กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 362 ได้เจอที่รักตัวน้อยอีกครั้ง
การปิดฉากหลังสงครามกำลังดำเนินอยู่ มีข่าวมาจากเจ้าอี่โหลวว่าเขานำกองทหารเข้าต่อสู้กับกองทัพเว่ยและปกป้องเฝินเฉิงอย่างไม่เกรงกลัว
จงตูเป็นป้อมปราการคอหอยของดินแดนตะวันออกและตะวันตกของรัฐเว่ย การครอบครองตรงนี้สามารถปิดกั้นการเดินทางของกองทัพเว่ยได้
การต่อสู้ครั้งนี้เป็นชัยชนะที่เลวร้ายสำหรับกองทัพฉิน ไม่เพียงแต่สูญเสียกำลังพลนับหมื่นแต่ยังผลาญเสบียงจำนวนมหาศาลอีกด้วย อย่างไรก็ตามรัฐเว่ยถูกควบคุมโดยรัฐเจ้าและไม่สามารถตอบโต้ได้ นี่เป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับรัฐฉินในการเจรจาสันติภาพ
แต่เดิมรัฐฉินก็มีอำนาจเหนือกว่า บวกกับจางอี๋ออกโรงด้วยตัวเอง ไม่มีใครในรัฐเว่ยสามารถต้านทานได้
การเจรจายืดเยื้อเป็นเวลาครึ่งเดือน รัฐฉินและรัฐเว่ยลงนามในสนธิสัญญาไม่ละเมิดซึ่งกันและกันเป็นเวลายี่สิบปี รัฐฉินคืนกงซุนเหยี่ยนให้ ยกเว้นพื้นที่ที่ถูกยึดครองไปแล้วก็ไม่มีการขอที่ดินเพิ่มเติมอีก รัฐฉินไม่เพียงจัดพิธีแต่งงานเพื่อเจริญไมตรีแต่ยังส่งองค์ชายเข้ารัฐเว่ยเป็นตัวประกันเพื่อเป็นการปลอบใจอีกด้วย
เงื่อนไขนั้นดีเยี่ยงนี้ รัฐเว่ยไม่มีเหตุผลที่จะไม่เห็นด้วย
การเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น
หลังจากนั้นจางอี๋ก็เดินทางไปรัฐหาน มอบที่ดินส่วนใหญ่ที่ได้จากสงครามครั้งนี้ให้แก่หานอ๋อง ลงนามในพันธสัญญาที่จะไม่ละเมิดรัฐฉินเป็นเวลายี่สิบปี
นี่คือวิธีล่อลวงของจางอี๋ สิ่งที่กล่าวกับรัฐเว่ยคือ “ห้ามละเมิดซึ่งกันและกัน” สิ่งที่หารือกับรัฐหานคือพันธสัญญาฝ่ายเดียวที่ว่า “ห้ามละเมิดรัฐฉินเป็นเวลายี่สิบปี” หานอ๋องที่ได้ที่ดินผืนใหญ่ฉับพลันนั้นดีใจจนแทบบ้า แม้จะรู้สึกว่ายี่สิบปีนั้นนานเกินไป แต่ก็ยังไม่สามารถต้านทานการยุยงของจางอี๋ได้และทำพันธสัญญาอย่างมีความสุข
การส่งมอบที่ดินใช้เวลานานถึงสี่เดือนเต็ม หลังจากที่รัฐหานเข้ายึดครองพวกเขาก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าจำนวนประชากรในที่ดินผืนนั้นลดลงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้!
แต่สิ่งนี้กลับไม่สามารถหยุดความสุขของหานอ๋องได้ สุดท้ายแล้วเขาก็ได้ดินที่อุดมสมบูรณ์ขนาดนี้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ!
