กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ - บทที่ 366 อย่าคิดหลอกข้าอีก
“จากนั้น พวกมันก็ลงมือทำร้ายกระหม่อม สุดท้ายร่างกายของกระหม่อมก็พิการ ท่านเห็นหรือไม่ว่าขันทีเหล่านั้นไม่มีหนวดงอกออกมา…” ซ่งชูอีดูเศร้า “คนที่ไม่มีความสามารถแม้แต่ตัวเองก็ปกป้องไม่ได้ ทุกครั้งที่กระหม่อมช่วยท่าน เพราะทนเห็นท่านถูกท่านอ๋องรังแกไม่ไหว ทว่าท่านจะต้องเป็นท่านอ๋องในอนาคต หากไร้ความสามารถ จะปกป้องทั้งต้าฉินได้อย่างไร? กระหม่อมเอ็นดูท่านแต่กลับทำร้ายท่าน ทำร้ายต้าฉิน!”
อิ๋งตั้งมองร่างกายส่วนล่วงของนางด้วยความประหลาดใจ พูดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่
แม้ว่าซ่งชูอีจะพาเขาออกไปเที่ยวเป็นประจำ แตกต่างจากความจริงจังของอาจารย์คนอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ทว่าก็ไม่เคยหลอกเขา ดังนั้นแม้ว่าจะกล่าวคำที่น่าตกใจเช่นนี้เขาก็ไม่สงสัยเลยสักนิด
“ข้าได้ยินพวกเขาว่ากันว่าไท่ฟู่สงบปาสู่ โจมตีรัฐเว่ยด้วย ‘ทฤษฎีโค่นรัฐ’ และเปิดศึกกับสำนักขงจื้อได้อย่างไร ทว่ากลับไม่เคย…ได้ยินเรื่องนี้…เรื่องนี้…” อิ๋งตั้งอ้ำๆ อึ้งๆ
“เรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้ กระหม่อมจะเปิดเผยให้คนอื่นฟังได้อย่างไรเล่า?” ซ่งชูอีทอดถอนใจ เอ่ยเสียงเบา “กระหม่อมใจอ่อนต่อท่าน กลัวว่าคงไม่สามารถสอนท่านได้อีกต่อไปแล้ว กระหม่อมจะไปบอกให้ท่านอ๋องเปลี่ยนไท่ฟู่ให้ท่านเดี๋ยวนี้”
อิ๋งตั้งเอ่ยด้วยความร้อนรน “ข้าชอบให้ท่านสอน ต่อไปข้าจะต้องขยันแน่นอน เพื่อปกป้องตัวเองและปกป้องต้าฉิน”
แววตาของอิ๋งตั้งแน่วแน่ น้ำเสียงจริงจัง “ไท่ฟู่ ท่านอยู่ต่อเถิด”
“องค์รัชทายาทมีคุณธรรมนัก” ซ่งชูอีตบๆ ไหล่ของเขา คิดในใจว่าไม่เสียแรงที่เอ็นดูเจ้าเด็กคนนี้!
อิ๋งตั้งดื้อรั้นและขี้เล่น ไม่ว่าไท่ฟู่ในอดีตจะเข้มงวดต่อวินัยของเขาเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ ในทางกลับกันกลับถูกโกรธยกใหญ่ อย่าว่าแต่ไท่ฟู่เลย แม้แต่กับคำพูดของอิ๋งซื่อเองต่อหน้าก็ทำอย่างลับหลังก็ทำอีกอย่าง ต่อหน้าอะไรก็ดีทว่าทันทีที่หันหลังอยากทำอะไรก็ทำอย่างนั้น มิฉะนั้นอิ๋งซื่อจะทิ้งเขาไว้กับคนที่มีนิสัยไม่น่าเชื่อถือเยี่ยงซ่งชูอีเช่นนั้นหรือ?
