กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 365 จากนั้นเล่า?
เสียงวิพากย์วิจารย์จางอี๋มีมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าบัณฑิตมีเสรีภาพในการพูดจึงไม่สามารถปราบปรามได้ด้วยความรุนแรงและการควบคุมก็มีผลน้อยมาก ต่อมาดูเหมือนว่าแม้แต่อิ๋งซื่อก็เริ่มสงสัยจางอี๋
เดือนสามในปีถัดมา ในขณะที่กำลังจัดการความขัดแย้งระหว่างฉินเจ้า จางอี๋ก็ขัดแย้งกับความคิดเห็นของขุนนางคนอื่นๆ ในที่สุดทนความบีบคั้นและความสงสัยไม่ไหว โยนตรามหาเสนาบดีกลางประชุมราชสำนักด้วยความโมโหและออกไปจากรัฐฉิน
เรื่องก็พัฒนามาถึงขั้นนี้แล้ว เกิดความวุ่นวายมากมายในรัฐต่างๆ ทันทีที่จางอี๋ออกจากเสียนหยางก็มีหลายรัฐที่เชื้อเชิญเขา ทว่าหลังจากที่จางอี๋ “พิจารณาหลายรอบ” ในที่สุดก็ไปที่รัฐเว่ย
ที่นั่นคือมาตุภูมิของเขา เขาต้องการรับใช้มาตุภูมิของเขา ไม่มีใครสงสัยในแรงจูงใจนี้ยกเว้นกงซุนเหยี่ยน
นับตั้งแต่กงซุนเหยี่ยนถูกจับครั้งล่าสุด เมื่อกลับสู่รัฐเว่ยแล้ว แม้ว่าตำแหน่งไม่เปลี่ยนแปลงทว่าบารมีกลับไม่ดีเหมือนเดิมอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้นกงซุนเยี่ยนเป็นคนเที่ยงธรรม มีความเฉียบคมในการพูดและทำสิ่งต่างๆ เว่ยอ๋องคนใหม่ให้ความสำคัญกับอำนาจกษัตริย์และจะอนุญาตให้ผู้อื่นสงสัยในการตัดสินใจของตนน้อยที่สุด เขายอมรับวิธีที่นุ่มนวล ปฏิเสธความแข็งกระด้าง ธรรมชาติของทั้งสองคนสวนทางกัน กงซุนเหยี่ยนถูกละเลย ทันทีที่จางอี๋เข้ารัฐเว่ย ยังไม่ทันจะทำอะไรก็มาแทนที่อย่างง่ายดายแล้ว
ซ่งชูอีมองออกว่านี่เป็นการแสดงละครร่วมกันระหว่างจางอี๋และอิ๋งซื่อ
อัจฉริยะเยี่ยงจางอี๋ ไม่ว่ากษัตริย์องค์ใดก็ไม่มีทางไล่เขาไปเพียงเพราะข่าวลือไม่กี่คำ และอิ๋งซื่อก็แสดงความสงสัยอย่างชัดเจนทั้งยังพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาอารมณ์ยุ่งเหยิงไว้ซึ่งทำให้ซ่งชูอีแยกแยะความจริงไม่ได้ไปชั่วขณะ
สิ่งที่ทำให้ซ่งชูอีขื่นชมยิ่งกว่าก็คือความมั่นใจในตัวเองและเสน่ห์ของอิ๋งซื่อ สุดท้ายแล้วการตัดสินใจให้จางอี๋ออกไปจากฉินนั้นมีความเสี่ยงมาก ใครจะไปรู้ว่าเขาจะทรยศหรือไม่? อิ๋งซื่อกลับกล้าปล่อยให้จางอี๋ไปที่รัฐเว่ยถึงสี่ปี
จางอี่เข้ารัฐเว่ย จุดประสงค์หลักคือต้องการชักชวนให้รัฐเว่ยยอมจำนนต่อไป
ในยุคสมัยนี้ พันธสัญญาสามารถแสดงถึงทัศนคติเท่านั้น ผลผูกพันของพันธสัญญาใดๆ มีน้อยมาก ครานั้นหลังจากที่มีการแต่งงานเพื่อเจริญไมตรีระหว่างฉินเว่ยได้ไม่นานก็เกิดสงครามดุเดือดขึ้น หลังจากนั้นสงครามก็เกิดขึ้นบ่อยครั้งและคราวนี้รัฐฉินต้องการเวลาอย่างน้อยห้าปีเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด
