กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 364 ก่อเรื่องใหญ่เข้าแล้ว
“ข้าต้องการที่จะปกป้องต้าฉิน เหมือนที่เจ้าต้องการที่จะปกป้องข้า มันคือความรักและยิ่งเป็นความรับผิดชอบด้วย” ดวงตาของอิ๋งสี่ที่เต็มไปด้วยไอน้ำจ้องมองไปที่เขาราวกับต้องการจะจารึกภาพนี้ไว้ในสมอง ในหัวใจและในกระดูกของนาง
พระธิดาในตระกูลราชวงศ์แห่งรัฐฉินมิได้มีเพียงอิ๋งสี่เพียงคนเดียว แต่มีเพียงนางเท่านั้นที่จะคู่ควรกับองค์ชายที่เป็นสายเลือดโดยตรง
อิ๋งสี่รู้ว่าผู้ที่มีผลกระทบต่อการแต่งงานของของตนอย่างแท้จริงก็คืออิ๋งซื่อ หากในใจของเขาปรารถนางานสมรสครั้งนี้อย่างแท้จริงก็คงบังคับแต่งไปแล้ว คงไม่ยืดเยื้อมาจนถึงบัดนี้ แต่นางก็ไม่ได้เกลียดชัง ในฐานะองค์หญิงนางแบกรับความรับผิดชอบที่มีต่อบ้านเมือง นางมีความสุขมากที่นางได้อยู่กับผู้ชายที่รักมากที่สุดในปีที่ดีที่สุดของนาง
“ไม่” จี๋อวี่กล่าวเสียงต่ำ “ไม่เหมือน ข้ากับเจ้าไม่มีความรับผิดชอบใดๆ มาเกี่ยวข้อง”
แม้ว่าจะอยู่ต่อไม่ได้ ทว่าจี๋อวี่ก็ยังอยากจะบอกความจริงกับนาง เพราะว่าหากไม่บอกครั้งนี้ ชาตินี้ก็คงจะไม่มีโอกาสได้บอกอีกแล้ว “ข้าชอบเจ้า ในชีวิตนี้ข้าจะชอบเพียงเจ้าเท่านั้น”
จี๋อวี่กับอดีตภรรยาเป็นการจับคลุมถุงชนในสมัยที่บิดามารดายังมีชีวิตอยู่ หลังจากเป็นผู้ใหญ่ก็แต่งกับนางตามความต้องการของผู้ใหญ่โดยธรรมชาติ จี๋อวี่เป็นชายผู้มีความรับผิดชอบ นอกสนามรบก็เป็นคนที่มีนิสัยอ่อนโยน อีกทั้งไม่เป็นคนมักมากในกาม เด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก หลังจากทั้งสองแต่งงานกันก็มีความเคารพซึ่งกันและกัน ไม่เคยทะเลากันเลย ทว่าก็ไม่มีความรักระหว่างหนุ่มสาวเช่นกัน หลังจากอยู่ด้วยกันมานานความเสน่หาบางอย่างก็บังเกิด
อดีตภรรยาของเขาป่วยตายเมื่อเขาอยู่ระหว่างการเดินทาง ตอนนั้นก็ยังมีเลือดเนื้อของเขาอยู่ในท้อง และเขาก็ไม่ได้กลับจากสนามรบเลยจนกระทั่งมีหญ้างอกบนหลุมศพของภรรยา เขารู้สึกสะเทือนใจและรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายทว่ากลับไม่สามารถปกป้องภรรยาได้ หลังจากนั้นจึงไม่มีกะใจที่จะแต่งงานใหม่อีก
ในตอนนั้นจี๋อวี่รู้สึกว่าอิ๋งสี่เป็นเพียงความเสน่หาชั่วคราว ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจนาง ทั้งรักษาท่าทีห่างเหินและความเคารพนี้ไว้ หลังจากผ่านไปนานก็เห็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนกว่าตนสิบกว่าปีคนนี้เป็นเหมือนน้องสาวเท่านั้น เขาเองก็ไม่รู้ว่าความรู้สึกนี้มันเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไร ทว่าเมื่อเขารู้ตัวมันก็ลึกซึ้งมากแล้ว