ซ่งชูอีเข้าใจนิสัยของอิ๋งตั้งอย่างถ่องแท้นานแล้ว แม้เขาจะดื้อรั้นทว่าก็มีเลือดของชาวฉินอยู่ในกระดูก ให้ความสำคัญต่อความจงรักภักดี ความกตัญญูกตเวทีและความเมตตา ดังนั้นซ่งชูอีจึงใช้เวลาหลายปีในการสร้างความสัมพันธไมตรีกับเขานอกเหนือจากความเป็นศิษย์อาจารย์
กลยุทธ์ทุกข์กายก็ใช้ไปแล้ว ซ่งชูอีไม่จงใจที่จะตีสนิทอีกต่อไป “หากองค์รัชทายาทสามารถเป็นเช่นนี้ได้ หัวใจของกระหม่อมก็ยินดียิ่ง”
อิ๋งตั้งจึงวางใจลง ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ขมวดคิ้วเอ่ย “ข้างนอกมีข่าวลือว่าไท่ฟู่กับท่านแม่ทัพเจ้า…”
อิ๋งตั้งก็เหมือนกับบิดาของเขาที่เข้มงวดในเรื่องชายรักชายมาก ก่อนหน้านี้เขานึกว่าซ่งชูอีเป็นผู้หญิง ดังนั้นจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเจ้าอี่โหลวเป็นเรื่องปกติมาก ทว่าตอนนี้เมื่อรู้ “ความจริง” แล้วนี่กลับกลายเป็นปัญหา
ซ่งชูอีจิ๊ปาก สะบัดพัดแล้วโบกๆ อยู่ครู่หนึ่ง “พวกข้าสองคนเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตาย มีไมตรีจิตแน่นแฟ้น”
อิ๋งตั้งพยักหน้า กล่าวด้วยความอิจฉา “ข้าก็อยากมีพี่น้องเช่นนี้ น่าเสียดายที่จี้ไปเป็นตัวประกันในรัฐเยียน ส่วนอีกคนก็ยังเป็นทารก ไม่สนุกเอาเสียเลย”
เกิดในตระกูลอ๋อง ต่อให้มีพี่น้องร้อยคนก็เหมือนมีศัตรูเพิ่มมาร้อยคน! ซ่งชูอีกลัวว่าจะทำลายความกระตือรือร้นของเขาจึงไม่เคยพูดออกไป
“องค์รัชทายาท ไท่ฟู่” เด็กในวังคนหนึ่งโน้มตัวเข้ามา “ท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายให้มาบอกว่าราชทูตของรัฐฉู่มาแล้ว ต้องการจะพบไท่ฟู่”
“ราชทูตรัฐฉู่ต้องการจะพบไท่ฟู่ทำไมกัน?” อิ๋งตั้งหันมองซ่งชูอี “ไท่ฟู่ทำให้รัฐฉู่คับข้องใจหรือ?”
“เหตุใดท่านไม่คิดอะไรที่มันดีๆ หน่อย! ชื่อเสียงของข้าขจรขยายจะเป็นการเสแสร้งได้อย่างไร? เป็นมิตรกับทุกรัฐจะทำให้ผู้อื่นคับข้องใจได้อย่างไรกัน” ซ่งชูอีเก็บพับใส่แขนเสื้อ จัดกระชับเสื้อผ้าพลางเอ่ยว่า “ข้าเป็นคนมีคุณธรรม ไม่เหมือนท่านมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายดอก”
หลายปีมานี้จางอี๋ทำงานเพื่อรัฐฉิน แก้ไขรัฐเว่ยรังแกรัฐเจ้า ทางตะวันออกลุกเป็นเพลิง ทางตะวันตกมีสิ่งโสมม ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับรัฐต่างๆ มากมาย อย่าว่าแต่ก้าวออกจากรัฐฉินเลย ต่อให้ก้าวออกจากเสียนหยางแม้เพียงครึ่งก้าวก็เกรงว่าจะถูกลอบสังหารแล้ว
“ใช่ว่าข้าไม่อยากคิดเรื่องดีๆ ไม่ต้องพูดถึงที่ท่านมักจะถูกลอบสังหารอยู่บ่อยๆ ลำพังแม่ทัพกงซุนแห่งรัฐเจ้าก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันต่อว่าท่านเป็นประจำ…บอกว่าท่านเลวทราม…”
คำพูดดั้งเดิมของกงซุนหยวนก็คือ: เลวทรามน่ารังเกียจ ไร้ยางอายน่าขยะแขยง
“ขุนนางที่ไม่ถูกศัตรูเกลียดชังไม่ใช่ขุนนางที่ดี” ซ่งชูอีมองเขาด้วยสีหน้า ‘ข้าถูกรังเกียจข้าภูมิใจ’ จากนั้นก็หมุนตัวตามเด็กรับใช้ในวังออกไป
รัฐฉู่และรัฐฉินเป็นพันธมิตรกัน เดิมทีควรจะส่งราชทูตมายังรัฐฉินเมื่อปีกลายทว่ากลับมีความขัดแย้งภายในจึงล่าช้า
ซ่งชูอีขี่ม้าไปถึงจวนของท่านมหาเสนาบดี เจ้าหน้าที่อ้างอิงรออยู่ที่ประตูเมืองแล้ว “ข้าน้อยราชทูตเว่ย์หวยคารวะกวนเน่ยโหว”
“ตามสบาย” ซ่งชูอีลงจากม้า เอ่ยถาม “ผู้ใดรับหน้าที่เป็นราชทูตรัฐฉู่รึ?”