เหตุผลนี้มันง่ายมาก อาหารเพียงคำเดียวไม่อาจทำให้อ้วน แต่สามารถทำให้ติดคอตายได้
รัฐฉินกลืนกินปาสู่กับอี้ฉวี พื้นที่ของรัฐเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดีราษฎรมีความหลากหลาย จิตใจผู้คนไม่มั่นคง ประชากรเบาบาง บวกกับสงครามกับรัฐเว่ยยืดเยื้อ ความเข้มแข็งของชาติไม่ได้เพิ่มขึ้นเนื่องจากการขยายตัวของดินแดน เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพจะแข็งแกร่งขึ้นเนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดของรัฐฉินคือการพักฟื้น เพื่อให้ดินแดนและประชากรที่เพิ่งถูกผนวกเข้าใหม่ถูกย่อยและรวมเข้ากับรัฐฉินอย่างช้าๆ
ตอนนี้รัฐฉินไม่เหมาะที่จะต่อสู้อีกต่อไป ฉินและเว่ยบาดหมางกัน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรเทาความสัมพันธ์ระหว่างสองรัฐ ทำให้รัฐเว่ยมีเสถียรภาพและให้มันมุ่งเน้นไปที่รัฐอื่นชั่วคราว
รัฐฉินต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดิ้นรนและปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้
หลังจากจางอี๋ออกจากฉินแล้ว ซ่งชูอีก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย
รัฐฉินพักสงครามไว้ชั่วคราว ดังนั้นงานด้านความสัมพันธ์ทางการทูตจึงหนักหนา ซ่งชูอีใช้เวลาส่วนใหญ่ในการวิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างรัฐต่างๆ และพยายามหลีกเลี่ยงสงคราม
ในระหว่างที่ซ่งชูอีดำรงตำแหน่งสี่ปีนี้ รัฐเว่ยทำสงครามกับรัฐเจ้าเพียงครั้งหนึ่งเท่านั้น ทันทีที่รัฐเจ้าแพ้ นางก็ถือโอกาสเจรจาและได้สองนครกลับคืน นอกเหนือจากนี้แล้วทุกอย่างล้วนสงบเรียบร้อยดี
หลังจากผ่านไปสี่ปี จางอี๋ก็ลาออกจากตำแหน่งมหาเสนาบดีจากรัฐเว่ยแล้วกลับไปยังรัฐฉิน ซ่งชูอีอ้างว่าป่วยและลาออก ส่วนจางอี๋ก็ถูกแต่งตั้งเป็นมหาเสนาบดีอีกครั้ง
ระหว่างที่ซ่งชูอีเป็นกั๋วเว่ยมีผลงานทางทหารโดดเด่น ในระหว่างที่เป็นมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็สร้างผลงานไว้ไม่น้อย
อิ๋งซื่อกล่าวว่าเขา “มั่นคงไร้ความโลเล คิดถึงส่วนร่วมไม่นึกถึงส่วนตน” เทียบเท่าซางยาง แต่งตั้งให้เป็นกวนเน่ยโหวโดยไม่มีผู้ใดทดแทนได้
กวนเน่ยโหวคือตำแหน่งทางการขั้นที่สิบเก้าจากยี่สิบขั้นในรัฐฉิน ขั้นบนมีเพียงเช่อโหวคนเดียวเท่านั้น ส่วนตำแหน่งมหาเสนาบดีคือต้าซู่จ่างซึ่งเป็นขั้นที่สิบแปดและยังต่ำกว่ากวนเน่ยโหว
ซางจวินถูกอิ๋งซื่อทำให้แปดเปื้อนและล้างมนทินให้อีกครั้ง ตอนนี้เขาได้รับการยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งกฎหมายในรัฐฉิน สถานะสูงส่ง ทว่าเมื่อซ่งชูอีนึกถึงสถานการณ์ของซางจวินแล้วก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลยสักนิด ดังนั้นสามวันหลังจากที่นางถูกแต่งตั้งก็คืนตราพยัคฆ์ทันที นับจากนี้ไปนางมีหน้าที่ฝึกฝนทหารใหม่เท่านั้นแต่ไม่มีอำนาจปรับเปลี่ยนกองกำลัง