ขบวนรถเคลื่อนตัวอีกครั้ง
จี๋อวี่หนาวสะท้านไปทั้งตัว มีเพียงฝ่ามือที่ถูกอิ๋งสี่จุมพิตเท่านั้นที่ร้อนรุ่ม เขากำมือแน่นเพราะกลัวว่าจะสูญเสียความอบอุ่นครั้งสุดท้ายนี้ไป
จี้ฮ่วนหันกลับมามองเขาขณะที่กำลังอยู่บนหลังม้า ท่ามกลางทุ่งหญ้าเขียวขจี คนคนนั้นคล้ายกับนกอินทรีผู้โดดเดี่ยวในทุ่งกว้าง…
จี้ฮ่วนเข้าใจจี๋อวี่มากกว่าใครทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ได้เปลืองคำเกลี้ยกล่อมเขา
ทุกคนในโลกใบนี้ล้วนเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น บ้างสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาชีวิตรอด นอกจากนี้ยังมีผู้ที่ละทิ้งความปรารถนาส่วนตัวและเสียสละเพื่อความสงบสุขของโลก จี้ฮ่วนอยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างสองอย่างนี้ เขาเพียงชอบความสนุกในการเข่นฆ่า ทว่าเขารู้ว่าจี๋อวี่เป็นคนอย่างที่สอง และอิ๋งสี่ก็เช่นกัน
ผ่านไปครึ่งเดือน
หลังจากจี้ฮ่วนคุ้มกันอิ๋งสี่กลับพระราชวังแล้ว ก็รีบไปพบซ่งชูอีทันที
ในลานหลังจวนของกั๋วเว่ย ภายในป่าดอกบ๊วยหนาแน่นมีตั่งตัวเตี้ยที่สามารถรองรับแขกได้เจ็ดถึงแปดคน ซ่งชูอีจิบสุราข้าวแช่เย็นในน้ำแร่ ฟังจี้ฮ่วนเล่าเหตุการณ์ตั้งแต่จากลาด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
จี้ฮ่วนเล่าสถานการณ์ของตัวเองอย่างเรียบง่ายสองสามรอบ จากนั้นก็รีบเล่าเรื่องจี๋อวี่ให้นางฟัง “องค์หญิงอิ๋งสี่หลับนอนกับพี่ใหญ่แล้ว เรื่องระหว่างหญิงชายนี่นา เดิมทีข้านึกว่าพี่ใหญ่จะไม่สนใจเสียอีก ทว่าระหว่างที่ข้าคุ้มกันองค์หญิงกลับมานั้นพี่ใหญ่ก็ขี่ม้าตามมาตามลำพัง ท่าทางสิ้นหวังเช่นนั้นราวกับว่าไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้อีกต่อไปแล้ว ท่านมีวิธีช่วยพี่ใหญ่หรือไม่?”
“อะไรนะ? องค์หญิงหลับนอนกับอวี่แล้ว!” ซ่งชูอีเปลี่ยนความประหลาดใจเป็นเสียงหัวเราะ “ฮ่าๆ สมกับเป็นองค์หญิงแห่งอิ๋งฉิน”
“ท่าน พูดเรื่องจริงจังเถิด” จี้ฮ่วนขมวดคิ้ว
ซ่งชูอีเช็ดๆ ปาก ยิ้มยิงฟันพร้อมเอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่ง่ายเลย สุดท้ายแล้วมันคือการสมรสเพื่อเจริญไมตรีระหว่างสองรัฐ ถ้าอย่างไรให้องค์หญิงไปทำร้ายท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายสักครั้งเพื่อระบายความโกรธดีหรือไม่?”
