กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 361 รอยยิ้มที่ละลายความเป็นศัตรู
กองทัพเว่ยที่เหนือเมืองเห็นว่ากองทัพฉินบุกเข้ามาจากทางตะวันตกของนคร ในใจก็รู้ว่าทิศตะวันตกเสียการป้องกันไปแล้ว ทันใดนั้นก็เริ่มวิ่งหนีกันกระจัดกระจาย
ระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือด มันเป็นไปไม่ได้เลยที่กองทัพเว่ยที่หลงเหลืออยู่จะยอมจำนน ตอนนี้พวกเขาเข้าใกล้ช่วงเวลาสุดท้ายที่ทรมานที่สุดในชีวิต ความตายหนักอึ้งอยู่บนไหล่ นอกเหนือจากการคร่ำครวญอย่างสิ้นหวังแล้ว มันก็คือการต่อสู้ของสัตว์ร้ายที่ติดกับ
เมื่อจิตวิญญาณแตกกระเจิงก็ไม่สามารถต้านทานการต่อสู้ได้ เพียงพริบตาเดียว กองทัพเว่ยก็ล้มลงทีละคน ศพกองพะเนินอยู่บนเชิงเทิน
กองทัพเสื้อเกราะสีดำนับร้อยล้อมหมิ่นฉืออยู่ตรงกลาง
ในตอนนี้มันไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงสิ่งใดนอกจากการยืนหยัดต่อสู้
“ท่านแม่ทัพหมิ่น ทิ้งดาบแล้วยอมจำนนเสียเถิด!” แม่ทัพฉินคนหนึ่งกล่าวเสียงดัง
หมิ่นฉือยกมุมปากยิ้ม ขยับขาเล็กน้อย เหวี่ยงดาบเข้าหาแม่ทัพผู้นั้นอย่างดุเดือด
กองทัพฉินใช้ดาบสู้กลับ แต่กลับถูกพลังนี้ทำให้ถอยหลังออกไปหลายก้าว เขากัดฟันพูด “แม่ทัพหมิ่น ท่านไม่จำเป็นต้องต่อต้านอย่างไร้สติ! ท่านอ๋องชื่นชมความสามารถของท่าน ท่านออกจากรัฐเว่ยแล้วก็ยังทำงานได้ อย่ารนหาที่ตายดีกว่า!”
หมิ่นฉือทำเป็นไม่ได้ยิน ดาบยาวกวัดแกว่งราวกับงูและฆ่าทหารฉินหกถึงเจ็ดคนภายในพริบตา เมื่อแม่ทัพฉินเห็นว่าเกลี้ยกล่อมเขาไม่สำเร็จ หากยังคงดำเนินต่อไปชีวิตของทหารจะถูกสังเวยโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นจึงสั่งการให้จับเขาไม่ว่าจะเป็นหรือตาย!
ด้วยคำสั่งนี้ ทหารฉินจึงตั้งกระบวนท่าพร้อมฆ่า และสถานการณ์ของหมิ่นฉือก็ตกอยู่ในอันตรายเฉียบพลัน
หลังจากต่อสู้เป็นเวลาหนึ่งถ้วยชาแล้ว เกราะบนร่างกายของเขาก็แตกสลาย ผมเผ้าถูกปล่อยสยาย เลือดกระเซ็นออกจากร่างกายทุกครั้งที่เขาขยับตัว ท่าทางสะบักสะบอมอย่างมาก
อีกด้านหนึ่งของคูเมือง เงาสีขาวแวบผ่านผิวน้ำราวกับสายฟ้า วิ่งผ่านฝูงชนและพุ่งไปยังบนกำแพงเมืองอย่างคล่องตัว
ไป๋เริ่นแบกซ่งชูอีและหยุดลงบนกำแพงเมืองไม่ไกลจากตำแหน่งของหมิ่นฉือแผ่วเบา
ซ่งชูอีถือคันธนูไว้ในมือข้างหนึ่ง หลังจากเฝ้าดูเขาอย่างเงียบๆ เป็นเวลานานก็ดึงลูกศรขึ้นมาแล้วโก่งคันธนู