เดิมทีซ่งชูอีคิดว่าหากตนไม่มีอำนาจที่แท้จริงมันจะเป็นประโยชน์ในการปกป้องตัวเองมากกว่า ใครจะไปรู้ว่าในทางตรงกันข้ามมันกลับทำให้ศัตรูทางการเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ผ่อนคลายเพียงเพราะนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในผลประโยชน์และมีหน้าที่รับผิดชอบในการฝึกทหารใหม่ นางค่อนข้างมีชื่อเสียงในกองทัพหรือแม้แต่ในฉินทั้งหมด
ผ่านไปสองปี ซ่งชูอีลาออกจากตำแหน่งผู้ฝึกกองทัพใหม่และถูกแต่งตั้งให้เป็นไท่ฟู่ (อาจารย์) แห่งองค์รัชทายาท
อิ๋งซื่อยังอยู่ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิต ซ่งชูอีไม่สะดวกที่จะแสดงท่าทีล่าถอยมากเกินไป การมีความสัมพันธ์ที่ดีกับว่าที่กษัตริย์จะช่วยอนาคตของนางได้อย่างแน่นอน ทว่านางก็รู้ดีว่าการที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ใช่เรื่องดีนัก ดังนั้นจึงได้กลายเป็นไท่ฟู่อย่างไม่ใครเต็มใจท่ามกลางสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ในขณะที่รัฐฉินกำลังจะเข้าสู่สงคราม ซ่งชูอีก็ได้คิดวางแผนอย่างเต็มที่ ผนวกปาสู่ สงบความวุ่นวาย วิ่งวุ่นไปทั่วเพื่อไกล่เกลี่ยความสัมพันธ์ทางการทูตในขณะที่รัฐฉินต้องการจะหลีกเลี่ยงสงคราม
นางได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจ จากนั้นก็ขึ้นสู่ตำแหน่งอันมีเกียรติ ชื่อเสียงของนางได้สร้างเครื่องหมายที่ไม่อาจลบเลือนในประวัติศาสตร์ของรัฐฉิน
และ “ทฤษฎีโค่นรัฐ” ของนางเพิ่งเริ่มมาถูกทาง
นางหวนรำลึกถึง “ประวัติศาสตร์ฉิน” ของชาติที่แล้ว:
ฉินหวังซื่อปีที่สิบเอ็ด เดือนสี่ รัฐหานเปิดสงครามครั้งใหญ่กับรัฐเว่ย ในปีเดียวกันอิ๋งสี่ที่แต่งเข้ารัฐเว่ยเสียชีวิตจากอาการป่วย
ฉินหวังซื่อปีที่สิบสอง เดือนสอง รัฐเยียนลอบโจมตีหรงเฉิงของรัฐฉิน การต่อสู้ยืดเยื้อสามเดือน จางอี๋ออกหน้าไกล่เกลี่ย รัฐเยียนจึงหยุดทัพ
ฉินหวังซื่อปีที่สิบสาม เดือนสิบสอง หมี่จีตั้งครรภ์อีกครั้ง
……
เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก บัดนี้ซ่งชูอีเข้ารัฐฉินมาสิบหกปีแล้ว
ความทรงจำในสมองของนางจบลงอย่างกะทันหันตรงนี้ ชาติที่แล้ว ปีนี้ วันนี้ เวลานี้ นางน่าจะตายไปหลายชั่วยามแล้ว อย่างไรก็ดีบัดนี้กลับมีหญ้าเหี่ยวเฉาปกคลุมสุสานของหมิ่นฉือมานานหลายปี แต่นางยังมีชีวิตอยู่ สวมชุดสีดำ ขมับทั้งสองข้างมีผมหงอกแซม รูปร่างผอมบางราวกับต้นไผ่
มันพิสูจน์ให้เห็นว่าคำทำนายของเหล่าจื่อที่ว่า “เส้นทางที่แตกต่างกันสู่เป้าหมายเดียวกัน” ไม่ถูกต้องหรือ?