จี้ฮ่วนเพิกเฉยต่อคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือเหล่านั้นและเข้าใจประเด็นสำคัญทันใด “ท่านมีวิธีหรือ?”
ยากแต่ใช่ว่าทำไม่ได้!
“เอ่อ ข้าไม่ได้พูดเยี่ยงนั้น” ซ่งชูอีโบกๆ มือ
จี้ฮ่วนดึงแขนเสื้อของนางด้วยความตื่นเต้น “ท่านจะต้องช่วยพี่ใหญ่ จี้ฮ่วนจะเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านสิบชาติ”
“เจ้ารึ?” ซ่งชูอีเลิกคิ้วมองสำรวจเขา “ข้าไม่ต้องการวัวหยาบเยี่ยงเจ้า”
ซ่งชูอีเบี่ยงตัวไปด้านข้าง จี๋อวี่ดึงแขนเสื้อเพื่อดึงนางกลับมา “ต้องทำอย่างไรท่านจึงจะยอมช่วย? ขอเพียงท่านกล่าวออกมา ฮ่วนจะยอมเสี่ยงชีวิตเข้าช่วย”
ซ่งชูอีดึงแขนเสื้อกลับมา กล่าวอย่างมีนัยยะ “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปหว่านเมล็ดที่รัฐปาเถิด ดินแดนผืนนั้นทั้งกว้างขวางและอุดมสมบูรณ์ เพียงแต่ไร้เมล็ดพันธุ์ ใกล้จะรกร้างเต็มทีแล้ว”
สีหน้าจี้ฮ่วนแข็งค้าง พลันนึกถึงเรื่องที่ตนเคยลากเด็กหญิงชาวปาเข้าไปในป่า…
ซ่งชูอีจิบสุราอย่างสงบท่ามกลางความวุ่นวาย ความรู้สึกเย็นสบายไหลลงจากคอจนถึงกระเพาะ สดชื่นอย่างยิ่ง
“หากท่านสามารถช่วยพี่ใหญ่ได้ ข้าจะไป” จี้ฮ่วนกัดฟันเอ่ย
ซ่งชูอีดูดๆ ปาก “ข้าชอบเวลาที่เจ้าจริงจังกับคำเย้าเล่นของข้าที่สุด”
พูดจบ นางก็ไม่สนใจสีหน้าของจี้ฮ่วน สงวนท่าทีถากถางเยาะเย้ยนั้นแล้วกล่าวอย่างครุ่นคิด “บัดนี้ลูกศรอยู่บนคันธนูแล้วจะไม่ยิงก็ไม่ได้ เรื่องนี้เป็นข้อสรุปที่คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้ว เพียงแค่รอโอกาสในอนาคตจึงจะเคลื่อนไหว ข้าได้ยินว่าท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาเชี่ยวชาญด้านยาที่มีลักษณะเฉพาะบางอย่าง อย่างเช่นมียาชนิดหนึ่งที่หลังจากกินเข้าไปแล้วก็จะแสดงอาการป่วยอย่างช้าๆ เมื่อค่อยๆ เพิ่มปริมาณยาก็จะเหมือนตายในระดับหนึ่ง”
“จริงรึ? ท่านกับท่านมหาเสนาบดีฝ่ายขวาร่วมสาบานเป็นพี่น้อง สามารถเจรจาได้หรือไม่?” จี้ฮ่วนลืมอารมณ์ที่ไม่พึงประสงค์ก่อนหน้านี้ไปแล้ว ขอเพียงมีวิธี ถูกหลอกสักสองสามคำก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรไป!
ซ่งชูอีกำลังจัดแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง เมื่อได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็อดที่จะยิ้มเอ่ยไม่ได้ “ชิ เจ้าโง่รึไง ข้าไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด? พวกเขาเป็นพี่ชายน้องสาวแท้ๆ กันไม่แข็งแกร่งไปกว่าการเป็นพี่น้องร่วมสาบานของข้าหรอกหรือ? คำอุทธรณ์เคล้าน้ำตาเพียงครั้งเดียวยังจะมีประโยชน์มากกว่าการโขกศีรษะร้อยครั้งของข้าเสียอีก”
ครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกับชูหลี่จี๋อย่างตรงไปตรงมานั้นคือการบ่งบอกว่าวันเวลาที่จริงใจและซื่อตรงต่อกันระหว่างพวกเขาได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ไม่มีคำพูดเช่นนี้ หัวใจของชูหลี่จี๋ก็มีไว้เพื่อต้าฉิน ซ่งชูอีไม่ต้องคิดก็รู้ดีว่าเรื่องการปกป้องอิ๋งสี่จะสั่นคลอนพันธสัญญาระหว่างฉินเว่ยมากเพียงใด หากนางไปขอร้องด้วยตัวเองแต่เหตุผลไม่เพียงพอก็เป็นไปได้มากว่าจะถูกปฏิเสธ
ทว่าอิ๋งสี่ไม่เหมือนกัน
“เป็นเพราะข้าเลอะเลือน” จี้ฮ่วนอดใจไม่ไหวต้องการจะไปบอกอิ๋งสี่ทันที ทว่าในเวลานี้เขาทำได้เพียงมองหน้าซ่งชูอีอย่างกะตือรือร้น “บัดนี้องค์หญิงเข้าวังแล้ว ข้าก็ไม่มีโอกาสได้เห็นนางอีกแล้ว ท่าน…”
ซ่งชูอีเกาศีรษะ โน้มใกล้หาเขาพร้อมกระซิบเสียงต่ำ “ข้าจะส่งจดหมายเอง แต่ในนามของเจ้าและเจ้าจะต้องเก็บไว้เป็นความลับ นอกเหนือจากนี้ข้าจะจัดการให้เจ้าร่วมขบวนส่งเจ้าสาว ถึงตอนนั้นเจ้าต้องเตือนสติองค์หญิง ว่าอย่าเร่งรีบเพื่อทำให้มันสำเร็จ เพราะทางข้าก็ต้องการเวลาเพื่อเปลี่ยน ‘ศพ’ หลังจากนางแสร้งตายแล้วเช่นกัน ที่สำคัญไปกว่านั้นพันธสัญญาจำเป็นต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการปรับเปลี่ยน ให้ดีที่สุดจะต้องควบคุมภายในห้าปี และแน่นอนว่าอาจไม่สำเร็จเสมอไป”
จะว่าไปแล้วนี่ไม่มีอะไรมากไปกว่า ‘หนีตาย’ ทว่าการขโมยภรรยาของคนอื่นก็ไม่ใช่การขโมยผัก ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฮองเฮาแห่งรัฐอีกด้วย จะง่ายขนาดนั้นได้อย่างไร! คิดดูแล้วบัดนั้นก็ต้องจ่ายราคาในการช่วยซ่งชูอีออกมาจากรัฐเว่ยไปมากเหลือเกิน
เพื่อทำเรื่องเช่นนี้ อิ๋งซื่อจะไม่ยอมเสียสละสายลับของรัฐฉินที่ฝึกฝนอยู่ในรัฐเว่ยเป็นเวลาหลายปีอย่างแน่นอน ทุกอย่างต้องเริ่มใหม่ตั้งแต่ต้น
จี้ฮ่วนฟังนางพูดพล่ามมาทั้งหมดนี้แล้วยังจะมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีกเล่า? ผู้หญิงคนนี้ได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อครู่ที่ทำทีปฏิเสธเพียงเพราะต้องการเย้าเขาเล่นเท่านั้น!
เมื่อตระหนักได้ถึงตรงนี้ อารมณ์ของจี้ฮ่วนหดหู่ลงทันใด เขาไม่ชอบจุดนี้ของซ่งชูอีมากที่สุด เจ้าเล่ห์! ไร้คุณธรรม!