“ท่านแม่ทัพหลงกู่ขอรับ” เว่ย์หวยเห็นว่าซ่งชูอีดูอารมณ์ไม่เลว จึงกล้าแสดงความสงสัยของตัวเอง “ไม่รู้ว่าเหตุใดรัฐฉู่จึงได้ส่งนายพลคนหนึ่งมาเป็นราชทูต”
การที่นายพลเป็นราชทูตนั้นพบเห็นไม่บ่อยนัก หากมีก็ตอนที่มีสงคราม
“หลงกู่ปู้วั่ง?” ซ่งชูอีโยนแส้ม้าให้บ่าวรับใช้ ก้าวเท้ายาวๆ เข้าจวนไป นางไม่ได้พบหลงกู่ปู้วั่งมาสิบกว่าปี เดิมทีนางมีการคาดเดาอยู่ในใจแล้ว บัดนี้เมื่อเวลานั้นมาถึง ในใจก็ยังอดที่จะตื่นเต้นไม่ได้
มีบ่าวรับใช้เข้าไปรายงานก่อน ในขณะที่ซ่งชูอีเดินเข้าไปในห้องโถงหลัก ทุกคนก็ลุกขึ้นต้อนรับตามลำดับ
หลังจากซ่งชูอีคำนับคืนแล้วก็หรี่ตาและมองไปรอบๆ สายตาก็มาหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มที่อยู่หน้าสุดทางซ้ายมือ เครื่องแต่งกายสีฟ้าดุจทะเลสาบเผยให้เห็นไหล่กว้างและเอวคอด ผิวขาวคล้ายข้าวสาลี ใบหน้าหล่อเหลา หนวดสั้นเรียบร้อยเป็นระเบียบ ดวงตาสีดำเป็นประกาย น้ำเสียงที่เจือปนความยินดีนั้นสั่นเทาเล็กน้อย “อาจารย์!”
หลงกู่ปู้วั่งก้าวเท้ายาวๆ ไปข้างหน้า อ้าแขนกอดนาง
ทุกคนในห้องตกตะลึง
ซ่งชูอียื่นมือออกมาตบแผ่นหลังหนาๆ พูดพร้อมกับดิ้นรน “เจ้าเด็กบ้า เจ้าอยากให้ข้าขาดอากาศหายใจตายรึ!”
หลงกู่ปู้วั่งคลายมือ ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มเด็กๆ รูปลักษณ์ดูสงบและเก่งกาจ เพียงพริบตาเดียวก็เหมือนย้อนกลับไปตอนอายุสิบหกสิบเจ็ดปี
จะว่าไปแล้วหลงกู่ปู้วั่งแก่กว่าซ่งชูอีนิดหน่อย นอกเหนือจากความเป็นศิษย์อาจารย์กันแล้ว พวกเขาก็เหมือนกับสหาย เมื่อเวลาผ่านไปเขาได้รับประสบการณ์มากมาย เมื่อนึกถึงคำสอนของซ่งชูอีในตอนนั้น ความรู้สึกนี้ก็ไม่ได้ลดลงเลยแต่กลับมีความจริงใจมากขึ้นกว่าเดิม
“ที่แท้ก็เป็นศิษย์เอกของหวยจิน ข้านึกว่าใครมาแก้แค้นเสียอีก ฮ่าๆ ทำให้ข้ากังวลโดยเปล่าประโยชน์เลย” จางอี๋หัวเราะเอ่ย
ซ่งชูอีไม่ได้พูดอะไร เหตุใดทุกคนล้วนคิดว่านางก่อหนี้ความแค้นเล่า
ทุกคนต่างรวมตัวกันอย่างเป็นทางการและรู้หน้าที่เป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้หลังจากที่จางอี๋กล่าวว่าต้องการจะไปพักผ่อน คนที่เหลือก็ดื่มเพียงไม่กี่แก้วก็ขอตัวโดยอ้างว่ามีธุระ ให้เวลาแก่ศิษย์อาจารย์ที่ไม่ได้พบกันเป็นเวลานาน
ซ่งชูอีพาหลงกู่ปู้วั่งกลับบ้าน
สายลมบนถนนพัดเอื่อย ทั้งสองคนขี่ม้าเรื่อยเปื่อย หลงกู่ปู้วั่งถามขึ้น “พวกเราไปที่จุดพักม้ากันเถิด ข้าเตรียมของขวัญให้กับอาจารย์หญิงด้วย”