ฉินเว่ยสงบศึก การโจมตีระหว่างรัฐเจ้าและรัฐเว่ยก็หยุดลงโดยเน้นกำลังทั้งหมดไปที่การป้องกันแทน
ดินแดนแปดร้อยลี้ของฉินชวนก็คืนสู่ถิ่น
กองทัพที่กลับมาหลังสงครามประจำการอยู่ห่างจากนครเสียนหยางยี่สิบลี้ ดวงอาทิตย์ตกดินทอแสงสีแดงบนพื้นหิมะสีขาว ควันไฟคละคลุ้งมาจากถิ่นทุรกันดาร ในที่สุดทหารที่เหลืออยู่หลังสงครามก็ผ่อนคลายลงและมีความสุขกับช่วงเวลาแห่งความเงียบสงบนี้
ซ่งชูอีพาไป๋เริ่นออกจากกระโจม เหลือบตาขึ้นมองก็เห็นนายพลหนุ่มในชุดเกราะสีดำ แสงสายัณห์ของดวงอาทิตย์ทำให้ร่างกายของเขามีรัศมีสีแดงทอง ใบหน้าที่ซ่อนไว้ครึ่งหน้าใต้หนวดเคราเผยให้เห็นความแข็งแกร่ง
มองตากันอยู่นานจนกระทั่งรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของกันและกัน ซ่งชูอีจึงเอ่ยปากพูด “เข้ามาเถิด”
เจ้าอี่โหลวเข้าไปในกระโจมและปลดม่านลง ยืดแขนออกมากอดคนที่เฝ้าคิดถึงทั้งวันและคืนตรงหน้า
ความอ่อนโยนที่หาได้ยากปรากฏขึ้นในดวงตาของซ่งชูอี นางยิ้มโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทั้งสองคนกอดกันเงียบๆ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เจ้าอี่โหลวก้มหน้าลงและวางคางไว้บนไหล่ของนาง กระซิบเสียงเบาข้างหู “จากกันคราวนี้ ข้าได้มองเห็นอะไรมากมาย”
“หืม?” ซ่งชูอียังนึกว่าเขาจะพูดว่าคิดถึงนางเสียอีก
“ในอดีตข้าเคยเกลียดรัฐเจ้าที่เป็นฆาตกรฆ่าลูกของเรา ทว่าบัดนี้ได้มลายหายไปแล้ว” เจ้าอี่โหลวปล่อยมือ ดวงตาสีดำคู่หนึ่งจ้องมาที่นาง “เพราะว่าคนตรงหน้าของข้าสำคัญที่สุด”
ความแค้นเหล่านั้นที่ชำระได้ก็รับการชำระแล้ว หากต้องแลกกับราคาที่ต้องทำร้ายคนตรงหน้า เขาก็เต็มใจที่จะลืมเลือน
ซ่งชูอียกยิ้มมุมปาก
เจ้าอี่โหลวจับไหล่บางๆ ของนางพร้อมกล่าวด้วยความจริงจัง “พวกเราออกไปจากรัฐฉินเถิด”
ซ่งชูอีมองเขา รอยยิ้มบนใบหน้าค่อยๆ จางหายไป “อี่โหลว เจ้าก็รู้ว่าข้าจะไม่มีวันหยุดเดิน” นางมองตรงเข้าไปในดวงตาที่ชัดเจนของเขา “ข้าเห็นแก่ตัวเช่นนี้ตลอดมา เอาแต่ยืนกรานในทางของข้า”
ใช่แล้ว นางไม่เพียงเห็นแก่ตัว ทั้งยังเห็นแก่ตัวอย่างตรงไปตรงมาอีกด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดในใจนางคือ “เส้นทาง” ตราบใดที่ไม่ใช่ช่วงเวลาที่นางพบว่ามันยากที่จะก้าวต่อ นางก็จะไม่ถอยแม้แต่ก้าวเดียว
เส้นทางที่ยิ่งใหญ่ย่อมไร้ความปรานี
“ข้าทำผิดต่อเจ้า” ซ่งชูอีถอนหายใจเอ่ย
เจ้าอี่โหลวส่ายหน้า นับตั้งแต่ตอนที่แยกจากกันในรัฐเจ้า เขาก็รู้แล้วว่านางเป็นคนอย่างไร นางให้ความสำคัญกับความรักและความยุติธรรม แต่นางก็ไม่ลดละ เขาไม่ตำหนินาง แต่เกลียดตัวเองที่ทั้งๆ ที่รู้ว่านางจะไม่รับปากแต่กลับพูดออกมาทำลายบรรยากาศของการพบกันอีกครั้งหลังจากที่รอคอยมานาน
ซ่งชูอีกุมมือหยาบกร้านของเจ้าอี่โหลว เอ่ยเสียงเบา “ที่รักตัวน้อยของข้ากลายเป็นลูกผู้ชายเกเรเสียแล้ว เวลาไม่คอยใครจริงๆ เลยนะ!”