“ท่านก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เหตุใดจึงไม่เคารพตัวเองเช่นนี้!” ซาบซึ้งก็ส่วนซาบซึ้ง ไม่ชอบก็ส่วนไม่ชอบ ในมุมมองของ
จี้ฮ่วนมันคือสองสิ่งที่แตกต่างกัน
ซ่งชูอีเอ่ยเย้าอย่างไร้ยางอาย “ยังคงเป็นเหมือนเมื่อก่อน นิดหน่อยก็โกรธ”
จี้ฮ่วนมองนางอย่างไร้คำพูด ไม่ต้องการพูดอะไรอีก
จี้ฮ่วนดื่มสุราอย่างเบื่อหน่ายไปอีกหลายจอก ลุกขึ้นต้องการจะจากไปด้วยความอึดอัด
สุดท้ายแล้วซ่งชูอีก็ยังคงย้อนกลับมาเล่นงานฝ่ายตรงข้าม “แค่ก เจ้าคนนี้น่ะไม่น่าสนใจเอาเสียเลย พี่ใหญ่ของเจ้ายังดีกว่าเสียอีก หน้าอกนั้น…จุ๊ๆ หากเขาไม่ใช่หนุ่มผู้โหดเหี้ยมที่ถือครองพรหมจรรย์ทั้งยังยอมหักไม่ยอมงอละก็ ข้า…”
“เจ้าจะทำไม?” เสียงเปี่ยมแรงอาฆาตของเจ้าอี่โหลวดังขึ้นกะทันหัน
ซ่งชูอีตัวสั่นสะท้าน หันไปตามเสียงก็เห็นเจ้าอี่โหลวในชุดงาช้างสีขาว ลำตัวสูงยาวตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้สีเขียวหยกสดใส ความงดงามไม่ธรรมดาสามัญ หากไม่ใช่เพราะแรงอาฆาต ก็แทบจะแยกไม่ออกเลยว่าเป็นเทพหรือมนุษย์
ทันใดนั้นจี้ฮ่วนอารมณ์ดียิ่ง เตรียมชมความครึกครื้น
ซ่งชูอีตบหน้าผาก “โถ่เอ๊ย เจ้าบอกว่ามีธุระต้องรีบไปไม่ใช่หรือ? ข้าก็แอบหนีออกมาจากที่ว่าการ มีแต่เรื่องจุกจิกเต็มไปหมด ถ้าอย่างไรพวกเราไปด้วยกันเถิด”
จี้ฮ่วนเห็นคนล้มแล้วข้าม “ข้าเห็นว่าแม่ทัพเจ้าคงมีเรื่องจะคุยกับท่าน ข้าขอตัวก่อนแล้ว”
แม้ว่าเสียใจที่ไม่ได้เห็นเรื่องขบขันของซ่งชูอี แต่แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้นางหลบเลี่ยงได้ ครั้นจี้ฮ่วนกล่าวจบก็จากไปอย่างเร่งรีบ
ซ่งชูอีมองเขาจากไป เมื่อหันไปมองเจ้าอี่โหลวใบหน้าก็เปี่ยมด้วยรอยยิ้ม
“ที่รักตัวน้อย รีบมานั่งเร็วเข้า ข้าจะดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง” ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่สามารถเกลี้ยกล่อมเจ้าอี่โหลวได้สำเร็จ ซ่งชูอีก็ทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งนี้ก็พอจะคุ้นเคยกับการประจบสอพลอขึ้นมาแล้ว
เจ้าอี่โหลวนั่งลง รับจอกที่นางส่งมาแต่ไม่ดื่ม ดวงตาดำขลับทั้งสองคู่จ้องนาง “เมื่อครู่เจ้าบอกว่าหน้าอกของแม่ทัพจี๋เป็นอย่างไร? หากเขาไม่ใช่หนุ่มผู้โหดเหี้ยมที่ถือครองพรหมจรรย์เจ้าจะทำอย่างไร?”