หัวธนูนั้นเล็งไปที่ลำคอของหมิ่นฉือ กองทัพฉินที่กำลังปิดล้อมมากด้วยประสบการณ์ ฉวยโอกาสนี้เพื่อเผยร่างของหมิ่นฉือแต่จนแล้วจนรอดลูกธนูก็ไม่ยิงมาเสียที
ซ่งชูอีมองท่าทางที่สะบักสะบอมของเขาตามทิศทางของหัวธนู ในสมองวุ่นวายสับสน
“ข้าบ่มสุราเอาไว้ แม้จะไม่ยอดเยี่ยมเหมือนของเจ้า แต่ก็เป็นของสดใหม่ที่หาได้ยาก…”
“เป็นความผิดของข้าเอง เจ้าด่าได้เลย”
“ไว้ต่อไปข้ามีตำแหน่งสูงแล้วจะมาสู่ขอเจ้า”
“ชูอี ข้ามารับเจ้า…”
……
ระหว่างที่หมิ่นฉือกำลังต่อสู้ก็มองเห็นนางระหว่างช่องว่างของฝูงชน ทั้งสองคนสบตากัน เขายิ้มทันใด
ในรอยยิ้มนั้นมีความไม่เต็มใจ ความขมขื่น เลื่อมใส…มีเพียงซ่งชูอีเท่านั้นที่เข้าใจ
นิ้วของซ่งชูอีสั่นเทาเล็กน้อย มุมปากยกยิ้มขึ้น แต่มีกลับหมอกจางๆ ในดวงตา ธนูและลูกศรในมือของนางลดต่ำลงและลูกศรก็ยิงไปยังศพซึ่งอยู่ห่างออกไปสองก้าว
การพบกันของพวกเขาครั้งนี้ หนึ่งรอยยิ้มก็สามารถละลายความเป็นศัตรูได้ แต่มันสามารถเกิดขึ้นได้บนหน้าผาแห่งชีวิตและความตายเท่านั้นกระมัง
“ฆ่า!”
จู่ๆ กองทัพฉินก็ตะโกนเพื่อกระตุ้นขวัญกำลังใจ หลายสิบคนเข้ามารุม
ซ่งชูอีเหลือบตาขึ้นมอง เห็นสิบกว่าคนนั้นล้มลงท่ามกลางความพร่ามัว เผยให้เห็นร่างของหมิ่นฉือ…ดาบสองเล่มเสียบเข้าที่หน้าอกและหน้าท้องของเขา เลือดไหลโครกออกมาตามดาบ
เขาใช้ดาบค้ำร่างของเขา ยกมือขึ้นมาดึงดาบสองด้ามออกอย่างแรง เลือดพุ่งออกจากบาดแผลเหมือนสายธาร
หลังจากทั้งหมดนี้ เขาพิงกำแพงพร้อมอ้าปากหายใจพะงาบๆ
ของเย็นๆ เม็ดหนึ่งร่วงลงบนใบหน้า เขาเอนหลังและเงยหน้าขึ้นเพื่อรับหิมะที่ตกลงมา ความเย็นเยียบเจือจางจากใบหน้าพุ่งเข้าสู่ร่างกายทำให้สมองของเขาค่อยๆ ปลอดโปร่งและสดชื่น
ท้องฟ้าสีเทา เกล็ดหิมะตกลงโปรยปราย รูปทรงที่แตกต่างกันทำให้จิตใจเปิดกว้าง
สติของหมิ่นฉือเริ่มพร่ามัวอีกครั้งไปตามอุณหภูมิในร่างกายที่เสียไป ทันใดนั้นความรู้สึกแปลกๆ นานับประการก็ปรากฏขึ้นในใจ ภาพประหลาดมากมายปรากฏขึ้นในสมองราวกับกระแสน้ำที่เอ่อล้น
ท่ามกลางความมึนงง หมิ่นฉือมองเห็น “ตัวเอง” ที่แก่ชราสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่นั่งต้มสุราบ๊วยอยู่ในลานตามลำพัง เขาเป็นมหาเสนาบดีแห่งรัฐเว่ย เป็นขุนนางผู้มีผลงานโดดเด่นที่ทำให้รัฐเว่ยได้กลายเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า เขาเอาชนะอุปสรรคทั้งหมดและก้าวไปสู่จุดสูงสุดของอำนาจซึ่งดึงดูดความสนใจของคนทั้งมวล
หมิ่นฉือหัวเราะเยาะตัวเอง เขาอยากประสบความสำเร็จจนเสียสติไปแล้วกระมัง!