เจ้าอี่โหลวตกตะลึง เขาเคยต่อต้านอย่างมากที่ซ่งชูอีเรียกเขาแบบนี้ หลังจากนั้นเขาก็มึนงง เมื่อได้ยินชื่อนี้อีกครั้งหลังจากผ่านมานานน้ำตาของเขาก็เอ่อล้นเบ้าตา
เจ้าอี่โหลวกอดนาง
“หวยจิน!”
จางอี๋ไม่ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เปิดม่านแล้วเดินเข้ามาแล้ว เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนกำลังกอดกันในวินาทีต่อมาก็อ้าปากค้างราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
คนข้างนอกผ่านมาและผ่านไป เมื่อครู่เพราะเจ้าอี่โหลวถูกเบี่ยงเบนความสนใจ ไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของจางอี๋ล่วงหน้า เมื่อเวลาที่ดีเช่นนี้ถูกทำลาย แรงอาฆาตในตัวก็ปะทุขึ้นกะทันหัน ดวงตาที่เหมือนนกอินทรีจับจ้องไปที่จางอี๋ราวกับว่าสามารถฆ่าเขาได้ทุกเมื่อ
“พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไร” ซ่งชูอีปล่อยเจ้าอี่โหลวและถามราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
จางอี๋รู้สึกดูแคลนตัวเองที่เมื่อครู่เขาตัวสั่นภายใต้การจ้องมองของเจ้าอี่โหลว ไอแห้งๆ ทีหนึ่ง “แค่ก แค่ก…”
หลังจากที่สมองของเขาได้พักชั่วขณะ จางอี๋ก็นึกได้ว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง ดังนั้นจึงดึงสติกลับมาในทันใด “ทูตส่งราชโองการบอกให้พวกเราเข้าไปในนครเพื่อรายงานภารกิจ”
“เช่นนั้นก็ไปกันเถิด” ซ่งชูอีจัดกระชับเสื้อผ้า
ทั้งสามคนเดินออกมาจากกระโจมตามลำดับ
ซือหม่าชั่วจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่พวกเขาออกมาก็มีทหารจูงม้าออกมาทันที
กองทัพผ่านการปรับเปลี่ยนมาหลายวันแล้ว แม้จะพูดไม่ได้ว่าดูสดใส แต่ยังเป็นระเบียบเรียบร้อยและเต็มไปด้วยพลัง มองไม่เห็นความปั่นป่วนหลังสงครามเลย
ชูหลี่จี๋ได้นำขุนนางหลายร้อยคนไปรอที่ประตูเมืองเพื่อต้อนรับกองทัพผู้มีชัย
“ยินดีกับท่านแม่ทัพที่ได้ชัยชนะกลับมา!” ชูหลี่จี๋ยกจอกสุราขึ้นตรงหน้าซือหม่าชั่ว จากนั้นเหล่าทหารที่เหลือก็ยกจอกสุราให้แก่นายพลแต่ละคน
รัฐฉินใช้ขุนนางคนสำคัญหลายคนในการรบครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วไม่เพียงแต่มอบดินแดนที่ยึดครองมาได้ให้กับรัฐหานเท่านั้น ทั้งยังได้จับคู่องค์หญิงกับสายเลือดของราชวงศ์อีกด้วย หลายคนอาจรู้สึกว่าเสียเปรียบ แม้แต่จางอี๋ที่สามารถเจรจามาได้อย่างสันติก็ยังถูกตำหนิ
ทว่าราษฎรไม่สนใจเรื่องเหล่านี้มากนัก ทันทีที่ได้ยินว่ารบชนะก็มารวมตัวกันที่ถนนและส่งเสียงโห่ร้องอย่างกึกก้อง เหล่าบัณฑิตส่วนใหญ่ต่างรวมหัวกันกระซิบกระซาบ
“เห็นทีท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้สร้างเรื่องใหญ่แล้ว” ซ่งชูอีมองจางอี๋พร้อมกับยิ้มกว้าง ท่าทีสบายๆ ราวกับกำลังดูไฟข้ามฝั่ง
การเจรจาอย่างสันติของจางอี๋ในคราวนี้จะกลายเป็นการอ้างอิงให้เหล่าบัณฑิตประณามเขาอย่างแน่นอน เขาไม่สามารถเปิดเผยความตั้งใจของเขาสำหรับแผนระยะยาวได้ ทำได้แต่อดกลั้นเอาไว้
“เจ้าไม่เห็นจำเป็นต้องดูมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเช่นนั้นก็ได้?” จางอี๋จ้องนาง
ในขณะนี้จู่ๆ บัณฑิตคนหนึ่งก็ตะโกนขึ้น “ท่านแม่ทัพใหญ่เทพสงคราม กั๋วเว่ยเทพสงคราม!”