“แหม ข้าหมายความว่าเขามีรูปร่างกำยำและมีหน้าอกที่กว้าง แน่นอนว่าเป็นคนที่พึ่งพิงได้ เดิมทีข้าต้องการยกน้องสาวเจินให้เขา ใครจะไปรู้ว่าเขารักษาอดีตฮูหยินราวกับหยก ข้าจึงเพียงแค่ยอมแพ้เท่านั้น” ในอดีตนางไม่ต้องการโกหกเจ้าอี่โหลวแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้ก็คือตอนนี้ คำพูดที่ตรงเกินไปมักทำร้ายผู้คนได้ง่าย คำโกหกเพราะความปรารถนาดีนั้นยังพอเป็นไปได้
เจ้าอี่โหลวพ่นลมหายใจเย็นชา “พูดจาเหลวไหล”
มันคือคำพูดของความโมโห ทว่ามีความตามใจเจือปนเล็กน้อย
ทั้งสองคนดื่มสุราด้วยกันเงียบๆ
ใบของต้นบ๊วยร่วงลงไปในเครื่องสุราและก่อให้เกิดระลอกคลื่น แสงที่สะท้อนอยู่บนใบหน้าด้านข้างอันสมบูรณ์แบบของเจ้าอี่โหลวสดใสราวกับหยก ซ่งชูอีมองจนรู้สึกหลงใหล
ครั้นนึกถึงคำสาบานเหล่านั้นที่เขาเคยพูด นึกถึงคำสัญญาที่ตนมีให้เขา แววตาของซ่งชูอีก็อ่อนโยนลงเล็กน้อย
อิ๋งซื่อยืดเยื้อเรื่องการแต่งงานของอิ๋งสี่ออกไป แสดงให้เห็นว่ามีจี๋อวี่เป็นตัวสำรอง หากไม่จำเป็นต้องแต่งงานเพื่อเจริญไมตรีในอนาคต การทำให้อิ๋งสี่สมหวังก็สามารถทำได้ อย่างไรเสียจี๋อวี่ก็ไปไหนไม่รอด
กษัตริย์เยี่ยงอิ๋งซื่อที่สามารถแม้กระทั่งใช้ประโยชน์น้องสาวของตนเพื่อสร้างรากฐานในใต้หล้าได้นั้นก็อย่าหวังว่าจะสามารถคุยเรื่องความรักด้วยเลย เพราะเขาจะต้องเลือกทางเลือกที่เป็นประโยชน์ต่อฉินมากที่สุด ดังนั้นซ่งชูอีจำต้องปกป้องตัวเอง ในขณะที่อิ๋งซื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องทำให้ตัวเองอยู่ในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อต้าฉินอย่างสมบูรณ์ หากทำไม่ได้ก็ต้องเตรียมวางแผนหาทางออกสำรอง
นางจะต้องเตรียมตัวสองทาง
ในระหว่างการเตรียมงานที่วุ่นวายนั้น เดือนเก้าก็มาถึง ในที่สุดองค์หญิงอิ๋งสี่ก็แต่งออกไปแล้ว
โรงสุรา ชมรมป๋ออี้และสถานที่พบปะต่างๆ กลับกลายเป็นที่ระบายความอึดอัดของบัณฑิตแห่งรัฐฉิน อิ๋งสี่สามารถต่อสู้เพื่อความดีได้ ทั้งยังมีหัวใจแห่งความไร้เดียงสา ในความคิดของพวกเขานางเป็นเด็กผู้หญิงที่อัศจรรย์ ผลสุดท้ายน่ะหรือ…รัฐฉินชนะสงครามทว่ากลับยกนางเป็นสิ่งชดเชย!
แน่นอนว่าหนี้ที่ไร้คนรับผิดชอบนี้ไปตกอยู่ที่จางอี๋ เพียงชั่วขณะเดียวทั้งเมืองต่างประณามการเจรจาของเขา