ซ่งชูอีไอแห้งทีหนึ่ง “ข้ายังไม่ได้แต่งงาน”
“เอ๋ อาจารย์ก็อายุปูนนี้แล้วยังไม่แต่งงานได้อย่างไร?” หลงกู่ปู้วั่งค่อนข้างประหลาดใจ เขาให้ความสำคัญกับการดำเนินการทางทหารและการเมืองของซ่งชูอีมาโดยตลอด ทว่าสืบเรื่องส่วนตัวน้อยมาก คิดตามสถานการณ์ปกติแล้ว อายุของซ่งชูอีจะต้องแต่งงานและมีลูกแล้วเป็นแน่
ซ่งชูอีเหมือนต้องการจะพูดอะไรแต่หยุดหลายรอบ ก่อนที่จะพูดอย่างลำบากใจ “เพราะว่าอาจารย์ชอบผู้ชายมาโดยตลอด”
“หา?!” หลงกู่ปู้วั่งเกือบตกจากม้า “หรือว่าข่าวเรื่องที่ท่านกับแม่ทัพเจ้าตัดแขนเสื้อกันก็เป็นความจริงหรือ?”
หลงกู่ปู้วั่งเงียบไปครู่หนึ่ง มองสำรวจซ่งชูอีหลายรอบ จู่ๆ ก็หัวเราะเสียงดัง “เกือบจะติดกับเข้าให้แล้ว! หึหึ ตอนนี้ท่านอย่าคิดที่จะหลอกข้าเลย”
ซ่งชูอียกมุมปากยิ้ม กล่าวสบายๆ “เป็นความจริง”
หลงกู่ปู้วั่งหุบยิ้ม ส่ายศีรษอย่างแน่วแน่ “ไม่เชื่อ”
ซ่งชูอีไม่พูดอะไรอีก
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลงกู่ปู้วั่งก็เอ่ยด้วยความลังเล “ตัดแขนเสื้อจริงรึ?”
“เจ้าเดาสิ?” ซ่งชูอีหันไปพร้อมกับเลิกคิ้ว
หลงกู่ปู้วั่งเห็นอาการของนางเช่นนี้ ก็อดที่จะจิ๊ปากมิได้ คิดว่าตนเข้าใจความจริงแล้ว “รู้อยู่แล้วว่าท่านพูดเหลวไหล”
ซ่งชูอีประเมินอย่างตรงประเด็น “ปู้วั่งเอ๋ย หลายปีมานี้ข้าพบเจอผู้ที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาไม่น้อย ทว่าเจ้าน่าสนใจที่สุด”
“บริสุทธิ์ไร้เดียงสา?” หลงกู่ปู้วั่งยิ้มมีเลศนัย “ข้าอยู่เหนือคำเหล่านี้มาก”
“อืม จะว่าไป…” ซ่งชูอีสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด “เจ้าเติบโตขึ้นอย่างไร้รสนัก”
“ชิ ข้าเป็นชายในฝันที่สตรีทั้งรัฐฉู่ล้วนต้องการเข้าใกล้ ทั้งตัวล้วนเปี่ยมไปด้วยรสแห่งบุรุษ จะไร้รสได้อย่างไร!” หลงกู่ปู้วั่งขุ่นเคือง
ซ่งชูอีกล่าวด้วยความเสียใจ “ตอนยังหนุ่มก็ฉลาดเกินคน งดงามเกินคน หยิ่งผยองเกินคน มันดีเหลือเกินว่าไหม? ตอนนี้เล่าก็ เป็นผู้ชายหยาบๆ คนหนึ่งไม่ต่างอะไรกับจี๋อวี่กับจี้ฮ่วน นายพลหลายสิบคนในรัฐฉินล้วนเป็นเช่นนี้ หน้าตาของเจ้าก็แค่ดูดีกว่าพวกเขาหน่อย ข้าล้วนหน่ายแล้ว”
“ฉลาดเกินคน งดงามเกินคน…ที่แท้อาจารย์ก็เห็นข้าเป็นเยี่ยงนี้หรือ?” หลงกู่ปู้วั่งเพิกเฉยคำพูดประโยคหลังของนางโดยธรรมชาติ
ซ่งชูอีกลับไม่ปล่อยไป “เรื่องอดีตก็อย่าเอ่ยถึงอีกเลย ยิ่งพูดยิ่งทำให้ตอนนี้ข้าทนไม่ไหว”
หลงกู่ปู้วั่งสีหน้าไม่พอใจ “เมื่อก่อนก็ไม่เห็นท่านชื่นชมข้าสักเท่าไร!”