เรื่องที่ซ่งชูอีจับเป็นกงซุนเหยี่ยนนั้นแพร่สะพัดไปนานารัฐ เมื่อการเจรจาและพันธสัญญาบรรลุผลแล้ว กงซุนเหยี่ยนจึงถูกส่งกลับไปยังรัฐเว่ย
ซ่งชูอียิ้มกว้าง โบกมือไปทางนั้นอย่างมีความสุข
เสียงตะโกนของบัณฑิตค่อยๆ ดังขึ้น ผู้คนที่ติดเชื้อต่างตะโกนเสียงดังตามกันมา
จางอี๋กลอกตาเงียบๆ และสาปแช่งคนสายตาสั้นเหล่านี้ลับๆ
ซ่งชูอีเพียงต้องการเย้าแหย่จางอี๋เท่านั้น เมื่อเห็นว่าเขาเมินเฉย ก็โบกมือสองสามทีแล้วไม่ทำต่ออีก หันไปถามว่า “จริงสิ องค์หญิงที่อภิเษกเพื่อเจริญไมตรีคราวนี้คือใคร?”
ฝูงชนส่งเสียงโห่ร้องและกลืนเสียงของนาง มีเพียงจางอี๋ที่อยู่ใกล้มากพอที่จะได้ยินนางอย่างชัดเจน
เดิมทีจางอี๋ไม่ใช่คนที่ใจเย็นนัก เมื่อรู้จักซ่งชูอีครั้งแรกก็มีแต่การเยาะเย้ยถากถาง ทว่าหลังจากนั้นก็พูดคุยกันอย่างถูกคอ ทั้งยังเป็นพี่ใหญ่ร่วมสาบานของนาง แน่นอนว่าย่อมโอนอ่อนให้นางเป็นธรรมดา ทว่าครั้งนี้ซ่งชูอียั่วยุอารมณ์ของเขา เมื่อได้ยินคำถามของนางก็ตอบอย่างหัวเสีย “แน่นอนว่าเป็นองค์หญิงอิ๋งสี่”
แน่นอนว่าซ่งชูอีได้เตรียมใจไว้แล้ว ทว่าก็ยังตกตะลึงกับคำตอบนี้
อิ๋งสี่ประทับใจในตัวจี๋อวี่ ย่อมไม่มองใครอื่นอีกและตามเขาไปสู้รบทุกที่ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผู้หญิงคนหนึ่งต้องทนทุกข์ทรมานไม่น้อยไปกว่าผู้ชาย ยิ่งไปกว่านั้นนางยังทิ้งเกียรติขององค์หญิงอีกด้วย ซ่งชูอีไม่รู้ว่าจี๋อวี่กำลังคิดอะไรอยู่ แต่เขาเป็นชายผู้ให้ความสำคัญในความรักและความยุติธรรม เขาจะเฉยเมยได้อย่างไร?