ซ่งชูอีรู้สึกว่าหลังจากนี้ต่างหากจึงจะเป็นชีวิตใหม่ของนางอย่างแท้จริง! นางเอนกายบนตั่งใต้ร่มไม้พลางโบกพัด ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ “หึ!”
ตรงหน้านางมีจานหยกปากตื้นขนาดใหญ่ใบหนึ่งวางอยู่ บนจานมีชั้นน้ำแข็งบางๆ แตงหวานหั่นชิ้นสวยงามวางอยู่บนชั้นน้ำแข็ง น้ำนั้นสดใสราวกับหยก แผ่นไม้ไผ่สองสามม้วนถูกวางไว้ข้างๆ อย่างไร้ระเบียบ ด้านบนไม่ได้มีเพียงตราประทับของราชวงศ์ฉิน ทั้งยังมีตัวอักษรของรัฐอื่นๆ อีกด้วย
ข้างโต๊ะมีชายหนุ่มในชุดจีนสีน้ำตาลอ่อน อายุสิบสี่สิบห้าปี รูปหน้าดำคล้ำ คิ้วดุจดาบแววตาดุจดวงดาว เห็นได้ชัดว่าในอนาคตจะต้องเป็นหนุ่มรูปงามแน่นอน
เด็กรับใช้ใช้เครื่องเงินแคะแตงหวานเป็นชิ้นพอดีคำแล้วส่งเข้าปากเด็กหนุ่ม
เด็กหนุ่มเคี้ยวแตงหวาน เอ่ยด้วยความคลุมเครือ “ไท่ฟู่ พวกเราไปล่าสัตว์ที่หลังเขากันเถิด?”
“องค์รัชทายาทตั้งใจอ่านหนังสือไป คราวหน้าท่านอ๋องตรวจท่านการบ้านของท่าน กระหม่อมจะไม่ช่วยปิดบังแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ” ซ่งชูอีเอ่ย
“ฮี่ๆ ทุกครั้งไท่ฟู่ก็กล่าวเช่นนี้ แต่ก็ช่วยข้าทุกครั้ง” อิ๋งตั้งโน้มตัวเข้าไปหาซ่งชูอี ดึงแขนเสื้อของนางพร้อมเอ่ยด้วยความปิติ “ไท่ฟู่ดีกับอิ๋งตั้งที่สุดแล้ว”
ซ่งชูอีพับพัดเก็บช้าๆ มองดูเข่าที่งออยู่สักพัก ผ่านไปเนิ่นนานจึงเอ่ยด้วยความกังวล “ตั้งเอ๋อร์ ท่านรู้หรือไม่เหตุใดกระหม่อมจึงไม่ไว้หนวด?”
อิ๋งตั้งเบิกตาโตมองนาง “ก็ท่านเป็นสตรีนี่นา ไม่ไว้หนวดมีอะไรน่าแปลกตรงไหน?”
หางตาของซ่งชูอีกระตุก มารดาใครเปิดเผยความลับนี้กัน!
“แค่ก! ที่จริงมันเป็นความเข้าใจผิด” ซ่งชูอีโบกมือสั่งให้เด็กรับใช้ออกไป มองเขาด้วยความเมตตา “ตอนเด็กๆ กระหม่อมติดเล่น ไม่ตั้งใจเล่าเรียน อาจารย์ขับไล่กระหม่อมออกจากสำนักและถูกกลุ่มโจรม้าสกัดกั้นระหว่างทางที่ทัศนศึกษา กระหม่อมกล่าวว่าตนเป็นบัณฑิต พวกเขาก็ตั้งคำถามให้กระหม่อมตอบ สรุปว่ากระหม่อมตอบไม่ได้ โจรม้าผู้นั้นจึงกล่าวว่า: ชิ! อย่าคิดว่าเจ้าสวมเสื้อคลุมแขนกว้างก็เป็นบัณฑิตได้ แม้แต่สิ่งที่ข้ารู้เจ้ากลับไม่รู้ ยังกล้าหลอกลวงผู้คนอีกเรอะ!”
“จากนั้นเล่า?” อิ๋งตั้งกล่าวด้วยความตื่นเต้น