“มันเป็นเช่นนั้น” ซ่งชูอีพยักหน้า “เมื่อก่อนข้าไม่รู้สึกว่าเจ้าดีสักเท่าไร ทว่าไม่เจอกันสิบกว่าปี เห็นเจ้าในตอนนี้ คิดว่าเจ้าในเมื่อก่อนนั้นดีกว่า”
“เมื่อตอนที่อยู่กับท่านก็ไม่เห็นจะมีตอนไหนที่ท่านจะชอบใจข้า” หลงกู่ปู้วั่งพ่นลมหายใจเย็นชา
อารมณ์รุนแรงของเขาคลี่คลายลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่หงุดหงิดทุกครั้งเหมือนตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น เมื่อกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน เขาก็ไม่ได้โกรธอะไรกับคำพูดของซ่งชูอี แต่กลับรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมมากกว่า
อย่างน้อยไม่ว่าจะหลอกลวงอย่างไร นางก็ไม่เคยคิดร้ายกับเขาเลย
“ตอนนี้ท่านเป็นไท่ฟู่แล้ว องค์รัชทายาทรัฐฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” หลงกู่ปู้วั่งนึกถึงตัวเองในตอนนั้น จึงนึกอยากได้ยินความโชคร้ายของอิ๋งตั้งบ้าง ให้ได้เพลิดเพลินสักหน่อยก็ยังดี
ซ่งชูอีเอ่ย “องค์รัชทายาทค่อนข้างซุกซน วันทั้งวันให้ข้าพาไปยิงนกตกปลา ทุกครั้งที่ทำพลาดข้าก็ต้องเป็นคนแบกรับ ท่านอ๋องสอนโอรสด้วยความเข้มงวด ข้ากลับคิดว่ามันดีกว่าที่จะให้เขามีชีวิตชีวาบ้างตราบที่ไม่เสียการเรียน”
หลงกู่ปู้วั่งรู้สึกไม่ยุติธรรม “เป็นลูกศิษย์เหมือนกัน เหตุใดถึงปฏิบัติอย่างแตกต่างเช่นนี้!”
ซ่งชูอีเอ่ย “มันจะไปเหมือนได้อย่างไรเล่า! องค์รัชทายาทอารมณ์ดี ทั้งยังขี้อ้อนเหมือนเด็ก จะไม่ให้ข้าใจอ่อนได้อย่างไร หางแห่งความภาคภูมิใจของเจ้าลอยสูงเสียดฟ้า ทันทีที่แตะต้องขนก็ลุกชัน ข้าชอบสั่งสอนคนอย่างเจ้ามากที่สุด ทว่าไม่ดึงดันที่จะเอาชนะเพราะว่าข้าถูกปลูกฝังมาอย่างดี”
“หึ” หลงกู่ปู้วั่งเบะปาก ไม่สนใจนาง
“ได้ยินว่าเจ้าแต่งงานนานแล้ว มีลูกแล้วหรือยัง?” ซ่งชูอีถาม
หลงกู่ปู้วั่งหัวเราะหึหึ “มีหกคน ห้าคนเป็นผู้ชาย คนหนึ่งเป็นผู้หญิง คนโตอายุสิบสี่แล้ว คนเล็กเพิ่งจะหนึ่งขวบ ลูกชายคนโตกำลังฝึกอยู่ในกองทัพ ครั้งนี้ก็ติดตามข้ามาด้วย ไว้พรุ่งนี้จะให้เขามาคารวะอาจารย์”
“อืม ไม่เลวๆ” ซ่งชูอีเอ่ย “หากบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเหมือนเจ้าตอนเด็กๆ ก็จะดี”
“เฮ้อ! อาจารย์ได้เห็นก็จะรู้แล้ว นอกเหนือจากการสืบทอดพรสวรรค์และความสามารถของข้า จุดอื่นก็ไม่มีสิ่งใดเหมือนเลย” หลงกู่ปู้วั่งกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