ตระกูลราชวงศ์ไม่สามารถควบคุมการแต่งงานของอิ๋งสี่แต่สามารถป้องกันไม่ให้นางแต่งงานกับคนที่ไม่มีสถานะเหมาะสมได้
หลังจากความเงียบครู่หนึ่ง ซ่งชูอีก็บ่นพึมพำ “ที่แท้ฝ่าบาทคิดที่จะใช้ประโยชน์องค์หญิงอิ๋งสี่มานานแล้วกระมัง”
จางอี๋หันหน้าไปมองนาง ไม่ได้กล่าวอะไรแต่ในใจก็ยอมรับคำพูดของนางเงียบๆ
หากอิ๋งซื่อไม่ได้คิดที่จะใช้ประโยชน์จากอิ๋งสี่จริงๆ การจัดงานอภิเษกให้นางเป็นเพียงการชี้นิ้วสั่งเท่านั้น ไม่มีเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นไปไม่ได้ ทว่าเขากลับไม่สนใจและปล่อยให้ชะตากรรมของนางเป็นไปตามบัญชาสวรรค์ อิ๋งซื่อไม่ใช่คนที่หวั่นไหวกับความรักของพี่น้องได้ง่ายๆ การที่เขาไม่ห้ามอิ๋งสี่ก็นับว่าเป็นการปรนเปรอที่สุดแล้ว เขาให้โอกาสอิ๋งสี่ทว่านางไม่สามารถทำให้มันสำเร็จ
จางอี๋เห็นว่านางกำลังจมอยู่ในความคิดก็เอ่ยขึ้นเชื่องช้า “บัดนี้มีโอรสเอกเพียงคนเดียว ส่วนองค์ชายจี้ก็ยังเด็กนัก ไม่อาจทนต่อการเดินทางที่กระแทกกระทั้นระยะไกล การที่รัฐฉินรับปากว่าจะส่งตัวองค์ชายไปเป็นตัวประกันให้รัฐเว่ยเพียงเพราะเป็นสายเลือดโดยตรงของตระกูลราชวงศ์เท่านั้น ไม่มีความหมายใดต่อทั้งสองรัฐเลย”
ดังนั้นจึงทำได้เพียงเพิ่มการแต่งงานเพื่อปรองดอง ฉินเซี่ยวกงมีโอรสธิดาน้อย ในฐานะที่อิ๋งสี่เป็นองค์หญิงองค์เดียวที่ยังไม่ได้แต่งงานทั้งยังเป็นที่โปรดปรานมากที่สุด ย่อมมีน้ำหนักแตกต่างกัน
ยิ่งไปกว่านั้นอิ๋งสี่สามารถทำสงครามได้ดี ชื่อเสียงขจรไกล การแต่งงานครั้งนี้ไม่แพ้การส่งองค์ชายเป็นตัวประกันเลย
ฝูงชนเริ่มห่างออกไปแล้ว
ในขณะที่กำลังเข้าใกล้พระราชวังเสียนหยาง ซ่งชูอีเห็นซือหม่าชั่วลงจากม้า อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมอง สามารถเห็นผู้คนมากมายยืนอยู่บนหอคอยในความพร่ามัว ในใจของนางรู้ดีว่าอิ๋งซื่อจะมารับนางด้วยตัวเองจึงรีบลงจากม้าเช่นกัน
เมื่อเหล่าทหารนำม้ามาถึงหน้าประตูวัง อิ๋งซื่อก็ลงมาจากบันไดแล้ว
“พวกกระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท!”
“ตามสบาย” น้ำเสียงของเขาเย็นชาเช่นเคย
เป็นเวลาครึ่งปีแล้วที่แยกจากกัน ในเวลานี้เขาสวมเพียงเครื่องแบบสีดำทั้งตัว คิ้วสองข้างดุจดาบ แววตาของนกอินทรีสงบนิ่ง ความเฉียบคมหายไปมากแล้วเหมือนใบมีดคมที่ซ่อนอยู่ในฝัก บุคลิกมั่นคงดุจภูผา เขายืนอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับทว่ากลับมีลมหายใจเยี่ยงกษัตริย์อันเป็นเจ้าแห่งใต้หล้า
“ท่านแม่ทัพใหญ่เทพสงคราม!” เสียงของเขาไม่ดังแต่ทรงพลัง
“ท่านแม่ทัพใหญ่เทพสงคราม! ท่านแม่ทัพใหญ่เทพสงคราม!”
เสียงคำรามของกองทัพเกราะดำที่อยู่ข้างหลังทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยพลังที่ท่วมท้น
อิ๋งซื่อส่งสัญญาณให้ทหารในชุดเกราะสีดำนำสุราแห่งชัยชนะส่งถึงมือทุกคน เขายกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าวเสียงสูง “กว่าเหรินขอเป็นตัวแทนต้าฉินดื่มให้ทหารผู้แข็งแกร่งทุกท่าน! จอกนี้ เพื่อขอบคุณสวรรค์ที่คุ้มครอง”
ทันทีที่เขาเอียงจอกสุรา สุราก็ไหลออกมา
ทหารในชุดเกราะสีดำส่งให้เขาอีกจอก “จอกนี้เพื่อขอบคุณแผ่นดินที่คุ้มครอง”
“จอกนี้ แด่ทหารผู้กล้าที่พลีชีพในสนามรบ!”
หลังจากสามจอกผ่านไปจึงยกจอกสุราพร้อมกับนายทหารทั้งหมด
ซ่งชูอียกสุราจรดปาก จึงพบว่ามันมีกลิ่นบ๊วยเจือจาง…นี่คือสุราบ๊วยที่นางบ่ม