อย่างไรก็ตามความเจ็บปวดและความเปล่าเปลี่ยวในใจในตอนนี้มันชัดเจนยิ่ง! เมื่อมีอำนาจอยู่ในมือและเมื่อยิ่งรุ่งเรืองมากเท่าใดก็ยิ่งคิดถึงคนนั้นจากก้นบึ้งของหัวใจ นางเต็มไปด้วยการสมรู้ร่วมคิดแต่กลับมีความรักอันบริสุทธิ์ ในโลกใบนี้ นางเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สามารถทำให้เขารักและเจ็บปวดไปชั่วชีวิต
หมิ่นฉือหันหน้ามาเล็กน้อย เมื่อเห็นรูปร่างผอมบางราวกับต้นไผ่ผ่านฝูงชนก็อ้าปาก
“ชูอี ข้ารักเจ้า”
เขาต้องการกล่าวเช่นนี้
คำพูดไม่สามารถหลุดออกมาจากปากได้ เขาค่อยๆ ไถลไปตามกำแพงเมืองด้วยความสิ้นหวัง
ทหารฉินหลายคนก้าวไปข้างหน้าเพื่อตัดศีรษะของเขา ซ่งชูอีเอ่ยเสียงเย็นชา “ช้าก่อน! ห้ามทำให้ศพเสียหาย!”
รัฐฉินมีระบบการเลื่อนขั้นจากจำนวนศัตรูและตำแหน่งของศัตรูที่ถูกสังหาร คำสั่งของซ่งชูอีทำให้ผู้คนไม่พอใจ แต่เนื่องจากตำแหน่งของนางสูงกว่าจึงไม่มีใครกล้าขัดคำสั่ง
นางเหลือบมองศพของหมิ่นฉือ เอ่ยว่า “กำลังของคนคนเดียวสังหารศัตรูได้สามร้อย เป็นทหารผู้เข้มแข็ง! ให้คนนำศพกลับไปที่รัฐเว่ย!”
ชาวฉินนับถือวีรบุรุษ ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือสหาย แม้แต่นักรบทุกคนควรได้รับความเคารพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนี่เป็นคำสั่ง พวกเราก็ทำได้เพียงคำตามเท่านั้น
“ขอรับ!” ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
ซ่งชูอีถอยหลังกลับไปที่กำแพง มองดูทหารสองคนแบกร่างของหมิ่นฉือลงจากหอคอย
ศพเกลื่อนกลาด ผนังถูกย้อมด้วยเลือดสีแดงจนแทบจะมองไม่เห็นสีเดิมของมัน หิมะเริ่มตกหนักขึ้น ในไม่ช้าชั้นสีขาวบางๆ ก็ตกลงบนเชิงเทินสีแดงเข้ม
“กั๋วเว่ย ลมแรงแล้ว อย่างไรเสียก็กลับกันก่อนเถอะ” ไป๋เชาขึ้นไปบนหอคอยและสั่งให้คนรวบรวมศพของทหารเว่ยและทหารฉินทั้งหมดที่อยู่ใต้เมืองไปทำการฝัง
ซ่งชูอีไม่ได้หันกลับมา ลูบใบหน้าตัวเองอย่างสับสน กล่าวด้วยน้ำเสียงอู้อี้ขึ้นจมูก “อากาศหนาวแล้ว ศพไม่เน่าเสียง่ายๆ เตรียมเสื่อฟางสำหรับฝังศพเถิด”
ไป๋เชาทอดถอนใจ “ทหารพลีชีพควรถูกฝังที่บ้านเกิดอย่างที่ควรจะเป็น”
“เมื่อใต้หล้าอยู่ในอาณาเขตของรัฐฉินก็นับว่าเป็นบ้านเกิดแล้ว” ซ่งชูอีลูบๆ หัวของไป๋เริ่น หมุนตัวมา
ไป๋เชาตกตะลึง ประการแรกเพราะถ้อยคำของนาง และเพราะเห็นดวงตาของนางแดงก่ำเล็กน้อย
เมื่อลมหนาวเสียดแทง เขาก็ได้สติกลับมา “กั๋วเว่ยหลั่งน้ำตาให้ศัตรูหรือ?”
หัวใจของกุนซือนั้นแข็งแกร่งกว่าเหล่าทหารที่วาดดาบเข่นฆ่าเหล่านี้ อีกทั้งซ่งชูอีเข้าร่วมสงครามมากกว่าหนึ่งครั้งแล้ว ไป๋เชาจึงเดาว่านางไม่ได้หลั่งน้ำตาเพราะเหตุนี้
ซ่งชูอีเอ่ยเสียงเบา “สำหรับกุนซือคนหนึ่งแล้ว ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและโชคดีอย่างแท้จริงที่คนที่เข้าใจตัวเองที่สุดตาย”
พูดจบก็พาไป๋เริ่นลงบันไดหอคอยไป