี้ไม่ได้มีผลมากนัก อีกทั้งยังทำให้จิตใจของทหารสั่นคลอนได้ง่าย หลังจากถอยไปไกลก็ไม่สามารถคควบคุมสะพานแม่น้ำเฝินได้ ที่นั่นคือทางถอยร่นเดียว ไม่สามารถทำผิดพลาดได้
“น้ำที่ต้นน้ำไม่เพียงพอที่จะสลายกองทัพของเรา เดิมทีมีหญ้าและต้นไม้มากมาย ทำให้ถนนเป็นโคลนและยากต่อการเดินเรือ” ซือหม่าชั่วเห็นว่านางเป็นกังวลจึงเอ่ยว่า “ผ่านไปอีกไม่กี่วันก็สามารถขุดลอกทางแม่น้ำได้แล้ว การโจมตีนครกำลังจะเริ่มขึ้น กั๋วเว่ยต้องทำจิตใจให้มั่นคง”
“ขอรับ ขอบคุณท่านแม่ทัพที่ชี้แนะ” ซ่งชูอีหลุบตาเอ่ย
ซือหม่าชั่วพยักหน้า “ฟ้ายังสว่างอยู่ รีบพักผ่อนเถิด”
“ได้ เช่นนั้นข้าขอตัวแล้ว” ซ่งชูอีเอ่ย
หลังจากออกมาจากกระโจมแล้ว ซ่งชูอีสูดหายใจเอาอากาศที่เยือกเย็นเข้าไป หมอกหิมะที่พ่นออกมาเชื่องช้าม้วนตัวแล้วสลายหายไป
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีหมึก ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นเป็นเม็ดๆ ตกลงที่ใบหน้า นางเอื้อมมือไปสัมผัสสิ่งที่อยู่บนใบหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้ง
คล้ายกับเกล็ดหิมะ!
ซ่งชูอียืนอยู่ครู่หนึ่ง เห็นมันค่อยๆ ตกอย่างหนาแน่นขึ้นจนทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบในใบหญ้า นางรีบหมุนตัวกลับไปในค่ายผู้บัญชาการทันที
ซือหม่าชั่วกำลังยืนอยู่หน้ากระโจมพลางมองม่านหิมะพร้อมกับขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่ดีมาก
ซ่งชูอีหยุดเดินกะทันหัน ไอหมอกถูกขับออกจากจมูกและปากอย่างรวดเร็ว “หิมะตกแล้ว”
“เฮ้อ!” ซือหม่าชั่วทอดถอนใจ “เกรงว่าจะต้องเปลี่ยนแผน”
หากอุณหภูมิลดต่ำลงกะทันหัน เช่นนั้นน้ำที่กองทัพฉินทุ่มเทกายใจระบายเข้าไปในนครจงตูก็จะกลายเป็นน้ำแข็ง ทำให้กำแพงเมืองแข็งแรงกว่าเดิมหลายเท่า!
คำนวณตามสภาพอากาศในจงตูภายในสิบปี ยังเหลืออีกอย่างน้อยครึ่งเดือนก่อนที่จะมีอากาศหนาวจัดใกล้จงตู…เช่นนั้นสวรรค์กำลังต่อกรกับพวกเขาอยู่!
ระหว่างความเงียบงันนี้ ก็มีนายพลสองสามนายทยอยกันวิ่งเข้ามา
“เข้ามาค่อยคุยเถิด” ซือหม่าชั่วหมุนตัวเข้ากระโจมไป
คนที่เหลือเดินตามกันเข้ามา
พวกเขายืนอยู่หน้าแผนที่โดยแบ่งตามลำดับตำแหน่งทางการ ซือหม่าชั่วผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน เขาจึงไม่ตื่นตระหนกท่ามกลางวิกฤต “ทุกคนอย่าได้ตื่นตกใจ ก็แค่หิมะตก ยังไม่ถึงกับก่อตัวเป็นชั้นน้ำแข็งหนา เพียงแต่พวกเราก็ต้องเตรียมพร้อมทั้งสองด้าน หากสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยก็ต้องมั่นคงและยืดหยุ่นตามสถานการณ์”
“ขอรับ!” ทหารทั้งหมดตอบเป็นเสียงเดียวกัน
แม้จะกล่าวเช่นนี้ ทว่าซือหม่าชั่วและซ่งชูอีพลิกไปพลิกมาทั้งคืนยากที่จะหลับลง ลงจากเตียงอยู่หลายครั้งเพื่อดูสถานการณ์ภายนอกและไม่ได้หลับไปจนถึงรุ่งสาง
แสงแรกของยามเช้าส่องสว่าง หญ้าที่เหี่ยวเฉาถูกปกคลุมด้วยชั้นสีขาวบางๆ ราวกับน้ำค้าง ชั้นน้ำแข็งบางๆ ที่ก่อตัวขึ้นในแม่น้ำทอแสงระยิบระยับภายใต้แสงอาทิตย์
หลังจากซ่งชูอีลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็ออกไปนอกกระโจมทันที เมื่อเห็นว่าอ่างน้ำที่ใส่ไว้เมื่อคืนไม่เป็นน้ำแข็ง ก็รู้สึกวางใจขึ้นมาเล็กน้อย
“กู่…” คำพูดติดอยู่ที่ปากของซ่งชูอี ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่ากู่หานไม่อยู่แล้ว “กู่ฉิง!”
นายทหารวัยกลางคนที่ประจำการอยู่ไม่ไกลเดินเข้าไปใกล้ “ข้าน้อยรายงานตัวขอรับ!”
“ทหารเว่ยมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง?” ซ่งชูอีเอ่ยถาม
“เมื่อคืนกลางดึก ประตูทางฝั่งเหนือของจงตูเปิดออก ทหารเว่ยหนึ่งร้อยคนที่ออกไปจากนครและทำลายสะพานทางตอนเหนือและตะวันออกถูกท่านแม่ทัพสั่งให้ยิงธนูฆ่า นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอื่น” กู่ฉิงกล่าว
หมิ่นฉือกำลังจะล่าถอยและบังคับให้ทุกคนในนครต่อสู้กับศัตรูด้วยกัน!
หมิ่นฉือรู้ดีว่าทหารฉินกำลังล้อมจงตูและแม้แต่นกก็ไม่สามารถบินออกไปได้ แต่เมื่อถึงเวลาต่อสู้จริงก็จะต้องเหลือทางหนีทีไล่อย่างแน่นอน ท้ายที่สุดสิ่งที่พวกเขาต้องการคือนครเท่านั้น บัดนี้กองทัพเว่ยกำลังขัดแย้งกับแม่ทัพ คนทั่วไปรู้ว่ากองทัพฉินจะไม่เข่นฆ่านครนี้จึงไม่เต็มใจที่จะต่อต้านด้วยกำลังทั้งหมดของพวกเขา นอกเหนือเสียจากว่าเส้นทางหลบหนีถูกตัดขาดเท่านั้น พวกเขาจึงจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อความอยู่รอด